บทที่ 25.5 แผนร้ายลับหลัง ท่านหญิงอันเล่อถูกทำร้าย (5)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

บทที่ 25 แผนร้ายลับหลัง ท่านหญิงอันเล่อถูกทำร้าย (5) โดย Ink Stone_Romance

คนแซ่เจิ้งคิดจะเหยียบเรือสองแคมงั้นรึ? ในฐานะที่แต่งงานกับจวนอ๋องหนานเหอของพวกนางไปแล้ว ยังคิดจะเชื่อมสัมพันธ์ญาติดีกับพวกวังบูรพาอีกงั้นรึ? บนโลกใบนี้มันจะมีเรื่องที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายแบบนี้ที่ไหนกัน

ฉู่หลิงอวิ้นกระตุกมุมปากหันหลังกลับไป ในขณะที่กำลังจะปิดประตูลงก็พบว่าบานประตูถูกอะไรบางอย่างสกัดกั้นไว้อยู่ทำให้ขยับไม่ได้ จึงหันไปมอง ทว่ากลับพบเข้ากับใบหน้าที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอ

“จางอวิ๋นเจี่ยนรึ?” น้ำเสียงของฉู่หลิงอวิ้นสูงขึ้นอย่างไม่รู้สึกตัว คำพูดพวกนั้นแทบจะโพล่งออกมา “ทำไมเจ้าถึงมาที่นี่ได้?”

“ทำไมรึ? เจ้าคิดว่าแค่หลบซ่อนไป เรื่องมันก็จบงั้นเหรอ?” จางอวิ๋นเจี่ยนยิ้ม แต่รอยยิ้มบนใบหน้านั้นกลับทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดเรื่องอะไรอยู่ ตอนนี้ข้าไม่มีความสัมพันธ์ใดเกี่ยวกับพวกเจ้าสกุลจางเลยทั้งสิ้น เจ้ารีบไปซะ ไม่งั้น…” ฉู่หลิงอวิ้นเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา จากนั้นพยายามออกแรงปิดประตูลง

แต่จางอวิ๋นเจี่ยนยังคงยืนบังอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน เขาเดินรุดหน้าเข้าไปหนึ่งก้าว ยื่นมือจับคอของนางแล้วดันเข้าไปในตัวห้อง

เรี่ยวแรงของชายหนุ่มถึงขั้นทำให้ฉู่หลิงอวิ้นแทบขาดอากาศหายใจ ใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที

ในช่วงเวลานั้นจางอวิ๋นเจี่ยนทรุดโทรมลงไปมาก ถึงแม้เสื้อผ้าอาภรณ์จะดูสะอาดใหม่เอี่ยม แต่ร่างกายของเขาผอมโซ ใบหน้าซูบผอมจนเนื้อหนังแนบกระดูกโผล่ขึ้นให้เห็น ช่วงเวลาอายุยี่สิบกว่าปีเป็นช่วงวัยเจริญเติบโตแท้ๆ แต่ดูสภาพของเขาตอนนี้แล้วก็ไม่ต่างอะไรจากคนอายุสี่สิบเลยแม้แต่น้อย

เดิมทีฉู่หลิงอวิ้นเองไม่ได้ถูกชะตากับเขาอยู่แล้ว ยิ่งเห็นสภาพของเขาตอนนี้ยิ่งทำให้นางรู้สึกแย่พะอืดพะอมอยากจะอ้วกออกมา

“เจ้าอธิบายมาให้ข้าฟังอย่างชัดเจนเดี๋ยวนี้ เรื่องวันนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!” จางอวิ๋นเจี่ยนพูดขึ้น เพ่งมองนางเขม็งด้วยดวงตาแดงก่ำ

ฉู่หลิงอวิ้นออกแรงแกะมือของเขาออกทว่ากลับไม่เป็นผล จึงได้แต่ดิ้นรนอย่างสุดชีวิต

จื่อเหวยกับจื่อซวี่ที่อยู่ด้านนอกได้ยินเสียงโหวกเหวกด้านในก็รีบพุ่งเข้ามา จับตัวอีกฝ่ายไว้ คนหนึ่งซ้ายคนหนึ่งขวา “รีบปล่อยมือออกจากท่านหญิงซะ!”

จางอวิ๋นเจี่ยนในตอนนี้แทบหาความเป็นผู้ดีแห่งซื่อจื่อจวนติ้งเป่ยโหวไม่ได้เลย กระทั่งความเห็นใจต่อผู้เป็นหญิงที่ชายชาตรีควรพึงมีก็ไม่เหลือเลยสักนิด เขาสะบัดนางทั้งสองออกห่างอย่างไม่แยแส

จื่อซวี่โดนผลักออกไปจนตัวโซเซ ส่วนจื่อเหวยนั้นโดนเขาผลักจนกลิ้งหล่นไปบนพื้น นางกัดฟันลุกขึ้นคลานออกไปร้องขอให้คนช่วย

เรือนนี้ห่างไกลจากตัวเรือนหลักมากนัก ตอนที่ฉู่หลิงอวิ้นอยู่เข้าพัก คนแซ่เจิ้งเองก็ให้ทหารองครักษ์คอยเฝ้าอยู่หลายคน แต่ฉู่หลิงอวิ้นรำคาญพวกนั้นเลยไล่พวกเขาออกจนหมด

ตอนที่เกิดเรื่องกับคนสกุลจางตอนนั้นจื่อเหวยไม่อยู่พอดี แต่จื่อซวี่นางรู้เห็นทุกอย่าง นางกลัวว่าเรื่องนี้จะวุ่นวายไปกันใหญ่ จึงรีบไปรั้งจื่อซวี่เอาไว้พลางส่ายหัวอย่างร้อนรน “อย่าไปเลย จะป่าวประกาศออกไปไม่ได้!”

พูดจบนางก็ปิดประตูลงทันที

จางอวิ๋นเจี่ยนเห็นข้ารับใช้ของนางหวาดกลัวเลยคลายมือลง

ข้ารับใช้สองคนเข้าไปพยุงฉู่หลิงอวิ้นเอาไว้ ฉู่หลิงอวิ้นจับคอของตนแล้วไอออกมาอย่างยากลำบากพลางจ้องมองจางอวิ๋นเจี่ยนด้วยแววตาเคียดแค้น

“เรื่องของบ้านสกุลจางของข้าทั้งหมดเป็นฝีมือของเจ้าสินะ? เจ้ามองว่าพวกข้าทุกคนเป็นแค่ทางผ่านหินรองเท้าใช่หรือไม่?” จางอวิ๋นเจี่ยนถามอย่างตรงไปตรงมา ทุกคำพูดทุกประโยคเปล่งเสียงเล็ดลอดออกมาจากไรฟันอย่างโกรธแค้น

เมื่อสองคืนก่อน ในระหว่างที่เขากลับบ้านไปในตอนกลางดึก ก็ถูกคนรุมทำร้ายอยู่ตรอกหลังบ้าน จากนั้นได้ยัดจดหมายให้เขาไว้หนึ่งฉบับ เนื้อความในจดหมายนั้นเล่ากล่าวถึงเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับบ้านสกุลจางอย่างถี่ถ้วน

แน่นอนว่ามันไม่เหมือนกับสิ่งที่พวกเขาประสบพบเจอเลยแม้แต่น้อย

เรื่องทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของผู้หญิงน่ารังเกียจฉู่หลิงอวิ้นคนนี้ เดิมทีที่นางแต่งงานเข้าบ้านสกุลจาง นางก็หาได้มีจิตใจใฝ่ดีแต่แรกไม่ สุดท้ายเพื่อที่นางจะได้สลัดพวกเขาทิ้ง นางยังหลอกใช้เขาแถมยังทำร้ายครอบครัวของเขาทั้งตระกูล จนท่านพ่อถูกประหารตัดศีรษะ ทำให้พวกเขาถูกถอดยศถาบรรดาศักดิ์ นี่เป็นกลยุทธ์ถอนฟืนใต้กระทะ ฉกฉวยโอกาสทำลายศัตรูให้แตกพ่ายย่อยยับชัดๆ

ทำลายโคตรเหง้าสกุลจางจนหมดสิ้น แต่มีเพียงนางคนเดียวที่ยังปลอดภัยลอยลำไม่รู้ร้อน!

ฮ่องเต้ปลดพวกเขาทิ้งเพียงเพราะต้องการปิดบังความอับอายที่หลานสาวตัวเองกระทำลงไป พวกเขาทั้งครอบครัวได้รับโทษอย่างไม่เป็นธรรม

ที่น่ารังเกียจกว่านั้นก็คือคนฝั่งของนางไม่ถูกแตะต้องหรือกล่าวถึงเลยแม้แต่น้อย?

ความอับอายเคียดแค้นจากการโดนคนอื่นปั่นหัวปะทุออกมา จางอวิ๋นเจี่ยนหยิบจดหมายฉบับนั้นออกมาจากสาบเสื้อแล้วเขวี้ยงใส่หน้าของฉู่หลิงอวิ้น ตะโกนถามเสียงดังด้วยความโมโหว่า “เจ้าบอกมาสิ เรื่องทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องจริงใช่ไหม?”

จื่อเหวยก้มลงจะไปหยิบกระดาษแผ่นนั้น ทว่ากลับโดนฉู่หลิงอวิ้นเหยียบทับอย่างเย็นชา เหยียบบี้จนป่นปี้

นางปรายตามองจางอวิ๋นเจี่ยนอย่างเลือดเย็น กระตุกมุมปากพูดขึ้นอย่างไม่เกรงกลัวว่า “ใจเย็นๆ สิ คิดว่าครอบครัวสกุลจางของเจ้าเป็นอะไรกัน? เดิมทีมันไม่มีค่าให้พูดถึงแต่แรกอยู่แล้ว ตอนนี้เจ้ายังมีหน้ามาซักไซ้ถามข้าแบบนี้อีกงั้นหรือ?”

จางอวิ๋นเจี่ยนกัดฟันกรอด เส้นเลือดปูดโปนสั่นระริก เขาโดนนางพูดเยาะเย้ยใส่จนแทบควบคุมอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่ ทำได้เพียงตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ข้าถามเจ้าว่า เรื่องทั้งหมดที่เขียนในจดหมายนั่นเป็นเรื่องจริงใช่หรือไม่? เจ้าหลอกใช้ครอบครัวสกุลจางของข้า? เจ้าเป็นคนทำให้พวกข้าลำบากเยี่ยงนี้ใช่ไหม?”

“แล้วถ้าใช่ล่ะ มันจะทำไม?” ฉู่หลิงอวิ้นตอบน้ำเสียงเย็นชา กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้แล้วยกน้ำขึ้นดื่มให้ลื่นคอ มองอีกฝ่ายราวกับดูละครตลกอย่างเยือกเย็น หางตาเลิกขึ้นเล็กน้อยพลางปรางตาไปมองจื่อซวี่ที่อยู่ด้านข้าง แล้วเอ่ยขึ้นว่า

“หากเจ้าคิดว่าตัวเองเสียเปรียบ ข้ามอบนางคนนี้ให้เจ้าเป็นการตอบแทนก็ได้นะ”

นางทำถึงขั้นนี้ แสดงว่านางยอมรับแล้ว

จางอวิ๋นเจี่ยนตกใจเสียสติเดินเซถอยหลังออกไป

แต่ทว่าจื่อซวี่กลับตกใจจนหน้าขาวซีด นางรีบคุกเข่าไปร้องขอชีวิต “ท่านหญิง…”

“หุบปากซะ!” ฉู่หลิงอวิ้นหันมองขวับอย่างเยือกเย็น จากนั้นเบนหน้ามองจางอวิ๋นเจี่ยนอีกครั้ง แล้วเอ่ยขึ้นอย่างสบายอารมณ์ว่า “นางคนนี้ติดตามข้ามานานหลายปี คนอื่นอยากได้ข้ายังเสียดายไม่อยากให้เขาเลย!”

สีหน้าท่าทางของฉู่หลิงอวิ้นหยิ่งผยองเหมือนอย่างเคย

เมื่อเทียบกันแล้ว จางอวิ๋นเจี่ยนกลับรู้สึกว่าตนเป็นตัวตลกก็ไม่ปาน

“ฮะ…” เขาอดไม่ได้ที่จะแค่นหัวเราะออกมาสองที จากนั้นก็นิ่งเงียบไป

ฉู่หลิงอวิ้นคิดว่าอีกฝ่ายตกอยู่ในภวังค์ของตนเอง เขาต้องไม่กล้าต่อกรกับนางเป็นแน่ แต่กลับไม่คิดว่าตนจะถูกอีกฝ่ายฉุดตัวขึ้นมาจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่

นางเผลอร้องออกมา เพียงแค่จางอวิ๋นเจี่ยนขยับแขน นางก็ตกอยู่ในมือของเขาแล้ว แขนเสื้อตัวนอกของนางถูกเขาดึงจนขาดหลุดรุ่ยออกมา

จางอวิ๋นเจี่ยนเดินเข้าไปหาแล้วยิ้มออกมาอย่างโหดเหี้ยม ยกมือขึ้นกระชากคอเสื้อของนางต่อ แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดว่า “ตอนนี้ครอบครัวสกุลจางของข้าพ่ายแพ้ให้กับฝีมือของเจ้าจนหมดสิ้นแล้ว เจ้าคิดเหมือนกันไหม? แค่ข้ารับใช้คนเดียวมันจะไปพออะไร? ไม่ว่าอย่างไรทุกคนต่างรู้เห็นเรื่องนี้หมดแล้ว ถึงแม้วันนี้มันจะช้าไปสักหน่อย แต่เจ้าสู้ทำตัวให้ดีๆ จะดีกว่านะ”

ฉู่หลิงอวิ้นเริ่มรู้สึกหวาดกลัว พยายามหลบหลีกอย่างไม่คิดชีวิต จากนั้นเริ่มร้องโวยวายขึ้นแล้วพูดว่า

“เจ้ากล้าแตะต้องข้างั้นรึ? เจ้ามันไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง! จางอวิ๋นเจี่ยน เจ้าเชื่อข้าหรือไม่ว่าตอนนี้ข้าทำให้เจ้าตายคาที่ได้เลย!”

“ข้ามีอะไรให้กลัวอีกเล่า? ถ้าเจ้ากล้าฆ่าปิดปากข้าจริงก็ลองดูสิ!” จางอวิ๋นเจี่ยนไร้ซึ่งความหวาดกลัว ราวกับไม่หลงเหลือสติอยู่แล้วแบบนั้น เขาไม่สนใจข้ารับใช้สองคนที่ดึงทึ้งอยู่ เขาจ้องมองฉู่หลิงอวิ้นเขม็ง ภายใต้ใบหน้าโหดร้ายนั้นแฝงไปด้วยความบ้าคลั่ง

ฉู่หลิงอวิ้นไม่เคยคิดแยแสเขา นางพลันเอ่ยปากตะโกนไล่เพราะไม่อาจทนไหว

แต่อีกฝ่ายกลับพูดขึ้นมาอย่างเย็นชาว่า “เจ้าคิดว่าข้าไม่มีใครช่วยหรอกหรืออย่างไร?”

ฉู่หลิงอวิ้นตะคอกออกมาเสียงดังอย่างโมโหไม่พอใจ

แววตาของจางอวิ๋นเจี่ยนเผยให้เห็นถึงความน่ากลัว ใบหน้าเย็นชาเหยเกจนผิดรูป ปิดกั้นตัวนางไม่ให้ขยับไปไหน เขาถอดเสื้อผ้าอาภรณ์ของนางออกอย่างดุดัน พลางพูดขึ้นอย่างโหดเหี้ยมว่า “ถึงแม้วันนี้ข้าจะตายที่นี่ แต่ไม่เกินสองชั่วยามหรอก ทุกคนก็จะรู้เรื่องที่เจ้ากับข้ารวมหัวกันทำร้ายน้องรอง ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ถึงแม้ข้าจะมีสภาพเยี่ยงนี้แต่ข้าเองยังมีชีวิตเหลืออยู่ หากข่าวที่ท่านหญิงอันเล่อคบชู้กับพี่ใหญ่แล้วลอบทำร้ายสามีของตนถูกเปิดโปงออกไป เจ้าคิดว่าเจ้าจะมีชีวิตรอดงั้นหรือ?”

นางเพียงแค่ต้องการวางแผนทำร้ายจางอวิ๋นเจี่ยนเท่านั้น ไม่ได้ทำอะไรเกินเลยไปมากกว่านั้น ใครหน้าไหนก็ว่าอะไรนางไม่ได้

แต่ข้อหาคบชู้กับพี่ใหญ่แล้ววางแผนทำร้ายสามีของตนอันนี้ มันร้ายแรงกว่ากันเยอะนัก

เมื่อครั้งก่อนนางรอดไปได้นั้นเป็นเพราะโชคช่วย แต่ถ้าครั้งนี้เรื่องมันถูกเปิดโปงออกมาอีกครั้งล่ะก็…

ไม่ต้องคิดก็รู้ซึ้งเลยว่าฮ่องเต้ต้องไม่มีทางไว้ชีวิตนางแน่นอน!

จางอวิ๋นเจี่ยนโมโหร้ายจนควบคุมสติเอาไว้ไม่อยู่ เขาไม่สนไม่แยแสอะไรทั้งสิ้น คิดเพียงแต่ต้องลากนางให้ตายไปกับตนให้ได้

สาวใช้สองคนที่อยู่ด้านข้างได้ยินเข้าก็อกสั่นขวัญหาย หยุดอยู่นิ่งไม่รู้ว่าควรเอาไปช่วยหรือถอยหนีออกไปดี

จิตใจของฉู่หลิงอวิ้นร้อนรนไม่สบายใจ หลังจากนั้นก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นบนหน้าอก เสื้อผ้าหลายชั้นของนางถูกอีกฝ่ายดึงทึ้งขว้างทิ้งออกไปไกล

นางรีบยกมือขึ้นปิดบังเนื้อหนังมังสาของตน ตัวสั่นเทาไปด้วยความเหน็บหนาว

เดิมทีจางอวิ๋นเจี่ยนทำไปเพื่อระบายความโกรธแค้น แต่ตอนนี้เขากลับจ้องมองทั่วร่างกายของนาง เผยให้เห็นไฟอันรุ่มร้อนอยู่ในแววตา จากนั้นเขาออกแรงดึงรั้งตัวนางมา กดร่างกายของอีกฝ่ายลงไปบนเก้าอี้ตัวนั้น

ฉู่หลิงอวิ้นได้สติก็รีบขัดขืนทันที แต่เมื่อเผชิญหน้าอยู่กับคนบ้าเยี่ยงนี้ ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่อยากเอาชีวิตตัวเองเข้าไปเสี่ยง ถึงนางขัดขืนอย่างรุนแรงแต่ท้ายที่สุดก็ทำได้แค่กัดฟันกรอดไม่กล้าร้องขอความช่วยเหลือ

สาวใช้สองคนนั้นเบิกตาจ้องมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างตกใจ แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่เดินหนีออกมาแล้วปิดประตูลง เพียงเฝ้าอารักขาอยู่ด้านนอกตัวเรือนเท่านั้น

—————————————-