ในเวลานี้ เห็นนางยังคงหลบซ่อนตนเอง สวี่มู่เจินจึงใช้ดวงตาขาวใสเข้าไปใกล้ที่ใบหน้าของนาง กลิ่นแป้งฝุ่นที่แก้มส่งกลิ่นหอมเย็นอ่อนๆ มันเป็นความรู้สึกที่มีเสน่ห์และน่ารักจนทำให้ผู้คนไม่สามารถควบคุมตนเองได้ เริ่มเปิดปากและกระซิบแผ่วเบา “หง…” ยังเอ่ยชื่อไม่ทันเสร็จ ก็ได้ยินแต่น้ำเสียงเฉยเมยของผู้หญิงคนนั้นลอยมา ชีวิตเปรียบราวกับมีดปลายแหลมคมขวางกั้นความคิดที่จริงใจของบุรุษ “วันนี้ที่คุณหนูใหญ่มา ข้ากับนางหารือกัน ต้นปีคุณชายสวี่มีพิธีมงคลใหญ่หลวง ถ้าหากเจ้าไม่รังเกียจ ข้าต้องไปช่วยอย่างแน่นอน” ความคิดต่างๆ ได้ถูกคำพูดเหล่านี้ทำลายเสียแล้ว
อารมณ์ของสวี่มู่เจินก็อันตรธานไป หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ไขกุญแจมือที่ข้อมือของนางออก เสียงกุญแจกระทบกันก่อนร่วงตกสู่พื้น
หงเยียนนวดข้อมือที่มีรอยช้ำแดง แล้วเดินบึ่งไปข้างนอกโดยที่ไม่หันมามองสวี่มู่เจินอีก
สวี่มู่เจินลูบหน้าผากไปมา แทบอยากจะตัดมือตนที่ผลักนางออกไปตอนนั้นเสีย
แต่น้องชายอวิ๋นหว่านชิ่นกับชูซย่าทั้งสามคนฉวยโอกาสที่ยังไม่ถึงช่วงเที่ยง ไปที่หน้าประตูทางเข้าศาลาว่าการกรมพระคลัง ส่งข่าวให้ขุนนางแซ่หลิวที่คุ้นเคยกับหงเยียน ให้อ้างว่าโดนคนพาเข้าไป
อวิ๋นหว่านชิ่นขอให้ชูหย่าและอวิ๋นจิ่นจ้งรออยู่ที่ลานด้านนอกชานเรือน และจะเข้าไปเพียงผู้เดียว
ขุนนางแซ่หลิวผู้นี้นั้นเป็นรองอธิบดีกรมพระคลัง ทว่าขั้นยศยังไม่ถึงลำดับที่ห้า แต่กลับมีงานในหน้าที่ที่หนักพอสมควร ดีที่เขานั้นเป็นขุนนางที่รับผิดชอบในการจัดเก็บภาษีเข้าและออกจากร้านค้าบนถนนจิ้นเป่า ในแวดวงการค้าของเมืองหลวงนั้นพ่อค้ามีนิสัยขี้ประจบยิ่ง นิสัยโดยธรรมชาติเป็นพวกพ่อค้าหน้าเลือดกลับกลอกปลิ้นปล้อน และคนส่วนใหญ่ก็ดูถูกดูแคลนเรื่องนี้มาแต่ไหนแต่ไร
พอรู้ว่าเถ้าแก่ร้านเซียงหยิงซิ่วกำลังจะมา รองอธิบดีกรมหลิวก็ไม่ได้ถือว่าให้ความสนใจอันใด นั่งอยู่ด้านหลังอั้นโฉ่ว[1]เกาหลังศีรษะด้วยปลายพู่กันขนสัตว์อย่างเหนื่อยหน่าย ทันทีที่เงยหน้าขึ้น ก็มีชายหนุ่มเดินมาที่หน้าประตู บุคลิกคล่องแคล่ว รูปร่างโดดเด่นไม่เหมือนใคร หน้าตาสวยสง่า ผิวขาวดั่งหยก แม้อายุยังไม่มาก กิริยาท่าทางกลับสมบูรณ์แบบ
เมื่อยกเท้าก้าวเข้าไปในประตู ชายเสื้อคลุมผ้าไหมลวดลายสวยงามก็ลอยขึ้น กลิ่นหอมที่ไม่อาจบรรยายได้ลอยผ่านไปมา ทำให้ผู้คนรู้สึกสดชื่นสบายใจ เหมือนนางฟ้าที่มีเทวดาติดตามมาด้วย รองอธิบดีกรมหลิวก็ตื่นขึ้นจากการหลับใหลในทันที
อวิ๋นหว่านชิ่นยังพอรู้จากปากหงเยียนมาบ้างว่ารองอธิบดีกรมหลิวผู้นี้มีอุปนิสัยเช่นไร ดูได้จากที่เขามองขึ้นลงประเมินตนเอง แม้ว่าจะดูประหลาดใจเล็กน้อย ที่ไม่เลี้ยงน้ำชาหรือเชิญนั่ง สายตาที่แฝงถึงความไม่ให้เกียรติ เพียงแค่ขยับริมฝีปากเล็กน้อย ในขณะที่บางคนให้ความเคารพต่อเขามากเกิน แต่เขาหยาบช้ากับเจ้า ต้องแสดงวางอำนาจใส่เขา เขาจึงจะเริ่มสนใจเจ้า
กวาดสายตามองทั้งซ้ายและขวา แล้วจ้องมอง เลือกเก้าอี้พนักพิงที่มีลายดอกไม้และนกเป็นหลัก อวิ๋นหว่านชิ่นยกเสื้อคลุมออก แล้วนั่งลงอย่างสง่างาม ไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง แต่ไม่อ่อนน้อมเกินควรจนดูต้อยต่ำ “ท่านหลิวมารยาทช่างงามนัก” รองอธิบดีกรมพระคลังหลิวเคยเห็นคนมาหลากหลายมากกว่าข้าวที่เคยกินไปเสียอีก ท่าทางเยี่ยงนี้ ถ้าหากว่าไม่ได้เตรียมตัวมาอย่างดีหรือคงท่าทางจะละล้าละลัง ก็คงจะไม่กล้าแสดงท่าทางวางมาดได้ตามสบายเช่นนี้ เดิมทีสีหน้าที่ดูแคลนของเขาก็ดูลดลง เมื่อได้ยินเรื่องรับช่วงต่อบ่อน้ำพุร้อนตาแมว รองอธิบดีกรมพระคลังหลิวลูบเคราแพะของเขาแล้วยิ้ม รอยยิ้มที่แสดงถึงการดูถูกก็ได้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
ยังไม่ทันสิ้นเสียงหัวเราะ เสียงของรองเจ้ากรมหลิวกลับหยุดลงโดยฉับพลัน ราวกับมีสัตว์ปีกติดอยู่ที่คอ คาไว้อย่างนั้น
เด็กหนุ่มรูปงามที่อยู่ตรงข้ามอั้นโฉ่วหยิบกระดาษสี่เหลี่ยมออกมาจากปากกระบอกแขนเสื้อ ถือโอกาสเข้าไปด้านในอั้นโฉ่ว แล้วดันออกมา จากนั้นก็ใช้ที่ทับกระดาษหินแกะสลักหัวเสือทับไว้บนโต๊ะหนังสือ มันคือตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงใบหนึ่งที่ใหม่เอี่ยมยิ่ง เพิ่งนำออกมาจากเตากำลังร้อนระอุ
ตั้งแต่สมัยก่อนศาลาว่าการที่หันหน้าไปทางทิศใต้นั้น แม้จะมีเหตุผลแต่ถ้าไม่มีเงินก็ไม่สามารถเข้ามาได้ ถึงแม้ว่าจะรู้สึกเจ็บปวดที่ต้องเสียเงินหนึ่งพันตำลึงไป แต่ก็เป็นช่องทางเดียวที่จะเปิดประตูบานนี้ออกได้ อวิ๋นหว่านชิ่นก็ไม่ได้ให้ตามอำเภอใจ หากนางให้น้อยอีกฝ่ายก็ไม่พอใจ และถ้านางก็ให้มากเกินไปมันจะเพิ่มความโลภของอีกฝ่ายมากเกินไปด้วย จะทำให้ไม่สำเร็จได้ เลขนี้เป็นราคาที่ชั่งน้ำหนักหลังจากสอบถามจากท่านลุง เป็นปกติที่หากพ่อค้าต้องการแย่งชิงสถานที่หรือร้านค้า โดยการแอบบีบขุนนางที่ดูแลร้านค้าเหล่านี้ โดยปกติจะให้อยู่ที่ห้าร้อยตำลึง ขุนนางเหล่านั้นจึงได้รับส่วนตนไปโดยปริยาย
นางคิดไตร่ตรองได้ไม่นานนัก ก็ตกเป็นเหยื่อของทั้งคู่ไปเสียแล้ว ไปอิ๋นจวง[2]สะสมตั๋วเงินพันตำลึง ชูซย่าตอนนั้นเหมือนการตัดเนื้อที่เจ็บปวดใจ ไฉนไม่ให้ราคาอิงตามที่ควรจะเป็น ไฉนถึงให้ไปตั้งห้าร้อยตำลึง เงินห้าร้อยตำลึงนั่นสามารถซื้อบ้านที่มีทางเข้าสามสี่ทางได้ ไม่ใช่ว่าคือห้าเหรียญกษาปณ์ทองแดงหรอกหรือ! อวิ๋นหว่านชิ่นกลับยิ้ม แล้วไม่เอื้อนเอ่ยคำใด
ในขณะนี้ เมื่อรองอธิบดีกรมพระคลังหลิวเห็นผลงานพู่กันอันงดงามของอวิ๋นหว่านชิ่น จะมีคำแก้ตัวที่ไหนกัน ดวงตาของท่านก็หรี่ลงพร้อมกับรอยยิ้ม “มานี่สิ ดื่มน้ำชาก่อน! ที่สำนักงานของข้ามีชาต้าหงเผาชั้นยอดอยู่” ช่วงที่รอคนไปชงชา รองอธิบดีกรมพระคลังหลิวก็หรี่ตาเป็นเม็ดถั่วเขียว แล้วถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “เหมือนว่าร้านเซียงหยิงซิ่วจะมีกำลังทรัพย์พอที่จะได้บ่อน้ำพุร้อนไป เอาละ ไม่ปิดบังเจ้าละกันว่าบ่อน้ำพุร้อนนี้ถูกขุดโดยราชสำนัก ถ้าพวกเจ้านึกอยากจะประชันละก็ นอกจากกำลังทรัพย์นี้แล้ว ก็ยังมีประโยชน์ที่ลงตัวกันอยู่ ฉะนั้นต่อให้ข้ารับรายงานแล้ว กลัวก็แต่จะถูกตีกลับมานะสิ”
อวิ๋นหว่านชิ่นวางปลายนิ้วที่ดูสะอาดตาลงบนโต๊ะแล้วเคาะเบาๆ รอยยิ้มได้รวมตัวกันอยู่ในสายตาของนาง “ถ้าหากท่านรู้สึกลำบากใจ ก็รายงานต่อสามัญชนว่าไม่ได้แตะต้องเปลี่ยนแปลงก็มิเห็นจะเป็นอันใด” “โอ้ เรามาคุยกันเสียหน่อยดีกว่า” ดวงตาของรองอธิบดีกรมพระคลังหลิวเป็นประกายขึ้นทันที
อวิ๋นหว่านชิ่นให้คนรับใช้รินชาต้าหงเผาจิบไปพลางๆ ระหว่างพูดคุย พร้อมกลิ่นโชยที่สดชื่น และยิ้มที่สดใส “ทุกหนทุกแห่งใต้ผืนฟ้านี้ มิมีที่ใดไม่ใช่ผืนแผ่นดินของกษัตริย์ แต่พอต้องจัดการดูแลขึ้นมา กลับไม่เห็นจะสามารถดูแลได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนไหนก็ล้วนแต่ต้องสูญเสียกำลังคนและกำลังทรัพย์ไปมากมาย ไม่ได้เพิ่มทรัพย์สินเงินทองอันใดเลย ล้วนแต่เป็นการทำลายสินทรัพย์ให้เสียหายตามอำเภอใจ หากข้ามิรอให้คนมาดูแลแทน ประการแรกก็จะช่วยลดปัญหาที่จะเกิดขึ้นในศาลาว่าการได้ ประการที่สองหากธุรกิจของผองเราทำกำไรได้ การเก็บภาษีจะมีส่วนช่วยมากขึ้นเท่านั้น…ดังนั้นผองเราจึงสามารถชนะได้พวกขุนนางชั้นสูงในกรมพระคลังก็จะช่วยจัดการการคลังราชสำนักได้ พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นพวกหัวแหลม เมื่อคำนวณเช่นนี้แล้ว ต้องยอดเยี่ยมกว่าที่ข้าคิดอย่างแน่นอน”
——
[1] อั้นโฉ่ว (案首) แปลตามตัวอักษรว่า ที่หนึ่งในโต๊ะเรียน คือผู้ที่สอบได้อันดับที่หนึ่งหรือสูงสุดในบรรดานักศึกษาหลิ่นเชิง และในบรรดานักศึกษาเชิงหยวน ด้วยเช่นกัน
[2] อิ๋นจวง (银庄) ร้านค้าฝากออมเงิน