ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 200 กำลังภายใน

จอมศาสตราพลิกดารา

มิน่าเล่าซินแสเฒ่าถึงได้เคยพูดเอาไว้ว่ากายเต๋าฟ้าประทานคือบุคคลที่เกรียงไกรในห้วงดาราสมุทร ไม่ได้โกหกจริงๆ ด้วย

แต่ว่า ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ก็เป็นวิธีการเพิ่มพลังจิตวิญญาณให้แข็งแกร่งอยู่แล้ว เมื่อควบคู่ไปกับกายเต๋าฟ้าประทาน หากคิดดูให้ละเอียดก็สมเหตุสมผลแล้ว

หลี่มู่พลันรู้สึกว่า ในเมื่อความเร็วในการฝึกฝนของฮวาเสี่ยงหรงสูงถึงเพียงนี้ หากสอนวิชาเต๋าบางอย่างเพิ่มให้นางอีกก็น่าจะดี

วิชาเต๋าไม่เหมือนกับวิชายุทธ์ การฝึกฝนและสำแดงพลังไม่จำเป็นต้องอดทนฝึกฝนอะไรมาก และก็ไม่จำเป็นต้องประณีตบรรจงอะไร ขอแค่จิตวิญญาณแข็งแกร่งพอ เลือดลมและพลังชีวิตเต็มเปี่ยม สามารถสัมผัสพลังธาตุพลังวิญญาณชนิดต่างๆ ในฟ้าดิน ก็สำแดงวิชาได้แล้ว เหมาะกับฮวาเสี่ยงหรงที่พรสวรรค์มีมากกว่าเวลาและประสบการณ์เป็นที่สุด

ดังนั้นแล้ว หลี่มู่จึงบอกแนวคิดของตัวเองออกไป

“ดีเลย คุณชายอยากให้ข้าฝึกอะไร ข้าก็จะฝึกอันนั้น” ฮวาเสี่ยงหรงพูดอย่างดีใจ

อันที่จริงแล้ว แม้แต่หลี่มู่ยังดูออก เด็กคนนี้ไม่ได้สนใจเลยว่าตัวเองจะเรียนได้อะไรบ้าง สิ่งที่นางชอบคือหลี่มู่อยู่ข้างกายตนตลอด น้ำเสียง สีหน้า และท่าทางในยามที่เขาสอนนาง ทำให้นางรู้สึกพอใจและสบายใจ

……

เมื่อถึงเวลากลางวัน หลี่มู่ก็ไปจากหอสดับเซียน

สองวันมานี้ ข่าวที่เขาค้างแรมที่ห้องของ ‘ฮวาเสี่ยงหรง’ แห่งหอสดับเซียนแพร่สะพัดไปทั่วเมืองฉางอัน ในฐานะที่เป็นบุคคลทรงอิทธิพลผู้ดึงดูดสายตาที่สุดในปัจจุบัน ทุกการกระทำของหลี่มู่ล้วนถูกขยายให้ใหญ่ขึ้น ได้รับความสนใจอย่างมากราวกับหนุ่มน้อยซูเปอร์สตาร์บนโลกพวกนั้น อีกทั้งในนี้ยังมีฮวาเสี่ยงหรงที่กลายเป็นดาราไปแล้วเช่นกันอีก

แต่ว่า ตอนที่หลี่มู่ออกไปจากหอสดับเซียนก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ามีคนสะกดรอยตามตนมาตลอดทาง หนำซ้ำพลังของผู้สะกดรอยก็ไม่อ่อนด้อยเลย

“ดูท่าทาง จวนเจิ้นซีอ๋องมีความเคลื่อนไหวแล้วจนได้?”

หลี่มู่สีหน้าเรียบเฉย

เขาไม่ได้กลับตรอกไล่หมู แต่ตรงไปยังสุสานทหารฉางอัน

ระหว่างเดินทางกลับเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ หลี่มู่จัดระเบียบทฤษฎีเกี่ยวกับฮวงจุ้ยพลังฟ้าดินต่างๆ ที่ซินแสเฒ่าเคยพูดเอาไว้ และอนุมานวิธีการดูดซับพลังวิญญาณชีพจรมังกรออกมาได้คร่าวๆ ต้องรีบไปทดลองที่สุสานทหารสักหน่อย

กาลเวลาไม่รอใคร

หลี่มู่ในตอนนี้ต้องรีบยกระดับพลังของตัวเองโดยเร็วที่สุด

หลังจากนั้นชั่วขณะหนึ่ง เขาก็เห็นสุสานทหารอยู่ลิบๆ

เพราะคดีฆาตกรรมเมื่อสามวันก่อน สุสานจึงปิดชั่วคราว กองกำลังเฝ้าสุสานถูกเปลี่ยนใหม่แล้ว การเฝ้าระวังเข้มงวด ยอดฝีมือของกองทหารควบคุมดูแลหน้าและหลังของอนุสาวรีย์ไว้โดยสิ้นเชิง บรรยากาศตึงเครียดเข้มงวดลอยอวลอยู่บนถนนซุ้มประตูใหญ่

หลี่มู่ไม่ได้เข้าจากทางประตูหน้า

เขาขี่เสือดาวเบญจมาศ เลือกกำแพงที่ห่างไกลด้านหนึ่งแล้วกระโดดเข้าไป

อาศัยความทรงจำในวันนั้น ไม่นานนักหลี่มู่ก็มาถึงใจกลางของชีพจรมังกรที่รวมตัวอยู่ในสุสาน

เมื่อเนตรสวรรค์กวาดมอง ทิศทางและการกระจายตัวของพลังวิญญาณใต้ดินก็ปรากฏขึ้นในสายตาทั้งหมด

“ใช่แล้ว ที่นี่แหละ”

หลี่มู่ให้เสือดาวเบญจมาศไปอยู่อีกด้านหนึ่ง ส่วนตนเองเริ่มวางค่ายกล

คิดจะดูดซับพลังวิญญาณใต้ดิน อาศัยเคล็ดวิชาเพียงอย่างเดียวไม่ได้แน่นอน จำเป็นต้องวางค่ายกลในบริเวณที่จะโคจรวิชา แล้วเหนี่ยวนำพลังวิญญาณใต้ดินผ่านอานุภาพของค่ายกล เช่นนี้ถึงจะดูดซับเข้าร่างกายได้

ค่ายกลที่หลี่มู่เลือกใช้ชื่อว่า ‘ค่ายกลมังกรเขียวพ้นน้ำ’ เป็นหนึ่งในค่ายกลมากมายที่ซินเสเฒ่าเคยพูดถึง มีพลังสมดั่งชื่อ มีประโยชน์ในการเหนี่ยวนำ โดยเฉพาะพลังวิญญาณใต้น้ำหรือใต้ดิน และก็เป็นค่ายกลเหนี่ยวนำชนิดดีที่สุดที่พลังฝึกของเขาในตอนนี้สามารถวางได้

หลี่มู่วางหยกที่เตรียมเอาไว้ก่อนแล้วลงไป โดยแยกวางตามตำแหน่งรอบๆ รวมสิบแปดแห่ง จากนั้นก็กางเท้าออกยืนอย่างมั่นคง แบ่งหยินหยาง เดินเฉียง เดินตรง ทั้งหมดยี่สิบเอ็ดก้าว ก่อนจะเลือกดวงตาค่ายกล แล้ววางหยกชิ้นสำคัญชิ้นสุดท้ายลงไป

หยกนี้คือหยกที่แกะสลักและปลุกเสกเอาไว้แล้ว นับว่าเป็นเครื่องรางเต๋าครึ่งหนึ่ง เอาไว้ใช้กระตุ้นค่ายกล ด้วยพลังฝึกของหลี่มู่ตอนนี้ การปลุกเสกขึ้นมาไม่ใช่เรื่องยากอะไร

ครั้นทุกอย่างจัดวางเรียบร้อยแล้ว หลี่มู่ก็เหนี่ยวนำพลังวิญญาณในอากาศหลอมเข้าไปในหยกชิ้นสำคัญ

หยกทั้งสี่ทิศที่จัดวางเอาไว้เริ่มส่องประกาย จากนั้นก็ค่อยๆ หม่นแสงลง ค่ายกลเชื่อมประสานกัน ผืนแผ่นดินสั่นไหวเบาๆ ระลอกหนึ่ง ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับคืนสู่ปกติ

หลี่มู่มองเห็นอย่างชัดเจนผ่านเนตรสวรรค์ พลังจากชีพจรมังกรใต้ดินเหมือนกับมังกรที่หลับลึกถูกปลุกให้ตื่นขึ้น เริ่มทะลักล้นออกมา ตรงใจกลางสุดของพื้นที่ที่พลังมารวมตัวกัน พลังปฐพีหนาราวถังน้ำพวยพุ่งทะลวงชั้นดินหลายสิบจั้งออกมา

“สำเร็จแล้ว!”

หลี่มู่ลิงโลดอย่างยิ่ง

ขั้นตอนนี้ง่ายยิ่งกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก

เขาเตรียมตัวเข้าไปในค่ายกล เริ่มดูดซับพลังปฐพีชีพจรมังกร แต่ว่าจู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นได้ จึงวางค่ายกลย่อยที่ปกปิดกลิ่นอายและเตือนภัยเอาไว้ด้านนอกค่ายกลมังกรเขียวพ้นน้ำอีกที แล้วถึงจะกลับเข้ามาในค่ายกล เริ่มโคจร ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ดูดซับพลังชีพจรมังกร

ตำแหน่งที่หลี่มู่นั่งคือตำแหน่งที่พลังวิญญาณชีพจรมังกรหนาเท่าถังน้ำพุ่งออกมานั่นเอง

เสี้ยวขณะที่โคจร ‘วิชาก่อนกำเนิด’ หลี่มู่สัมผัสได้ทันทีว่ากระแสพลังวิญญาณมหาศาลหุ้มล้อมตนเอาไว้ในนั้นดุจมหาสมุทรกว้างใหญ่ ยามอ้าปากหายใจ สิ่งที่ไหลเข้าไปเสมือนหยาดน้ำทิพย์ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่อากาศอีกต่อไป

พลังวิญญาณชีพจรมังกรทะลักเข้าในร่างกายอย่างบ้าคลั่งผ่านรูขุมขนนับไม่ถ้วนทั่วร่างกาย

หลี่มู่รู้สึกว่าตนเองในพริบตานี้เหมือนฟองน้ำที่กำลังดูดซับน้ำอย่างบ้าคลั่ง แล้วก็ยังเหมือนลูกโป่งที่ถูกเป่าลม กำลังพองตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว

พลังฟ้าดินที่จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนต่างเฝ้าใฝ่หาทะลักเข้ามาในร่างของเขาไม่ต่างจากนางแอ่นกลับรัง

‘วิชาก่อนกำเนิด’ หล่อหลอมอย่างบ้าคลั่ง แทบจะถูกกระตุ้นจนถึงขีดสูงสุดในชั่วเสี้ยวขณะ มันควบคุมพลังวิญญาณชนิดนี้ให้ผสานเข้ามาในร่างกาย หล่อเลี้ยงกายเนื้อ ในขณะเดียวกันก็หมุนเวียนไปตามเส้นลมปราณในร่าง  ประหนึ่งน้ำป่าไหลหลากกำลังทะลวงทำความสะอาดก้นลำน้ำแต่ละสายที่แห้งผากมาเนิ่นนาน ชะล้างดินสกปรกและสิ่งอุดตันต่างๆ ในนั้นอย่างต่อเนื่อง ขยายความกว้างและความลึกไม่หยุดหย่อน!

หลี่มู่ดีใจแทบคลั่ง

นี่ก็คือความรู้สึกของกำลังภายใน

ในที่สุดก็ฝึกฝนกำลังภายในออกมาได้แล้วหรือ?

เขามองเห็นแสงระยิบระยับเสี้ยวหนึ่ง

หลี่มู่สงบจิตใจโคจร ‘วิชาก่อนกำเนิด’ พยายามควบคุมและฝึกฝนพลังวิญญาณชีพจรมังกรที่ทะลักเข้ามาในกาย ให้แต่ละสายไหลไปตามจุดโจวเทียนในร่างตามวิชา ทะลวงชะล้างเส้นลมปราณ บำรุงกายเนื้อ หล่อเลี้ยงอวัยวะภายในไม่หยุด

เวลาเคลื่อนผ่านไป

เพียงชั่วพริบตาก็ผ่านไปหนึ่งวันแล้ว

ยามโคมไฟเริ่มขึ้นแขวน หลี่มู่ก็หยุดการฝึกฝนครั้งนี้

ไม่หยุดไม่ได้แล้ว

เพราะเขารู้สึกว่าร่างกายของตนเองมีแนวโน้มเต็มอิ่มแล้ว เสมือนลูกโป่งที่ถูกสูบลมจนพองเต็มที่ หากสูบลมเข้าไปอีกก็จะระเบิด

อันที่จริง นี่เป็นเพราะกายเนื้อแข็งแกร่งไร้เทียมทานของหลี่มู่ที่ผ่านการปรับเสริมจาก ‘หมัดยุทธ์แท้’ มาแล้ว ถึงสามารถดูดซับพลังวิญญาณได้อย่างสมบูรณ์ภายใต้การปะทุของพลังชีพจรมังกรได้ และยังยืนหยัดได้นานขนาดนี้ หากเป็นยอดยุทธ์คนอื่น ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งไร้พ่ายขั้นฟ้าประทาน ก็คงอิ่มท้องแตกตายไปหลายสิบครั้งนานแล้ว

หลี่มู่หยุดการทำงานของ ‘ค่ายกลมังกรเขียวพ้นน้ำ’ ลง

พลังชีพจรมังกรใต้ดินไม่ทะลักออกมาอีก

เขาไม่ได้รีบร้อนจากไป แต่กลับโคจร ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ต่อไปหลังจากหยุดค่ายกล

ครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อดูดซับพลัง แต่เพื่อหลอมพลังวิญญาณชีพจรมังกรมหาศาลที่สะสมในกายทั้งหมดเอามาใช้งาน

ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม

ใบหน้าของหลี่มู่ปรากฏความยินดี

เพราะในที่สุดเขาก็สัมผัสกระแสความร้อนของกำลังภายในได้

ครั้งนี้ ไม่ใช่เพราะชมการร่ายรำจากกายเต๋าฟ้าประทานของฮวาเสี่ยงหรง และก็ไม่ใช่เพราะการสะสมพลังของก่อนหน้านี้ แต่เกิดกำลังภายในขึ้นอย่างแท้จริง ราวกับน้ำพุร้อนไหลเอื่อย หมุนเวียนไปทั่วเส้นลมปราณ ตอนแรกเป็นเพียงแค่จุดเล็กๆ เหมือนกับเส้นผม แต่จากการหลอมรวมของพลังวิญญาณชีพจรมังกรมหาศาลข้างในร่างกาย กระแสธารร้อนเอื่อยๆ สายนี้ก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น ไหลไปอย่างมีชีวิตชีวาอยู่ในกายและเส้นลมปราณของเขาดุจแม่น้ำสายเล็ก

เพียงชั่วพริบตาก็ผ่านไปอีกสองชั่วยาม

ฟ้ามืดสนิทแล้ว

ละอองดั่งหมอกขาวชั้นหนึ่งพันล้อมรอบกายของหลี่มู่ ยามหายใจ กระแสอากาศสีขาวราวงูมังกรจะออกมาพันอยู่รอบกาย จากนั้นค่อยซึมเข้าไปในรูขุมขนทั่วกายเขา ก่อเป็นวงโคจรประหลาดเฉพาะตัว

นี่คือสัญญาณของการฝึกฝนกำลังภายในสำเร็จ

ในเส้นลมปราณของหลี่มู่มีกระแสธารร้อนขนาดเท่าหัวแม่มือเล็กๆ แผ่กระจายไปทั่วแขนขาองคาพยพตามแปดเส้นลมปราณพิเศษ ก่อนจะกลับเข้ามาในเส้นลมปราณอีกครั้ง สุดท้ายก็ขดม้วนมาที่บริเวณท้องน้อย เหมือนกับดวงอาทิตย์ดวงเล็กๆ ที่แผ่ความอบอุ่นออกมาไม่ขาดสาย

ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม

ท้องฟ้าสว่างขึ้นเล็กน้อย

หลี่มู่หายใจยาวๆ จากนั้นก็ลืมตาขึ้น

ท่ามกลางความมืดมิด ดวงตาของเขาราวกับดวงดาวที่ส่องแสงกะพริบสองดวง มีสีสันพิเศษอย่างหนึ่งอยู่ในนั้น สุกสว่างยิ่งกว่าปกติ

“ในที่สุดก็สำเร็จแล้ว”

เขาอ้าปากสูดหายใจ

ไอสีขาวที่พันล้อมรอบกายไหลเข้าไปในปากและจมูกทั้งหมด ดุจวาฬตัวยาวสูบน้ำก็ไม่ปาน

จากนั้นหลี่มู่ยืนขึ้นช้าๆ

ใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้มเหมือนยกภูเขาออกจากอก

ศึกษาอย่างยากลำบาก เจอทางตันทุกหนทุกแห่งมานานขนาดนี้ ในที่สุดเขาก็หาวิธีฝึกฝนกำลังภายในออกมาจนได้ ขณะสัมผัสกระแสธารร้อนที่เหมือนวงจรและน้ำพุร้อนไหลเอื่อยภายในเส้นลมปราณ หลี่มู่อยากจะกู่ร้องออกมาเสียจริงๆ

ก้อนหินที่กดทับอยู่ในใจของเขานับตั้งแต่มาถึงโลกใบนี้ ในที่สุดก็สลายไป

ในที่สุด กำลังภายในก็เกิดขึ้นแล้ว

ซินแสเฒ่าเคยเน้นย้ำถึงประโยชน์ของปราณแท้ภายในไม่ใช่แค่ครั้งเดียว เหตุที่ส่งเขามาดาวดวงนี้ไม่ใช่แค่เพื่อให้ฝึกฝนวิชาก่อนกำเนิดและหมัดยุทธ์แท้ได้สองขั้นสองกระบวนท่าแน่นอน แต่เพราะหวังว่าเขาจะสำเร็จวิทยายุทธ์ หากไม่มีกำลังภายในแล้วจะทำสำเร็จได้อย่างไร? หลี่มู่เข้าใจจุดนี้ดีมาโดยตลอด ดังนั้นจึงพยายามฝึกฝนกำลังภายในออกมาสุดความสามารถ

ฝึกภายนอกไม่ฝึกภายใน คือฝึกกายมิได้ฝึกจิตใจ

ฝึกภายในไม่ฝึกภายนอก คือฝึกจิตใจมิได้ฝึกกาย

ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ล้วนเดินด้วยขาข้างเดียว เช่นนี้จะเดินอยู่แถวหน้าท่ามกลางการต่อสู้ของเหล่าผู้ถูกเลือกมากมายในดาราสมุทรได้อย่างไร?

มีเพียงฝึกฝนทั้งพลังกายและกำลังภายใน ถึงจะมีพร้อมทั้งใจและกายได้

และตอนนี้ ในที่สุด ‘ขาข้างที่สอง’ ของหลี่มู่ก็ฝึกฝนออกมาได้แล้ว

ความยอดเยี่ยมของกำลังภายในยากที่จะใช้คำพูดมาพรรณนาได้ทั้งหมด

…………………