ตอนที่ 262 สอบได้ที่หนึ่งห้าวิชา!

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เรื่องอุบัติเหตุรถชนของโรงเรียนมัธยมอวิ๋นเฉิงถูกปิดข่าวไว้ 

 

 

ก่อนหน้านี้เฉียวเซิงก็ไม่ได้นำเรื่องนี้มาพูดกับคนในห้องเก้า ยิ่งใกล้ถึงเวลาสอบ พวกเขาไม่อยากให้เรื่องนี้กระทบจิตใจของคนห้องเก้า 

 

 

ตอนที่ฉินหร่านอยู่รัฐ M ได้ถ่ายทอดความรู้ที่ตนเก็บรวบรวมให้ห้องเก้าไว้ไม่น้อย ตอนนี้ความรักใคร่สามัคคีของห้องเก้าไม่เหมือนกับเมื่อก่อน 

 

 

“พอแล้ว อย่ายืนอยู่ตรงนี้อีกเลย พวกเราเข้าไปคุยกันที่ห้องรับรองเถอะ” เฉียวเซิงพูดเสียงใส พลางลุกขึ้น 

 

 

เขาเดินอยู่หน้าฉินหร่าน ใช้สายตาส่งสัญญาณให้นักเรียนห้องเก้าคนอื่นแวบหนึ่ง 

 

 

“ได้ เข้าไปก่อนค่อยพูดกัน” เซี่ยเฟยยิ้ม พลางตอบกลับ เธอดึงสีหน้ากลับมา “ฉันกับหัวหน้าห้องจองห้องรับรองพิเศษไว้แล้ว มีห้อง1202กับ1203” 

 

 

พวกเขาพูดคุยกันอย่างครึกครื้นก่อนเดินเข้าไป แม้กำลังหัวเราะแต่พ่อบ้านเฉิงรู้สึกว่าบรรยากาศดูแปลกเล็กน้อย 

 

 

เขาเดินห่างจากฉินหร่านอยู่หลายก้าว จากนั้นเดินไปหาหลินซือหรานด้านข้าง ก่อนกดเสียงต่ำถามว่า “คุณนักเรียนหลิน เกิดอะไรขึ้นกับ…เพื่อนร่วมชั้นของพวกคุณ?” 

 

 

“อะไรคือเกิดอะไรขึ้นคะ?” หลินซือหรานใช้ความสามารถอย่างเต็มที่ในการสอบครั้งนี้ 

 

 

แต่ยังคงรู้สึกหนักใจอยู่ ทำให้ไม่มีสติเท่าไหร่นัก 

 

 

“ก็ ทำไมเพื่อนร่วมชั้นของพวกคุณถึงมีท่าทีแบบเดียวกันหมด?” พ่อบ้านเฉิงมักรู้สึกว่ามีอะไรไม่ถูกต้องอยู่เสมอ 

 

 

จึงถามอยู่หลายประโยค 

 

 

ความจริงไม่เพียงแค่นักเรียนในห้องเก้า ลู่จ้าวอิ่งกับเฉิงมู่เองก็มีปฏิกิริยาอย่างรุนแรง 

 

 

พ่อบ้านเฉิงเงยมองข้างหน้าอย่างไม่ตั้งใจ ดูเหมือนว่าความนิยมของฉินหร่านในห้องเก้าจะสูงมากๆ ที่สำคัญคือ เมื่อเทียบกับสวีเหยากวงเธอยังจะได้รับการต้อนรับที่ดีกว่า 

 

 

สวีเหยากวงเดินตามหลังทางด้านข้างเล็กน้อย 

 

 

แต่ฉินหร่านถูกคนของห้องเก้ารายล้อมไว้ ตอนนี้ตำแหน่งที่ยืนอยู่คือเซ็นเตอร์ท่ามกลางวัยรุ่นสุดป็อปเลยนะ! 

 

 

หลินซือหรานได้ยินคำพูดของพ่อบ้านเฉิงที่มีน้ำเสียงเหนื่อยใจอย่างยิ่ง “พวกเขาก็แค่เสียดายที่เจ๊หร่านไม่สามารถเข้าร่วมการสอบได้ไงคะ” 

 

 

เธอตอบอย่างเป็นกันเอง 

 

 

พ่อบ้านเฉิงมองไปด้านหน้า เขาเข้าใจเรื่องความเสียดายอยู่บ้าง ทว่าก็ไม่น่าเสียดายถึงขั้นนี้ได้นี่? 

 

 

แม้แต่ท่าทางของสวีเหยากวงเองก็แปลกไป 

 

 

“ยังไงซะนอกจากวิชาฟิสิกส์ วิชาอื่นก็สอบได้ที่หนึ่งหมด ทั้งอาจารย์และนักเรียนในโรงเรียนก็เก็งว่าปีนี้หรานหร่านจะคว้าอันดับหนึ่งทุกวิชาเพื่อเอาชนะนายน้อยสวีได้หรือไม่ แต่ใครจะไปรู้ว่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น พอพวกคนในห้องรู้เรื่องเข้าแน่นอนว่ารู้สึกเสียใจกันมาก” หลินซือหรานถอนหายใจ พูดต่อไป 

 

 

คนกลุ่มหนึ่งเดินมาถึงริมขอบลิฟต์แล้ว 

 

 

แบ่งกลุ่มเข้าไปเรียบร้อย 

 

 

ฉินหร่านที่อยู่ในกลุ่มนั้นเดินขึ้นลิฟต์ พ่อบ้านเฉิงกับคนอีกกลุ่มหนึ่งรอเพื่อขึ้นลิฟต์รอบถัดไป 

 

 

เมื่อได้ยินหลินซือหรานพูดดังนั้นเขาจึง “อืม”ออกมาคำหนึ่ง 

 

 

ผ่านไปครู่ใหญ่ ถึงนึกออกว่ามีเรื่องไม่ถูกต้อง 

 

 

ใบหน้าของพ่อบ้านเฉิงตกตะลึง จากนั้นมองหลินซือหรานอย่างแข็งทื่อ 

 

 

“ติ๊ง” เสียงลิฟต์ดังขึ้น 

 

 

หลินซือหรานและห้องเก้าคนอื่นๆ เดินเข้าไปแล้ว เดินไปสองเก้าก็เห็นพ่อบ้านเฉิงยังยืนนิ่งกับที่ พลางหันหลังไป “คุณพ่อบ้านคะ ทำไมคุณถึงไม่เดินละคะ?” 

 

 

“มาแล้วครับ” พ่อบ้านเฉิงรู้สึกตัว เดินตามหลินซือหรานเข้าไปในลิฟต์ด้วยกัน 

 

 

ทั้งมือและเท้าของเขาต่างเคลื่อนไหวราวกับหุ่นยนต์  

 

 

เมื่อลิฟต์ถึงตัวอาคาร ลิฟต์ก็เปิดออก ทุกคนต่างออกจากลิฟต์ พ่อบ้านเฉิงเพิ่งรู้สึกตัว “คุณนักเรียนหลิน เมื่อครู่คุณบอกว่าใครสอบได้ที่หนึ่งนะครับ?” 

 

 

พ่อบ้านเฉิงก็เคยเจอเรื่องเหลือเชื่อครั้งใหญ่มาแล้ว ก่อนหน้านี้ก็สงสัยอยู่บ้าง ทว่าก็ยังคิดว่าโดนหลอกอีกครั้งหนึ่งเข้าแล้ว 

 

 

“ก็หรานหร่านไงคะ” หลินซือหรานย้ำอีกครั้งหนึ่ง “คณิตศาสตร์ของเธอดีกว่านายน้อยสวีอยู่บ้าง” 

 

 

พ่อบ้านเฉิงหยุดชะงักอยู่ที่เดิม 

 

 

คนอื่นเป็นอย่างไรเขาไม่รู้ แต่ดูเหมือนว่าคนสกุลสวีเป็นตระกูลที่เกิดมาเพื่อคณิตศาสตร์ สำหรับวิชาคณิตศาสตร์แล้วคือพรสวรรค์อันแรงกล้า 

 

 

เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับสำหรับคนวงในในเมืองหลวง 

 

 

คณิตศาสตร์ของคุณหนูฉินหร่านยังดีกว่าสวีเหยากวงงั้นรึ? 

 

 

ตอนนี้สมองของพ่อบ้านเฉิงว่างเปล่า ไม่รู้ว่าระเบิดจากข้อมูลลูกใหญ่ในตอนนี้ทำให้เขาไม่รู้ว่าต้องร้องไห้ก่อนหรือหัวเราะก่อนดี 

 

 

“คุณพ่อบ้าน คุณไม่เดินเหรอคะ?”หลินซือหรานเห็นพ่อบ้านเฉิงไม่ได้เดินตามมาอีกก็หยุดชะงักไปพลางมองพ่อบ้านเฉิง 

 

 

พ่อบ้านเฉิงส่ายหัว “เด็กหนุ่มสาวอย่างพวกคุณเล่นกันไปเถอะครับ ผมไม่เข้าไปละ” 

 

 

เขาไม่ได้เข้าห้องรับรองกับเด็กพวกนี้ แต่นั่งรออยู่บนโซฟาด้านนอก พลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เปิดดูข้อความของติวเตอร์กวดวิชาที่เขาเคยส่งไปก่อนหน้านี้ 

 

 

ก่อนถามพวกเขาอย่างจริงใจว่าทำไมถึงอยากคืนเงิน 

 

 

อีกฝั่งก็ตอบกลับอย่างรวดเร็ว 

 

 

[……] 

 

 

[พ่อบ้านเฉิง ผมไม่รู้ว่าจะเอาที่ไหนมาสอนแล้ว ผมเคยพาเด็กห้องกิฟต์คณิตศาสตร์มาด้วย คณิตศาสตร์ของเธอเทียบกับนักเรียนที่คว้าอันดับสามโอลิมปิกปีที่แล้วยังเก่งกว่าเลย ผมสอนเธอไปตัวสั่นงกๆ ไป ช่วงหลังมาเลยไม่ได้สอนแล้ว จึงเที่ยวเล่นในรัฐ M แทน…คุณอย่าทรมานผมอีกเลยครับ] 

 

 

เนื้อความของอาจารย์กวดวิชาคนที่สองก็ไม่ต่างอะไรกันมาก 

 

 

เมื่อพ่อบ้านเฉิงอ่านจบ จากนั้นก็นั่งพิงอยู่บนโซฟาครู่ใหญ่ แม้แต่ตาก็ไม่ได้กะพริบ 

 

 

** 

 

 

ด้านในห้องรับรองพิเศษ บรรยากาศในห้องเก้าไม่ได้สนุกสนานมากมายนัก 

 

 

ตอนแรกก็ดื่มเหล้ากันอย่างครึกครื้น 

 

 

สวีเหยากวงนั่งอยู่มุมห้อง ถือแก้วเหล้าในมือ ปากเล็กๆ ที่เม้มอยู่ไม่ได้พูดอะไร เพียงมองฉินหร่านในบางครั้ง พลางมุ่ยหัวคิ้วเล็กน้อย 

 

 

เพราะมือของฉินหร่านทำให้ดื่มเหล้าไม่ได้ เธอเองก็ไม่ได้แตะแก้วเลย เพียงนั่งอยู่กับหลินซือหราน 

 

 

เมื่อเรียนจบแล้ว ต่างคนต่างเดินตามเส้นทางของตัวเอง การที่ทุกคนสามารถรวมตัวกันได้หลังสอบเสร็จ เป็นเรื่องที่บอกได้ว่าห้องเก้าเป็นห้องเรียนที่วิเศษห้องหนึ่ง 

 

 

เมื่อดื่มไปได้ระยะหนึ่ง ฉินหร่านมองดูเวลาก่อนลุกขึ้นเพื่อเตรียมตัวกลับ 

 

 

คนอื่นไม่กล้ารั้งเธอไว้ ทั้งไม่ได้ห้ามเธอ ในใจคิดว่าฉินหร่านคงไม่มีความสุข ก่อนยืนขึ้นพาเธอไปส่งที่ประตูลิฟต์ 

 

 

หลังจากฉินหร่านจากไปแล้ว คนกลุ่มหนึ่งถึงเริ่มพูดเรื่องฉินหร่าน 

 

 

เกาหยางเพิ่งจัดการเอกสารทั้งหมดเสร็จ รีบรุดมายังห้องรับรองพิเศษที่ทุกคนรวมตัวกัน เมื่อมองแวบแรกก็เห็นพวกเขาเป็นแบบนี้ไปเสียแล้ว 

 

 

“เป็นอะไรกัน ทุกคนสอบได้ไม่ดีหรือ?” รอยยิ้มเบาบางแสนอบอุ่นประดับบนใบหน้าอวบของเขา 

 

 

“ไม่มีอะไรครับ” หัวหน้าห้องเงยหน้าตอบ “ก่อนที่เจ๊หร่านจะไปต่างประเทศได้ให้เลกเชอร์พวกเราไว้ตั้งเยอะ พวกเราต้องสอบได้ดีอยู่แล้ว” 

 

 

เกาหยางยื่นมือดันแว่นบนสันจมูก ก่อนนั่งบนเก้าอี้ที่พวกเขาเหลือไว้ให้ “งั้นพวกเธอเป็นอะไรกัน? สอบเสร็จแล้ว ก็ควรโล่งอกอย่างมีความสุขสิ?” 

 

 

เมื่อพวกเขาได้ยินเกาหยางพูดเช่นนี้ ต่างคนก็ต่างเงียบไม่พูดอะไร 

 

 

สัมผัสได้ว่าบรรยากาศผิดปกติเล็กน้อย 

 

 

เกาหยางมองเซี่ยเฟยแล้วยิ้ม “เซี่ยเฟย เธอพูดซิว่าเกิดอะไรขึ้น?” 

 

 

เซี่ยเฟยที่ดื่มเหล้าจนใบหน้าแดงก่ำ ทว่ายังมีสติอยู่แจ่มแจ้ง เธอเม้มปากเอ่ยด้วยสีหน้าคร่ำครวญ “อาจารย์เกา หนูพูดแล้วอาจารย์อย่าคิดมากนะคะ กระดูกมือซ้ายของเจ๊หร่านหักก่อนวันสอบ” 

 

 

“กระดูกมือซ้ายหัก?” เกาหยางช็อกไปครู่หนึ่ง เขาไม่เคยได้ยินจริงๆ เพราะไม่อยากให้นักเรียนกดดัน ก่อนการสอบอาจารย์ใหญ่ของพวกเขาไม่ได้บอกอะไร ทั้งไม่ได้โทรศัพท์หา “เธอไม่ได้เข้าสอบเหรอ?” 

 

 

เซี่ยเฟยส่ายหัว “เธอเข้าสอบค่ะ” 

 

 

“อ้อ” เกาหยางเงียบอยู่สักพัก เขาพยักหน้า “ฉันพอเข้าใจแล้ว” 

 

 

ตอนสอบกลางภาคปีที่แล้ว เกาหยางก็รู้แล้วว่าฉินหร่านไม่ใช่คนถนัดซ้าย 

 

 

ทว่าเธอมีปมในใจอยู่ 

 

 

ตอนนี้มือซ้ายได้รับบาดเจ็บ ทั้งยังเข้าสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ นั่นหมายความว่าปมในใจของเธอได้คลายแล้ว 

 

 

เกาหยางถอนหายใจด้วยความโล่งอกเบาๆ ในเมื่อตอนนั้นที่ฉินหร่านได้พูดกับเขา ท่าทางนั้นทำให้คนรู้สึกกังวล 

 

 

เมื่อคิดได้เช่นนั้น เกาหยางจึงก้มหน้าก้มตาส่งข้อความหาฉินหร่าน___ 

 

 

[วิชาคณิตสอบเป็นยังไงบ้าง] 

 

 

อีกฝ่ายน่าจะเล่นโทรศัพท์อยู่ ก่อนตอบกลับอย่างรวดเร็ว___ 

 

 

[150] 

 

 

เป็นการอวยตัวเองอย่างมากที่ให้คะแนนเต็ม 

 

 

เกาหยางคิดอยากทุบลูกศิษย์ของตนอยู่บ้าง บอกกับเธอว่าเกิดเป็นคนอย่าได้ทำตัวบ้าบิ่นขนาดนี้ 

 

 

ทว่ามุมปากก็ไม่อาจกลั้นยิ้มอย่างมีความสุข ไม่อาจสลัดรอยยิ้มบนใบหน้าได้ 

 

 

ทั้งเซี่ยเฟย หัวหน้าห้องและเฉียวเซิงต่างมองหน้ากัน 

 

 

“ไม่ใช่เพราะอาจารย์เกาได้ยินเรื่องของเจ๊หร่านจนเป็นบ้าละมั้ง?” เฉียวเซิงเกาหัว 

 

 

นี่เขาหัวเราะออกมาได้ยังไง? 

 

 

ทั้งหัวเราะอย่างดีใจอีก? 

 

 

ตอนที่ฉินหร่านยังเรียนไม่เก่ง เกาหยางก็กังวลเรื่องฉินหร่านอย่างมาก อาจารย์ประจำชั้นอย่างเขาและอาจารย์ประจำชั้นท่านอื่นๆ ไม่เหมือนกัน 

 

 

วันนี้อย่าว่าแต่ฉินหร่านเลย ต่อให้เป็นนักเรียนคนใดคนหนึ่งในห้องเก้า เกาหยางล้วนกังวลใจอย่างมาก 

 

 

ไม่ต้องพูดถึงฉินหร่านที่เป็นม้ามืด 

 

 

หลินซือหรานถือแก้วเหล้า พลางบ่นพึมพำ “หรือเป็นไปได้?” 

 

 

เกาหยางที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ชูแก้วชนกับนักเรียนห้องเก้าด้วยความอิ่มเอมใจ “การเรียนจบมัธยม คือช่วงเวลาหนึ่งของการเดินทางครั้งใหม่ หวังว่าทุกคนจะสอบติดมหาลัยที่หวังเอาไว้…” 

 

 

ความจริงแล้วฉินหร่านในทุกวันนี้ก็ไม่ได้ปิดบังอะไรมากมาย เธอใช้มือขวาแกะกระดุม ใช้มือขวาหมุนฝาขวดน้ำ เรื่องที่เธอไม่ใช่คนถนัดซ้ายเพียงเพราะต้องการเรียนรู้จิตวิทยา เป็นเรื่องที่ดูออกได้ง่าย… 

 

 

เกาหยางมองดูนักเรียนห้องเก้าที่กังวลอยู่นี้ พลางถอนหายใจ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ถึงเข้าใจความรู้สึกด้านลบของฉินหร่านที่ไม่เคยปรากฏออกมาสักครั้ง… 

 

 

อีกฝั่งหนึ่ง 

 

 

ขณะที่โชเฟอร์กำลังขับรถ 

 

 

พ่อบ้านเฉิงที่นั่งอยู่ข้างคนขับอดไม่ไหวหันหลังมองฉินหร่านอยู่บ่อยครั้ง 

 

 

ตลอดจนถึงคฤหาสน์ เขาไม่ได้ตอบสนองอะไร 

 

 

เพียงสภาพในตอนนี้ทรุดลงอยากมาก 

 

 

ในเวลานี้ถึงเข้าใจแล้วว่า ทำไมลู่จ้าวอิ่งกับเฉิงมู่ถึงอยากฆ่าเมิ่งซินหรานแทบใจจะขาด 

 

 

พ่อบ้านเฉิงนั่งอยู่บนโซฟาห้องรับแขกอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายก็อดใจไม่ไหว หยิบโทรศัพท์โทรหาเมืองหลวงฝั่งนั้น