สีหน้าของหยางชูมืดมนกว่าเดิม เขาน่าจะเดาได้ตั้งนานแล้ว
เผยกุ้ยเฟยตามใจเขามาโดยตลอด หากไม่ใช่เพราะพระประสงค์ของฝ่าบาท นางจะมีท่าทีแข็งกร้าวเช่นนี้ได้อย่างไร
ก่อนหน้านี้ที่พูดถึงเรื่องการแต่งงาน เผยกุ้ยเฟยแค่ขอคำปรึกษาหรือขอร้องเท่านั้น แต่คราวนี้กลับไปถามไถ่เขา หลังจากที่โป๋วหลิงโหวฮูหยินเข้าวัง นางก็ตัดสินใจเรื่องนี้โดยตรง
คำสั่งของฮ่องเต้ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดมากออกจะมีความสุขเล็กน้อยด้วยซ้ำ แต่หลังจากเรื่องราวในเสวียนตูกวันเขาสัมผัสได้ถึงเงื่อนงำที่ซ่อนอยู่จึงคิดมากขึ้นกว่าเดิม
เขาคิดอย่างไรอยู่กันแน่ถึงสั่งการเรื่องนี้กับกุ้ยเฟย หรือแค่คิดว่าหากเขาอายุมากขึ้นจะไม่สามารถแต่งงานได้งั้นหรือ หรือจริงๆ มีเจตนาอื่นกันแน่
“กระหม่อมเข้าใจแล้ว”
เผยกุ้ยเฟยยิ้มและพูดด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย “น้าจะช่วยหลานเลือกเป็นอย่างดี”
หยางชูยิ้มไม่ออกเขาพยักหน้าแล้วขอตัวลา เผยกุ้ยเฟยมองตามแผ่นหลังของเขาโดยไม่ละสายตาเป็นเวลานาน
ฮุ่ยเฟยยิ้ม “ท่านอย่ากังวลไปเลยนี่เป็นเรื่องที่เด็กหนุ่มหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตอนแรกลูกสองก็ก่อปัญหาให้ข้ากลุ้มใจอยู่ตลอด ไม่บอกว่าจะเลือกด้วยตนเอง แต่หลังจากนั้นก็ได้แต่งงานไม่ใช่เรื่องดีหรือ”
เผยกุ้ยเฟยพยักหน้าอย่างหนักแน่น “เด็กหนุ่มช่างเลือดร้อนเสียจริง”
………….
สถานศึกษาซานไถอยู่ห่างจากเมืองหลวงไม่ไกล หากเดินทางด้วยรถม้าแทนการเดินเท้าก็สามารถเดินทางไปกลับได้ในหนึ่งวัน แต่สำหรับเจี่ยงเหวินเฟิงที่อยู่ในตำแหน่งจิงจ้าวอิ๋นการหาเวลาว่างไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
หลังได้รับแจ้ง ฟู่จิน อาจารย์ของสถานศึกษาซานไถถามบ่าวรับใช้ด้วยความประหลาดใจ “เหวินเฟิง เจี่ยงเหวินเฟิงงั้นหรือ”
บ่าวรับใช้ที่รับใช้ฟู่จินมาหลายปีแล้วและรู้จักเจี่ยงเหวินเฟิงด้วย เขายิ้มและพูดว่า “เป็นเขาขอรับ เขาโตขึ้นมากแต่รูปลักษณ์ของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก”
ฟู่จินวางพู่กันลง “เชิญเขามาที่ห้องหนังสือ”
ไม่นานเจี่ยงเหวินเฟิงก็เดินเข้ามาในห้องหนังสือ เขาสวมชุดสีคราม ใบหน้าดูงามสง่า นอกจากรอยย่นตรงหว่างคิ้วแล้วเขายังเหมือนเด็กหนุ่มวัยเรียนดั่งเช่นเมื่อก่อน
“คารวะอาจารย์” เจี่ยงเหวินเฟิงคำนับเมื่อพบฟู่จิน
ฟู่จินประคองเขาใบหน้าของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ไม่เจอกันหลายปี เจ้ายังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง!”
เจี่ยงเหวินเฟิงหัวเราะ “หลายปีมานี้ศิษย์เดินทางอยู่ตลอด กลับมาเมืองหลวงไม่มีโอกาสไหว้อาจารย์ศิษย์เสียมารยาทแล้ว”
ฟู่จินพูด “เจ้าออกจากเมืองหลวงเดินทางไปมาอยู่ตลอดกว่าจะได้กลับมา อีกทั้งยังได้รับหน้าที่อันหนักหน่วงไม่มีวันได้พักผ่อนจะตำหนิเจ้าได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังส่งจดหมายตามเทศกาลอยู่ตลอดแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”
ศิษย์อาจารย์ทั้งสองพูดคุยเรื่องอื่นกันฟู่จินยิ้มแล้วถามว่า “จิงจ้าวอิ๋นเป็นตำแหน่งระดับสูงตอนนี้เจ้าเป็นคนงานยุ่งมากหาเวลามาพบข้ามีเรื่องอะไรหรือ”
เจี่ยงเหวินเฟิงตอบด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์ล้อเล่นแล้ว ศิษย์คิดมาตลอดเพียงแต่ยุ่งจนตัวเป็นเกลียว หลายวันมานี้ฝ่าบาทเสด็จไปล่าสัตว์ ศิษย์เลยเจียดเวลามาเยี่ยมอาจารย์ อีกอย่างศิษย์มีเรื่องสงสัยจึงอยากเรียนถามอาจารย์สักหน่อย”
“อ้อ เจ้ากระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ได้รับตำแหน่งสำคัญในราชสำนักแต่ไม่ปล่อยความรู้หลุดลอยไป”
หลังจากพูดคุยหยอกล้อกันฟู่จินก็ตอบคำถามของเจี่ยงเหวินเฟิงอย่างจริงจัง ทั้งสองพูดคุยกันอย่างมีความสุข รื้อฟื้นวันเก่าๆ โดยไม่รู้ตัว
หลังจากการสนทนาจบลงเจี่ยงเหวินเฟิงจิบชาและมองไปที่สระที่ใช้ล้างพู่กันและหินหมึกข้างนอก “อาจารย์ ห้องหนังสือแห่งนี้ยังคงเหมือนเดิมไม่มีผิด! ศิษย์กลับมาที่นี่รู้สึกเหมือนย้อนกลับไปเมื่อตอนยังเด็ก”
ฟู่จินยิ้มพลางจิบชา “พอแก่ตัวแล้วก็นึกถึงวันเก่าๆ”
เจี่ยงเหวินเฟิงมองดูตู้ไม้แดงทั้งแถวที่ข้างกำแพงและถามอย่างเป็นกันเองว่า “ศิษย์จำได้ว่าอาจารย์ชอบสะสมแร่หินไม่ทราบว่าตอนนี้ยังสะสมอยู่หรือไม่”
ฟู่จินตอบ “ในเมื่อเป็นความชอบแล้วจะเลิกได้อย่างไร”
เจี่ยงเหวินเฟิงยิ้ม “หลายปีมานี้ศิษย์ได้ศึกษาเกี่ยวกับแร่หินมาบ้าง ศิษย์สามารถขอดูเหล่าลูกรักของอาจารย์ได้หรือไม่”
ฟู่จินประหลาดใจ “โอ้ ตอนแรกเจ้าดูไม่สนใจด้วยซ้ำ! ตอนนี้รับรู้ถึงความงามของมันแล้วหรือ มาๆๆ มาดูกันว่าสายตาของเจ้าเป็นอย่างไร”
เมื่อพูดถึงงานอดิเรกของตนเองฟู่จินจะพูดเยอะขึ้นมาหน่อย
ตู้ไม้แดงถูกเปิดออก เผยให้เห็นแผ่นไม้ไผ่ กระดองเต่า และเครื่องหยกที่ควรค่าในการถนอมรักษา…
เจี่ยงเหวินเฟิงมองอย่างระมัดระวังทีละอันพลางพูดคุยกับฟู่จินเป็นครั้งคราว
เมื่อพูดถึงเครื่องหยกเขามองอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตามเขามองไปยังตู้วางเครื่องหยกอยู่หลายครั้ง แต่ไม่พบตราประทับในความทรงจำของเขา
เจี่ยงเหวินเฟิงครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วถามด้วยรอยยิ้มว่า “ศิษย์จำได้ว่าตอนนั้นอาจารย์มีตราประทับชั้นดีจำนวนหนึ่งทำไมถึงไม่อยู่แล้วล่ะขอรับ หรือเป็นเพราะอาจารย์หวงแหนเลยไม่อยากให้ลูกศิษย์ได้ชื่นชม”
ฟู่จินยิ้ม “เจ้าไม่ได้มาตั้งหลายปีของดีเหล่านั้นถูกคนเอาไปนานแล้วเหลือเพียงแค่หินสือหวง[1] ข้ากลัวว่าคนอื่นจะต้องการมันเลยนำไปเก็บไว้ในคลังหนังสือ หากเจ้าอยากดูโปรดรอสักครู่” เจียงเหวินเฟิงตอบรับ
ฟู่จินเดินไปหยิบหินสือหวงที่ห้องข้างๆ
ทันทีที่เขาเดินจากไปเจี่ยงเหวินเฟิงก็กวาดสายตาอย่างรวดเร็ว เมื่อแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดอยู่ใกล้ๆ จึงเอื้อมมือเข้าไปในตู้และกดไปรอบๆ
เขาจำได้ว่ามีห้องลับอยู่ที่นี่ซึ่งเขาเคยพบมาแล้วครั้งหนึ่ง ในขณะที่กำลังคิด นิ้วของเขาก็สัมผัสถึงบางอย่างที่นูนออกมา
เจอแล้ว!
เจี่ยงเหวินเฟิงลองดูแล้วก็พบว่าเป็นปุ่มลับที่เคลื่อนที่ได้ เมื่อเขาบิดเล็กน้อยก็พบชั้นด้านในของตู้ไม้แดงเขานำกระดานไม้ออก และก็ให้เห็นกล่องไม้ขนาดเล็ก ดวงตาของเขาเป็นประกาย จากนั้นจึงเปิดกล่องไม้ออก
มีกองจดหมายและของจิปาถะไม่กี่อย่างอยู่ในนั้น
ตราประทับในความทรงจำของเขาอยู่ด้านในนี้
เขาหยิบขึ้นมาสังเกตดู เขาก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา และประทับตราลงไป จากนั้นก็เก็บตราประทับนั้นอย่างรวดเร็วและนำเก็บเข้าที่เดิม
ในขณะที่กำลังจะปิดกล่องและนำกลับไปในช่องลับ ทันใดนั้นเขาก็เหลือบไปเห็นข้อความบนผ้าเช็ดหน้าและหยุดชะงักกะทันหัน
ชิงหยุนเค่อผู้ยิ่งใหญ่!
ชิงหยุนเค่อ…
ผู้ยิ่งใหญ่!
เขาที่เชี่ยวชาญในเรื่องราวในอดีตจดจำเรื่องเก่าๆ ขึ้นมาได้ทันที
เมื่อก่อนซือฮว๋ายไท่จื่อเคยร่วมร้องบทกวีกับนักกวี และนามที่เขาใช้ก็คือชิงหยุนเค่อ
ซือฮว๋ายไท่จื่อ…
เจี่ยงเหวินเฟิงกดหน้าอกมือของเขาที่จับผ้าเช็ดหน้านั้นสั่น
ในตอนนั้นก็มีเสียงเรียบดังมาจากประตู “เหวินเฟิง เจ้ามาที่นี่เพื่อสิ่งนี้หรือ”
……………
เด็กสาวทั้งสี่พูดคุยหัวเราะกันสนุกสนานพวกนางพาบ่าวรับใช้และสุนัขล่าเนื้อของตนออกเดินทาง และพวกนางโชคดีเนื่องจากได้พบกับเหยื่อในเวลาไม่นาน
“มองข้านี่!” เว่ยเสี่ยวอันชิงลงมือก่อนจากนั้นก็มีเสียง ‘ฉึก’ ดังขึ้น นางยิงไก่ป่าได้หนึ่งตัว
ฟางจิ่นผิงไม่ยอมแพ้ “ข้าด้วย!”
เว้นว่างมาสิบปีจำนวนเหยื่อจึงมีจำนวนมาก ในตอนแรกพวกนางไม่ปล่อยให้รอดไปสักตัวเดียว ไม่ว่าจะเป็นไก่ป่าหรือกระต่ายล้วนตายด้วยลูกธนูจนหมด
ผ่านไปสักพัก เหล่าเด็กสาวเริ่มไม่พอใจต้องการเข้าป่าเพื่อล่าสัตว์ที่ใหญ่กว่า ซุนเว่ยลังเลและพยายามเกลี้ยกล่อมแต่กลับถูกพวกนางเกลี้ยกล่อมแทน มีทหารมากมายขนาดนี้คงไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นมาหรอก
หมิงเวยทำตามในสิ่งที่พวกนางต้องการ แม้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริง นางจะปกป้องพวกนางไม่ได้หรือ
นางหาวอย่างเกียจคร้าน
การล่าสัตว์ไม่ใช่เรื่องน่าสนใจ และสำหรับนางแล้วมันไม่คุ้มค่าที่จะลงมือ แต่ตัวฝูดูมีความสุขมาก ปกติเวลาที่ฝึกฝนมักไม่มีสถานที่ที่ใช้การได้วันนี้จึงเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้แสดงฝีมือ
อืม…ปล่อยให้นางมีความสุขไปเถอะ
………….
[1] หินสือหวง : ซึ่งมีความหมายในภาษาจีนคือ หินสีเหลืองทุ่งข้าว ยังได้รับการขนานนามว่า “จักรพรรดิหิน” อีกด้วย