ตอนที่ 257 มีความเรื่องมากบางอย่างที่มีว่าหลิวหลี

แม่ครัวยอดเซียน

“คิดไม่ถึงว่าให้นังหนูเป็นคู่ฝึกซ้อมให้ จะได้ผลดีขนาดนี้” เอ๋าเฟิงไม่รู้จะขอบคุณหลิวหลีอย่างไร เอ๋าเลี่ยกับอิงเสวี่ยกำลังพยายามบรรลุขั้นเซียนนภานพเก้า แต่จื่อฉีที่อายุน้อยที่สุดกลับนำหน้าพวกเขากลายเป็นเซียนนภานพเก้าก่อน ทำในฐานะที่เป็นคู่ฝึกซ้อมอย่างหลิวหลีจึงกลายเป็นบุคคลที่ทุกคนต้องการ อสูรเฒ่าที่ไม่ได้เข้าฌานต่างก็พากันชื่นชอบนาง

“ได้ผลดีกว่าการเข้าฌานอีก” เฟิ่งซานก็นึกไม่ถึงเช่นกัน ผลลัพธ์เช่นนี้คงไม่มีใครทำได้อีกแล้ว โดยเฉพาะท่าทางดีใจของจื่อฉี เมื่อนางหันไปมองเขา เขาก็รีบสงบเสงี่ยมทำท่าเรียบร้อย ราวกับเป็นคนละคน

“ช่างน่าเสียดาย นอกจากคู่พันธสัญญาของตัวนางเองกับคู่พันธสัญญาของสามีของนาง ก็ไม่มีใครเข้าตาของนางอีก ส่วนคนที่เหลือแม้แต่จะมองก็ยังคร้านจะมอง คนสกุลหลงก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง นอกจากน้องสาวของนาง กับเสี่ยวเสี่ยว คนที่เหลือคาดว่าแม้แต่ชื่อนางก็คงไม่รู้จัก บางครั้ง นังหนูคนนี้ก็เย็นชาจนน่ากลัว” เอ๋าเฟิงพูดอย่างจนปัญญา บางครั้งก็รู้สึกว่านังหนูคนนี้น่ากลัวเหลือเกิน

“ดังนั้นคนที่สามารถเข้าไปอยู่ในใจของนางถือว่าโชคดี” เฟิ่งซานพูดอย่างไม่รู้เหนื่อยหน่ายพวกเขาเป็นเพียงคนที่ติดมาด้วยเท่านั้น

“คาดว่าอาหยางน่าจะกำลังพยายามเปลี่ยนความคิดของนังหนูอยู่ แต่คิดว่าสุดท้ายเขาคงเป็นฝ่ายแพ้แน่” เอ๋าเฟิงนึกถึงคนที่รู้ว่าหลานสาวของตัวเองสุดยอดแค่ไหน จึงวางแผนพยายามให้หลานสาวของตนไปฝึกสอนพวกลูกหลานที่ไม่ได้ความพวกนั้น

“นังหนู ปู่ทวดขอร้องเจ้าล่ะ เจ้าช่วยสอนหลานที่ไม่ได้ความของปู่ทวดพวกนั้นทีนะ” หลงเฟยหยางพูดด้วยท่าทีน่าสงสาร เขารู้ว่าหลานสาวของเขามีความสามารถในการฝึกบำเพ็ญ ใครจะไปนึกว่านอกจากพลังบำเพ็ญเพียรของนางจะสุดยอดแล้วก็ยังสอนคนอื่นได้ดีอีกด้วย เขามองดูกิเลนตัวน้อยตั้งแต่หัวจรดเท้า พลังบำเพ็ญเพียรมีความคงที่ และคงทน

“ปู่ทวด คนพวกนั้นเป็นบรรพบุรุษของข้าด้วยซ้ำ” หลิวหลีพูดความจริงที่น่าปวดใจออกมา พวกเขาต่างเป็นผู้อาวุโสของนาง

“เอ่อ เรื่องนี้ไม่สำคัญ ที่สำคัญเลยคือ คนพวกนั้นยังกล้าบอกว่าตัวเองเป็นบรรพบุรุษอีกหรือ ฝึกฝนบำเพ็ญมาหลายแสนปี ยังสู้เด็กอย่างเจ้าไม่ได้เลยด้วยซ้ำ” หลงเฟยหยางพูดจาเย้ยหยัน แต่ก่อนเคยนึกว่าคนกลุ่มนั้นพอใช้ได้ แต่ตั้งแต่หลิวหลีบรรลุเซียนมา ไม่ว่าอย่างไรคนกลุ่มนั้นก็ไม่เข้าตา ไม่มีความโดดเด่นเลยสักอย่าง

“ก็ยังถือว่าเป็นบรรพบุรุษ เรื่องลำดับขั้นอาวุโสจะมั่วซั่วไม่ได้” นางเป็นเด็กที่ให้ความสำคัญกับลำดับความอาวุโส แค่เพียงเพราะพลังบำเพ็ญเทียบตนเองไม่ได้ แล้วจะไม่ยอมรับว่าเป็นผู้อาวุโสได้อย่างไร เพราะอย่างไรเสียอายุขั้นต่ำก็ตั้งหลายหมื่นปี

“นังหนู อย่าเพิ่งพูดเรื่องลำดับขั้นอาวุโสเลย เจ้าลองมาสอนผู้อาวุโสที่บำเพ็ญมาหลายหมื่นปีแต่ก็ยังสู้เจ้าไม่ได้ได้ไหม” น้ำเสียงของหลงเฟยหยางมีความน่าสงสารน้อยๆ คนที่ใจอ่อนคงจะตอบตกลงไปตั้งนานแล้ว

“ไม่ได้ การฝึกฝนบำเพ็ญต้องอาศัยตัวเอง จะพึ่งพาของนอกกายพวกนั้นมากเกินไปไม่ได้” หลิวหลีพูดกับปู่ทวดของตัวเองอย่างขึงขัง

ท่าทางที่พูดดูมีเหตุผล จนหลงเฟยหยางเกือบจะคล้อยตามแล้ว ตามปกติแล้วควรจะต้องเป็นเช่นนั้น แต่คนแบบหลิวหลีที่นานครั้งจะปรากฏตัวขึ้นมานั้น ทำให้คิดเช่นนี้ไม่ได้

“นังหนู ปู่ทวดก็จะไม่ทำให้เจ้าต้องลำบากใจ ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าสอนพวกไร้ความสามารถพวกนั้นให้กลายเป็นแบบจื่อฉี แต่แค่ขั้นเซียนสุวรรณนภาก็คงจะพอเป็นไปได้กระมัง” หลงเฟยหยางพูดเรื่องของตัวเอง ทำให้หลิวหลีที่กำลังดื่มชาอยู่ถึงกับสำลักออกมา เซียนสุวรรณนภา ล้อเล่นใช่ไหม

“ปู่ทวด พวกเขาจะเทียบกับจื่อฉีได้อย่างไร แค่พรสวรรค์ของจื่อฉีก็สามารถนำหน้าพวกเขาไปได้ไกลแล้ว นี่เป็นปัญหาเรื่องพรสวรรค์ ฝึกฝนอย่างไรก็ไม่สามารถทดแทนได้” หลิวหลีพูดออกมาตรงๆว่าคนกลุ่มนี้ไม่มีพรสวรรค์ ช่วยอะไรไม่ได้

หลานสาวของเขาพูดได้ถูกต้อง แต่ทำไมเขารู้สึกปวดใจอย่างไรไม่รู้

“ปู่ทวด ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ข้าขอตัวก่อน” เฮ้อ นางไม่ได้รู้สึกอยากจะสอนใคร แล้วจะเล่าเรื่องผู้อาวุโสตาแดงผู้นั้นให้กับปู่ทวดฟังก็ไม่ได้ ต้องเก็บงำเรื่องนี้ไว้กับตนเองช่างแสนทรมานใจ จื่อฉี เด็กเนรคุณนั่น คิดไม่ถึงว่าจะมองตนเองเพียงนิดเดียวแล้วก็หนีหายไป ปล่อยให้ตัวเองต้องมาเผชิญหน้ากับเรื่องวุ่นวายของบรรพบุรุษกลุ่มนี้คนเดียว ตัวนางเองควรจะหยุดให้เนื้ออบแห้งกับเด็กไร้น้ำใจนั้นเสียที

จื่อฉีจามออกมาทันที ต้องเป็นท่านพี่ลอบนินทาเขาแน่ แต่เขาจะทำอะไรได้ จะเล่าเรื่องผู้อาวุโสท่านนั้นก็ไม่ได้ คงต้องลำบากพี่สาวไปสักพัก ยิ่งเป็นคนที่มีความสามารถก็จะยิ่งมีงานเยอะใช่ไหมล่ะ

หลิวหลีก็รีบหนีออกมา ในจังหวะที่หลงเฟยหยางไม่ทันตั้งตัว ดินแดนอสูรเทพอันตรายมากจริงๆ นางควรจะกลับไปหลบที่วังนภาเพลิงหน่อยดีกว่า

หลังจากนั้น ไม่ว่าหลงเฟยหยางจะหลอกล่อ หรือเล่นบทโศก หรือว่าพูดออกมาตรงๆ หลิวหลีก็อ้างเหตุผลมากมายมาปฏิเสธ ตอนอยู่โลกเบื้องล่างเคยไปสอนมาหลายครั้ง หลิวหลีก็ฝังใจ ก็เลยไม่อยากจะรับงานที่ยากลำบากเช่นนี้ต่อ

“อาเฟิง นังหนูเกลี้ยกล่อมยากจริงๆ” หลงเฟยหยางรู้สึกว่านังหนูจะต้องเป็นอัจริยะแน่ๆ ไม่ว่าจะพูดอะไรก็สามารถแย้งได้อย่างมีหตุผลไปทุกสิ่ง ทำไมนังหนูคนนั้นถึงได้มีเหตุผลมากมายขนาดนี้ พูดจนเขาไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้ เมื่อเทียบกันไปแล้ว หลานพวกนั้นของเขาดูจะเชื่อฟังขึ้นมามากในทันที และเป็นเพราะหัวอ่อนเลยทำให้ฝึกฝนบำเพ็ญได้ช้าหรือไม่นะ

“อาหยาง เจ้ายอมแพ้แล้วหรือ” เอ๋าเฟยมองดูหลงเฟยหยางที่เศร้าใจน้อยๆ นึกไม่ถึงว่านังหนูคนนี้จะพูดเก่งเช่นนี้ สามารถทำให้หลงเฟยหยางที่เป็นคนพูดมาก พูดอะไรไม่ออกเลยทีเดียว

“อาเฟิง เจ้าไม่เห็นว่านังหนูคนนั้นสุดยอดแค่ไหน ไม่เพียงแต่ฝึกฝนบำเพ็ญได้อย่างรวดเร็ว ฝีปากก็ดีไม่แพ้กัน จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังโน้มน้าวนังหนูไม่ได้เลย” หลงเฟยหยางเริ่มใจลอย บนโลกใบนี้ทำไมถึงได้มีเด็กดื้อที่พูดโน้มน้าวได้ยากถึงเพียงนี้ แล้วยังตีไม่ได้ ด่าว่าไม่ได้อีกด้วย

“ถึงแม้จะไม่ได้เห็น แต่ดูจากสภาพของเจ้า ก็รู้แล้วว่านังหนูสุดยอดมากแค่ไหน” เอ๋าเฟิงกล่าว ดังนั้นถึงแม้ว่าเขาจะมีความคิดแบบเดียวกัน แต่ก็ไม่เคยไปอ้อนวอนนังหนูเลย

“แต่ข้าก็เข้าใจความคิดของนาง นังหนูคนนั้นแตกต่างจากพวกเรา ที่จะต้องใช้เวลาหลายหมื่นปีถึงจะรู้แจ้งในบางสิ่ง แต่การรับรู้ของนาง ทำให้ข้ารู้สึกว่ามันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ทำไมนางจะต้องทิ้งการรับรู้ของตัวเอง ไปสอนคนธรรมดาที่ไม่รู้ว่าจะรับรู้ได้ในอีกกี่ร้อยปีหรือว่าอีกกี่พันปี” หลังจากนั้น เอ๋าเฟิงก็พูดต่อ

“อาเฟิง เจ้าพูดถูก แต่ว่าในฐานะที่เป็นผู้นำสกุล ข้าย่อมอยากให้คนในสกุลเราพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น ไม่ใช่ดีแค่เพียงคนเดียว” หลงเฟยหยางกล่าว

“แน่นอนว่าข้าเข้าใจ ที่จริงที่พลังบำเพ็ญเพียรของข้าไม่ก้าวหน้า ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับภาระของสกุลเรา ข้าเองก็อิจฉาความอิสระของนังหนู” เอ๋าเฟิงกล่าว

“จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ได้ นังหนูยังเป็นเจ้าตำหนักในวังนภาเพลิงด้วย” หลงเฟยหยางแย้ง

“อาหยาง เจ้าเคยเห็นนังหนูจัดการภาระภายในตำหนักเวิ่นเทียนไหม ดูเหมือนว่าจะเป็นขุนนางเซียนของนางที่จัดการเรื่องทุกอย่างมาโดยตลอด ส่วนตัวนังหนูก็เหมือน… จะว่าอย่างไรดีล่ะ ทำหน้าที่เป็นของมงคลเสียมากกว่า” เอ๋าเฟิงนึกๆ สุดท้ายเลือกใช้คำเช่นนี้

“ของมงคล ข้าว่าไม่น่าใช่ คนในตำหนักของนางนับถือนางจากใจจริง” หลงเฟยหยางพูดพลางส่ายหัว

“ก็ไม่รู้ว่านังหนูป้อนยาอะไรให้กิน คนกลุ่มนั้นถึงได้ตามอย่างไม่ลืมหูลืมตา” เอ๋าเฟิงรู้สึกนับถือนังหนูคนนี้น้อยๆ

“ตอนนี้คนเพียงคนเดียวที่สามารถโน้มน้าวนังหนูได้กำลังเข้าฌานอยู่” เอ๋าเฟิงนึกถึงสามีของนังหนูที่เป็นเหมือนสามีทาส

“ก็ไม่แน่ เจ้าหนูคนนั้นแทบอยากจะให้สายตาของนังหนูอยู่ที่ตัวเขาตลอดเวลา หากรู้ว่าข้าให้ฮูหยินของเขาไปสอนคนอื่น ข้าคิดว่าอาจจะถูกทำให้แข็งตายได้” หลงเฟยหยางรู้สึกว่าเอ๋าเฟิงพูดผิด คนที่เป็นทาสของฮูหยินตนเองนั้น ไม่อยากจะให้คนได้เห็นนางด้วยซ้ำไป เรื่องจะให้สนับสนุนยอมปล่อยนางไปสอนยิ่งไปต้องพูดถึง

“ไม่ใช่คนบ้านเดียวกัน ไม่เข้าประตูเดียวกัน” เอ๋าเฟิ่งสรุปรวบรัด

บทสนทนาก็จบลงเพียงเท่านี้ หลงเฟยหยางเรียกหลานทุกคนมาว่ากล่าวตักเตือน วันๆเอาแต่จ้องสมบัติของสกุล แย่งประโยชน์เพียงเล็กน้อยกันเอง ไม่เคยคิดที่จะออกไปต่อสู้ฝ่าฝัน ช่างมีชีวิตเป็นคุณชายจริงๆ

อยู่ๆคนในสกุลหลงโดนต่อว่าอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย พวกเขาฝึกฝนบำเพ็ญเช่นนี้มาตลอด ผู้นำสกุลเป็นอะไรไป มีคนเดาว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับหลิวหลี และมีบางคนสังเกตเห็นว่าสายตาของเขาเหลือบมองหลิวหลีเป็นระยะ

“หลิวหลี เจ้าคิดว่าควรจะทำอย่างไร” หลงเฟยหยางโยนคำถามให้หลิวหลีที่หาวขึ้นมาด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย

“ข้า? อยากจะทำอะไรก็ทำอย่างนั้น เพราะอย่างไรการบำเพ็ญก็ขึ้นอยู่กับตัวเอง” นางอย่างไรก็ได้ คำตอบของนางทำให้หลงเฟยหยางแทบอยากจะกระอักเลือดได้สำเร็จ  ทรมานยิ่งนัก

“นังหนู เจ้าไม่มีอะไรจะพูดกับคนพวกนี้เลยหรือ” หลงเฟยหยางมองหลิวหลีอย่างคาดหวัง

“ยุคที่พ่อแม่สั่งสอนดูเหมือนคงจะไม่เหมาะสมกับพวกเจ้า เพราะอย่างไรเสียเสียบิดามารดาของพวกเจ้าเองก็เป็นเช่นนั้น พูดไปก็ไม่ได้ช่วยให้ซาบซึ้งใจกันขึ้นมา ดังนั้นตัวเองควรจะฝึกฝนบำเพ็ญอย่างไรก็ฝึกฝนบำเพ็ญอย่างนั้น ผิดจังหวะไปจะไม่ดี” หลิวหลีกล่าว พลังบำเพ็ญเพียรของพ่อแม่พวกเขาไม่แตกต่างอะไรจากลูกนัก ไม่ได้ถือว่าพ่อจะสามารถสั่งสอนอะไรกับลูกตนเองได้ ดังนั้นควรทำอะไรก็ทำตามนั้น ถ้าอยู่ๆไปตั้งเป้าหมายให้มั่วซั่วอาจจะส่งผลตรงข้ามได้

“นังหนู เจ้าไม่คิดจะสอนคนพวกนี้ที่เป็นคนในสกุลเดียวกันกับเจ้าหน่อยหรือ” หลงเฟยหยางพูดออกมาตรงๆ คนเยอะขนาดนี้ เขาไม่เชื่อว่านังหนูจะไม่ตอบตกลง

“ไม่คิดเจ้าค่ะ ข้อหนึ่งข้าเป็นเพียงผู้บำเพ็ญธาตุอัคคี ข้อสองข้าไม่ได้รู้จักพวกเขาดีพอ ข้อสามข้าไม่อยากจะสร้างความกดดันให้กับคนพวกนี้ คุณสมบัติร่างกายเป็นอะไรที่เทียบกันไม่ได้ อีกอย่างวิธีของข้าไม่เหมาะกับคนที่อ้อนแอ้นเช่นนี้ พวกเขาไม่ถึกทน” หลิวหลีพูดด่าโต้งๆอย่างไม่เกรงใจ แต่ละคนเป็นราวกระสอบทรายที่โดนตีก็แตกในทันที จะไปมีความหมายอะไร

แต่ก่อนหลงเฟยหยางไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า นังหนูเวลาเรื่องมากขึ้นมา ก็เรื่องมากจนทำให้คนถึงกับต้องปวดหัว

 ………………………