อาหารค่ำที่ซื้อมาจากนักล่าของหมู่บ้านโดยรอบนั้นมีความหลากหลาย ประกอบไปด้วยเนื้อนกกระจอกเพลิง เนื้อหมาป่าอัสนี อุ้งตีนหมีธรณี เนื้อวิหคหนาม เนื้อปลากระรอกและอีกมากมาย ดูเหมือนทหารองครักษ์ในตำหนักคงอยากได้ความดีความชอบจากว่าที่จักรพรรดินี…ทว่าโชคร้ายที่ฉินอินไม่ค่อยอยากอาหาร กลายเป็นหลินมู่อวี่ ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน เว่ยโฉวและคนอื่นๆ แทนที่กินกันอย่างอิ่มหนำสำราญ เพราะมีภารกิจสำคัญรออยู่

ถังเสี่ยวซีสั่งให้คนรับใช้นำอาหารมาส่งที่ห้อง ไม่ใช่เพื่อกิน…ทว่านำมาให้มังกร

หลินมู่อวี่นั่งลงข้างๆ มองสองสาวงามแห่งเมืองหลันเยี่ยนเล่นกับเสี่ยวหลง เจ้ามังกรน้อยเมื่อเห็นอาหารมาก็พุ่งตัวเข้าไปอย่างรวดเร็ว ส่งเสียงร้องพลางปัดถ้วยกับตะเกียบทิ้งก่อนจะสวาปามอุ้งตีนหมีกับปลากระรอกอย่างตะกละ ปริมาณอาหารที่มันกินนั้นเยอะกว่าตัวเสียอีก ในหนึ่งวันมันสามารถกินได้สามถึงห้ามื้อ

หลินมู่อวี่เริ่มรู้สึกกังวลเล็กน้อย เขาเคยเห็นตัวเต็มวัยของเสี่ยวหลงมาก่อน มันมีขนาดใหญ่พอๆ กับช้างยักษ์ หากมันยังตะกละเช่นนี้สักวันเขาคงถูกกินไปด้วยเป็นแน่

“ท่านพี่!”

ฉินอินเข้ามานั่งคุกเข่าเบื้องหน้าหลินมู่อวี่ วางมือไว้บนตักพลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “คืนนี้ให้เสี่ยวหลงนอนห้องข้าได้หรือไม่เจ้าคะ?”

“เจ้า…” หลินมู่อวี่เอ่ยอย่างไม่แน่ใจ “เจ้าแน่ใจหรือว่าจะไม่มีผู้ใดมาพบเข้า?”

“เราจะไม่ให้ผู้ใดเข้ามาเจ้าค่ะ”

“หากเป็นเช่นนั้นก็แล้วไป…ข้านอนอยู่ห้องข้างๆ หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นข้าจะรีบมา”

“เจ้าค่ะ พรุ่งนี้เช้าเสี่ยวซีกับข้าจะตั้งชื่อให้เด็กน้อยเอง!”

หลินมู่อวี่เหลือบไปมองหมาป่าวาโยที่นอนขดตัวอยู่มุมหนึ่งของห้องส่งเสียงร้องครวญครางอย่างน่าเอ็นดู…มันคงกลัวว่าตนเองจะหมดความสำคัญ ส่วนเสี่ยวหลงนั้นหาได้กลัวคนไม่ มันเอาแต่ข่วนขาถังเสี่ยวซีและเอาหัวถูขาฉินอิน แม้แต่หลินมู่อวี่อิจฉา…เจ้าหมาป่าคงรู้สึกมากกว่าเขาหลายเท่า ทว่าทุกครั้งที่มันพยายามเข้าหาฉินอิน เสี่ยวหลงจะหันมาขู่ใส่จนมันต้องหดตัวลงไปนอนสั่นกับพื้นด้วยความกลัว!

เช้าวันต่อมา หลินมู่อวี่ตื่นแต่เช้ารีบไปห้องฉินอินและถังเสี่ยวซี เมื่อไปถึงโฉมงามทั้งสองก็แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉินอินสวมชุดเกราะหนังหรูหราเข้ารูปอย่างมีเสน่ห์ ด้านหลังมีเสื้อคลุมเจ้าหญิงสีกรมท่าครอบหน้าอกและติดด้วยกระดุมดอกหยินจื่อยินสีทอง ในขณะที่ถังเสี่ยวซีเปลี่ยนเป็นชุดคลุมสีขาวสวยงาม วันนี้เป็นวันที่ต้องออกตรวจตราทั้งสองนางจึงแต่งตัวได้ชวนหลงใหลอย่างยิ่ง

ถัดจากเตียงเจ้ามังกรน้อยยังคงหลับไม่รู้ความ

หลินมู่อวี่กระแอมเรียก เมื่อมังกรน้อยได้ยินก็รีบลุกขึ้นทันที มันจ้องหน้าหลินมู่อวี่ประหนึ่งพร้อมรับคำสั่งตลอดเวลา

“พวกเจ้าตั้งชื่อให้มันหรือยัง?” หลินมู่อวี่ยิ้มถาม

“เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ!”

ฉินอินพยักหน้าอย่างจริงจัง “หนูน้อยมีเกล็ดสีแดงและเป็นผลึกใสคล้ายลูกแอปเปิลในป่าล่ามังกรช่วงฤดูฝน ดังนั้น…ข้ากับเสี่ยวซีจึงตกลงกันตั้งชื่อให้มันว่า ‘แอปเปิลน้อย’ ดูเหมาะดีหรือไม่เจ้าคะ?”

หลินมู่อวี่อ้ำอึ้ง “แอปเปิลน้อย…”

ภาพเหล่าคุณป้าเต้นรำกลางจัตุรัสโผล่เข้ามาในความคิดทันใด ซึ่งเป็นภาพที่ขัดกับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างมาก! ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเจ้ามังกรเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ มังกรผลึกโลหิตที่เป็นสัตว์ชั้นสูง มีรัศมีพลังอันสง่างามและยิ่งใหญ่ทว่ากลับชื่อแอปเปิลน้อย…กลางสนามรบมันไม่น่าขันไปหน่อยหรือ?

“ไม่ชอบหรือเจ้าคะ?”

ฉินอินก้าวเข้าหาหลินมู่อวี่พลางเขย่ามือถาม “หากท่านพี่ไม่ชอบใจ ข้ากับเสี่ยวซีคิดให้ใหม่ก็ได้เจ้าค่ะ…”

หลินมู่อวี่ส่ายหัวโดยพลัน “ไม่! ข้าชอบชื่อนี้มาก เป็นชื่อที่ง่ายและเหมาะกับมันดี…ข้าไม่ติดปัญหาอะไร เสี่ยวอินกับเสี่ยวซีช่างปราดเปรื่องนักที่สามารถตั้งชื่ออันเป็นเอกลักษณ์นี้ได้ ข้าชื่นชอบเป็นที่สุด!”

ฉินอินมองหน้าหลินมู่อวี่แล้วหัวเราะเบาๆ “ท่านพี่ไม่ต้องหลอกชมพวกข้าหรอกเจ้าค่ะ เพราะข้าก็คิดว่าชื่อนี้ดีแล้ว หากท่านพี่เห็นด้วยก็ตั้งให้มันเลยนะเจ้าคะ!”

“อืม!”

หลินมู่อวี่เดินไปจับหางมังกรน้อยก่อนจะเอ่ย “จากนี้ไปเจ้ามีชื่อว่าแอปเปิลน้อย จำได้หรือไม่? เจ้าเป็นมังกรที่มีชื่อแล้ว ถึงกระนั้นก็พึงระลึกถึงศักดิ์ศรีของความเป็นมังกรศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ อย่าได้ทำเรื่องน่าอับอาย…ไม่! ใครสอนให้เจ้าอึตรงนี้?!”

หลินมู่อวี่ดึงหางมังกรอย่างแรง เจ้าแอปเปิลน้อยใช้อุ้งเท้าตะเกียกตะกายขอความช่วยเหลือจากฉินอินและเสี่ยวซี่ แต่สายไปเสียแล้ว…หลินมู่อวี่จับมันใส่ในถุงผ้าดำก่อนจะแบกขึ้นหลัง เจ้ามังกรทำได้เพียงขดตัวเป็นก้อนปล่อยให้ผู้เป็นนายแบกอยู่อย่างนั้น ฉินอินและถังเสี่ยวซีหัวเราะกับภาพที่เห็น ความเศร้าหมองจากการตายของซูฉินหายไปชั่วครู่

อันที่จริง แม้ซูฉินจะเป็นลุงของฉินอิน ทว่าทั้งคู่ก็ไม่ได้เจอกันมาหลายปี ความรู้สึกผูกพันที่มีจึงเบาบางลง ส่งผลให้ลืมความเจ็บปวดได้ง่ายขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่ฉินอินเท่านั้น…ทั้งโลกเองก็เป็นเช่นเดียวกัน

เช้าตรู่หลังทานมื้อเช้าอย่างง่ายเสร็จ การล่าสัตว์วันแรกก็ได้เริ่มต้นขึ้น

ตามคำสั่งฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนทหารอวี้หลินสองพันคนได้แยกย้ายกันกระจายตัวทั่วพื้นที่ล่าสัตว์ ขณะที่เว่ยโฉว เซี่ยโหวซางและหน่วยองครักษ์อินทรีคนอื่นๆ จับธนูยาวเดินลาดตระเวนไม่ให้ผู้ใดเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าว โดยมีหลินมู่อวี่ที่ออกล่าเอง และฉินอินกับถังเสี่ยวซีไปด้วยกัน ส่วนคนอื่นๆ เป็นเพียงผู้คุ้มกัน หากการล่านี้คงพอให้ฉินอินมีความสุขขึ้น

ม้าศึกสามตัววิ่งตรงเข้าป่า กองกำลังองครักษ์อวี้หลินที่ตามหลังมาแยกย้ายกันไปคนละทาง

หลินมู่อวี่ขยายฌานสัมผัสออกไป ไม่มีศัตรูที่อันตรายในระยะสิบไมล์ นอกจากสัตว์วิญญาณทั้งหลายที่อยู่ในพื้นที่ล่า และมีเพียงบางตัวเท่านั้นที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง

ฉินอินที่แบกธนูหยกอยู่เอ่ยขึ้น “ท่านพี่ เสี่ยวซี เรามาแข่งกันว่าใครจะยิงเหยื่อได้มากกว่าดีหรือไม่?”

“ตกลง!”

ถังเสี่ยวซียิ้มตอบพลางกระชับธนูยาว “ทักษะธนูของข้าสืบทอดมาจากท่านปู่เชียว”

หลินมู่อวี่รู้สึกเขินอายเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะเพิ่งฝึกซ้อมการยิงธนูกับเว่ยโฉวมาเมื่อไม่กี่วันก่อน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ยิงไม่ได้ จึงทำได้เพียงติดตามสองสาวผู้เชี่ยวชาญเข้าป่าไปอย่างเงียบๆ ไม่ไกลนัก…ฝูงหมาป่าวาโยอายุไม่เกินสองร้อยปีกำลังวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น พวกมันแตกตื่นเมื่อเห็นกองทหารอวี้หลิน สัตว์วิญญาณพวกนี้มีความคิด พวกมันไม่เข้าโจมตีมนุษย์ในครานี้เพราะสัมผัสได้ถึงรัศมีพลังของหลินมู่อวี่ ฉินอิน และถังเสี่ยวซี หากพวกมันเข้าใกล้คงได้ตายเป็นแน่

ฉินอินเร่งควบม้าพลางง้างคันธนูเตรียมยิง “ฟิ้ว!” ลูกธนูพุ่งออกไป ไม่กี่วินาที่หมาป่าวาโยอายุหนึ่งร้อยยี่สิบปีก็ล้มลงและสิ้นใจ ถังเสี่ยวซีไม่ยอมแพ้ยิงหมาป่าอีกตัวจนตายเช่นกัน

หลินมู่อวี่ใจเสีย รีบหยุดม้าและเล็งเป้ายิง ทว่าลูกธนูกลับพุ่งไปปักต้นไม้ใหญ่!

“อืม…”

ฉินอินยิ้มเยาะ “ท่านพี่เรียกข้าว่าอาจารย์สิเจ้าคะ แล้วข้าจะสอนท่านพี่ยิง!”

หลินมู่อวี่ชูมีดเสียงปีศาจขึ้นก่อนปามันออกไปเพื่อเยาะเย้ย หมาป่าวาโยร่วงลงกับพื้นในทันใด ไม่กี่วิถัดมามีดเล็กก็กลับมายังฝ่ามือเจ้าของในสภาพล่องหน

ฉินอินทำหน้ามุ่ย “ขี้โกง…”

ถังเสี่ยวซีกลั้นหัวเราะ

หลินมู่อวี่กล่าว “เรามาเพื่อล่า ก็จงล่าอย่าสนใจอย่างอื่น…”

ทันใดนั้นเจ้าแอปเปิลน้อยที่อยู่ในห่อผ้าด้านหลังก็หลุดออกมา มันว่องไวเหมือนกระต่าย เมื่อถึงพื้นมันรีบพุ่งไปยังศพของหมาป่าวาโยอายุสองร้อยปีที่หลินมู่อวี่ฆ่าอย่างรวดเร็ว เจ้าแอปเปิลน้อยอ้าปากกัดลำคอของศพและกลืนมันลงท้องไป!

“อะไรกัน?”

ฉินอินอ้าปากค้าง “เจ้าแอปเปิลน้อยกินเนื้อดิบ…”

“อืม”

หลินมู่อวี่พุ้งตามไปก่อนจะพบว่ามังกรของเขากินศพหมาป่าไปครึ่งตัวแล้ว รวมทั้งจิตวิญญาณสองร้อยปีที่ลอยออกมาด้วย!

“หืม?”

ถังเสี่ยวซีประหลาดใจเล็กน้อย หลังลงจากม้านางก็เข้าไปเช็ดคราบเลือดมุมปากของแอปเปิลน้อย “มู่มู่ เสี่ยวอิน พวกเจ้ารีบมาดูหน้าผากของแอปเปิลน้อยเร็ว มีเกล็ดสีเทาสองแถวปรากฏขึ้น…มันคือสิ่งใดกัน?”

ฉินอินชะงักเมื่อเห็น “นี่เป็นสัญลักษณ์ของสัตว์วิญญาณอายุยี่สิบปี ดูเหมือนมังกรผลึกโลหิตจะพัฒนาพลังยุทธ์ของมันอย่างรวดเร็วจากการกินสัตว์วิญญาณตัวอื่น”

หลินมู่อวี่ประหลาดใจและรู้สึกปลื้มปีติอย่างบอกไม่ถูก “เยี่ยมเลย หากให้กินศพอีกบางทีมันอาจโตไวขึ้น! เสี่ยวอิน ตำตำนานของจักรวรรดิเคยมีเคยอัศวินมังกรหรือไม่?”

“มีเจ้าค่ะ!”

ฉินอินพยักหน้า “ผู้ก่อตั้งจักรวรรดิหลัวตงไห่เป็นอัศวินมังกรเจ้าค่ะ เขาขี่มังกรดำซึ่งไม่ใช่เผ่ามังกรชั้นสูง ทว่ามีฐานพลังยุทธ์ที่สามารถควบคุมเผ่ามังกรได้ จึงทำให้เขาเป็นตำนาน”

หลินมู่อวี่กำหมัดแน่นด้วยความมั่นใจพลางยิ้ม “เช่นนั้นข้าจะเป็นอัศวินมังกรคนต่อไป!”

ถังเสี่ยวซียิ้ม “เจ้าอยากขี่เจ้าแอปเปิลน้อยใช่หรือไม่?”

“อืม…ไม่ดีหรือ?”

“อย่าขยี้มันก็พอ…”

“นี่เจ้า!”

การล่าสัตว์ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ฉินอินยิงหมีหนามอายุสามร้อยปีได้และสั่งให้หมาป่าวาโยสีทองของตนเข้าไปเขมือบ แม้หมาป่าจะมีลักษณะดุร้ายทว่าแท้จริงแล้วมันกลัวอย่างมาก ขณะกำลังกินศพไปได้ครึ่งตัวก็ต้องตกใจกลัวแอปเปิลน้อยที่โผล่มา เจ้าแอปเปิลน้อยทำการละเลงซากเนื้อต่อจากหมาป่าทันที กระทั่งพลังยุทธ์พัฒนาไปอีกสิบปี…กลายเป็นมังกรผลึกโลหิตอายุสามสิบปี

น่าเสียดายที่มันยังไม่แข็งแกร่งพออีกทั้งยังตัวเล็กอยู่!

ไม่นานหลินมู่อวี่ก็สังหารหมาป่าวาโยอายุหนึ่งพันสองร้อยปีลงได้ เขาเรียกมังกรของตนให้เข้าไปกิน ปรากฏว่าเมื่อเจ้าแอปเปิลน้อยไปถึง มันเอาแต่กระโดดไปมารอบศพก่อนจะกลับมานั่งคุกเข่ามองหน้าหลินมู่อวี่อย่างไม่สู้ดีนัก

“เป็นอะไรรึ?” หลินมู่อวี่สงสัย

ฉินอินเอ่ย “สัตว์วิญญาณกินตัวที่แข็งแกร่งกว่าตนไม่ได้ มิเช่นนั้นมันจะถูกกลืนกินเสียเอง เจ้าแอปเปิลน้อยฉลาด…มันรู้ว่าตัวไหนกินได้หรือไม่ได้”

“เป็นเช่นนี้เอง…”

หลินมู่อวี่จับคันธนูอันล้ำค่าและไล่ล่าสัตว์วิญญาณอายุไปเกินพันปีต่อ อย่างไรก็ตาม…มีน้อยคนนักที่จะเข้ามายังลานล่าสัตว์ส่วนพระองค์นี้ ทำให้สัตว์วิญญาณกำลังขาดแคลนอาหาร