เวนส์เงียบอยู่นาน ใบหน้าของเขาก็ซับซ้อนขึ้น เขาก้มหน้าอยู่สักพักไม่พูดอะไร จากนั้นก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้นและพูด “ชีอ้าวชวาง ข้าถือว่าเจ้าเป็นเพื่อนสนิทที่แท้จริงเพียงคนเดียวของข้านะ ข้าจะบอกเจ้า พ่อของข้าคือเจ้าเมืองจิ่วเทียนคนก่อน”
“อะไรนะ?” ชีอ้าวชวางตกใจ เมื่อนึกถึงสถานที่ที่ไดทันส์พาไปเมื่อไม่นานมานี้ “แล้วเจ้าเมืองจิ่วเทียนคนปัจจุบันกับเจ้าเป็นพี่น้องกันหรือไม่?”
“ห้ะ! พี่น้อง?!” ท่าทางเยาะเย้ยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเวนส์ “ข้าไม่มีพี่น้องแบบนั้นหรอก”
ชีอ้าวชวางมองการแสดงออกของเวนส์ก็รู้ว่าเรื่องราวภายในนั้นซับซ้อนมาก
“แม่ของข้าถูกเขาบังคับจนตาย ถ้าไม่ใช่เพราะคนสนิทของพ่อพาข้าออกไปที่สำนักที่ข้าอยู่ ตอนนี้ข้าคงเหลือแม้แต่กระดูกแล้ว ตำแหน่งเจ้าเมืองนั้น ข้าไม่อยากได้สักนิด แต่เขาไม่ยอมปล่อยเราแม่ลูก” สีหน้าของเวนส์ย่ำแย่มาก และน้ำเสียงของเขาก็เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
“เจ้าพบกับเบธฟินนีย์เมื่อตอนเจ้ายังเด็กหรือ? เช่นนั้น เบธฟินนีย์รู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าในภายหลัง? แล้วเจ้าเมืองจิ่วเทียนรู้สถานการณ์ปัจจุบันของเจ้าหรือไม่?” ชีอ้าวชวางถามคำถามหลายข้อติดกัน
“อืม ตอนเด็กเราเคยเจอกันตอนที่นางไปที่เมืองจิ่วเทียน เบธฟินนีย์รู้แค่ว่าข้ายังไม่ตาย แต่นางไม่รู้ว่าข้าอยู่ที่ไหน และก็จำข้าไม่ได้แล้ว ส่วนเจ้าเมืองจิ่วเทียน เขารู้แน่นอนว่าข้ายังไม่ตาย แต่พลังของข้ามันต่ำมาก ในสายตาเขาไม่ถือว่าเป็นภัยคุกคาม ตอนแรกเขาส่งคนมาเฝ้าข้า แต่ต่อมาก็รู้สึกว่าข้าเป็นคนที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไร สุดท้ายก็ไม่มายุ่งกับข้าอีก” เวนส์พูด
“แผนของเจ้าคืออะไร?” ชีอ้าวชวางถาม
“ชีอ้าวชวาง ข้าขอบคุณเจ้าจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าก็ยังคงเป็นแค่ขยะไร้ค่า แต่ตอนนี้มันแตกต่างออกไปแล้ว ข้าจะพยายามอยู่เสมอ และจะทำให้ดีที่สุดเพื่อบรรลุความฝัน ข้าอยากแข็งแกร่ง อยากแข็งแกร่งพอที่จะปกป้องเบธฟินนีย์ได้ เข้มแข็งพอที่จะยืนต่อหน้าทุกคนและยืดอกอย่างภูมิใจได้ ถึงเวลานั้นข้าจะไปสารภาพกับเบธฟินนีย์ และข้าจะไม่มีวันหนีไปไหนอีก ” ดวงตาของเวนส์ร้อนรุ่มและสายตาเปี่ยมไปด้วยความหนักแน่น
“แค่นั้นหรือ?” ชีอ้าวชวางยิ้มจางๆ และพูดประโยคนั้นออกมาเบาๆ
เวนส์ตกตะลึง เขามองใบหน้าสงบนิ่งของชีอ้าวชวางและสงสัยว่าชีอ้าวชวางหมายถึงอะไร ตอนแรกคิดว่าหลังจากที่เขาตัดสินใจแน่วแน่ที่จะพูดเรื่องนี้ ชีอ้าวชวางจะชื่นชมและสนับสนุนเขา แต่ชีอ้าวชวางพูดอย่างนั้น มันหมายความว่าอะไร?
“เจ้าไม่อยากได้สิ่งที่ควรจะมีกลับมาหรือ? ไม่อยากได้สิ่งที่คนคนนั้นติดค้างเจ้าคืนมาหรือ? หากไม่มีสถานะ ไม่มีตัวตน ข้าเกรงว่าเจ้าจะแต่งงานกับเบธฟินนีย์ไม่ได้น่ะสิ?” รอยยิ้มบนใบหน้าที่หล่อเหลาของชีอ้าวชวางทำให้เวนส์ตกตะลึงไปอย่างสมบูรณ์
คืนนั้นไม่มีใครรู้ว่าทั้งสองคนคุยอะไรกันในหอพัก แต่บทสรุปที่เกิดขึ้นในภายหลังนั้นน่าทึ่งมาก ไม่มีใครรู้ว่าผู้ชายผมแดงคนนั้นมีส่วนร่วมทั้งหมด
สองวันต่อมา ไดทันส์ โจนาธาน และชีอ้าวชวางสวมชุดนักเรียนสีขาว มีดาวสีทองดวงเล็กๆ แปดดวงเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งและสถานะบนหน้าอก พวกเขามาปรากฏตัวที่ประตูสถาบันด้วยความสง่างาม
ทั้งสามคนยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสงบ เรียกสายตาของคนนับไม่ถ้วน รอบข้างมีแต่เสียงซุบซิบพูดคุย หลายวันมานี้ นักเรียนหลายคนรีบไปที่เมืองไป่ยวิ๋นกัน ประตูสถาบันจึงคึกคักอยู่เสมอ
“ชีอ้าวชวาง ชีอ้าวชวาง…” เสียงหวานตะโกนมาจากระยะไกล มันคือเสียงของพาริน่า
“ไป” ไดทันส์พูดอย่างเย็นชา
“อืม” ชีอ้าวชวางพยักหน้าเตรียมขึ้นรถ ไม่อยากสนใจพาริน่า ไม่ใช่เพราะคำพูดของไดทันส์ แต่ความหมายของชีอ้าวชวางคือไม่ใช่เรื่องดีที่จะอยู่ใกล้ผู้หญิงมากเกินไป และจะยิ่งแย่ไปกว่านั้นถ้าผู้หญิงคนอื่นเข้าใจผิด
“ชีอ้าวชวาง รอข้าด้วยๆ!” พอพาริน่าไล่ตาม รถม้าก็ออกไปแล้ว
“เชอะ! หมอนี่!” พาริน่ากระทืบเท้าอย่างดุดัน พึมพำมองรถม้าที่หนีไปอย่างไม่พอใจ “ไอ้บ้า รอก่อนเถอะ ไม่ไปกับข้า ข้าก็จะไปที่เมืองไป่ยวิ๋นเอง”
ทารีน่ามองภาพนี้จากระยะไกลด้วยท่าทางที่ซับซ้อน ยูเนียขมวดคิ้วและพึมพำอะไรบางอย่างอยู่ข้างๆ
ชีอ้าวชวางหลับตาลงพักผ่อนในรถม้า แต่ก็นึกถึงโพ่เทียนและอาเป่าอยู่ จะได้เจออาเป่าและโพ่เทียนเร็วๆ นี้แล้ว ไม่ได้เจอกันนาน ทั้งคิดถึงและตั้งหน้าตั้งตารอเลยทีเดียว
งานประชุมใหญ่สี่เมืองนี้จะเป็นแบบไหนกันนะ?
เมืองไป่ยวิ๋นอยู่ไม่ไกลจากสถาบันดวงดาว เดินทางแค่ครึ่งวันก็มาถึงแล้ว ทันทีที่เข้าไปในเมืองก็มีเสียงดังอึกทึกและความเจริญรุ่งเรือง ถนนกว้างขยายออกไปทุกทิศทาง ร้านค้าต่างๆ ก็มีลูกค้าเข้าออกไม่ขาดสาย ร้านขายเครื่องประดับ ร้านขายอาวุ ธร้านขายเสื้อเกราะ ร้านขายสัตว์เลี้ยง และร้านเสื้อผ้าเต็มไปหมด เสียงพูดคุยดังเซ็งแซ่
อย่างที่โจนาธานกล่าวไว้ แม้ว่าที่นี่จะเป็นเมืองย่อย แต่ก็ไม่ได้ด้อยกว่าเมืองหลักเลย เมืองเทียนเป่าและเมืองจิ่วเทียนที่ชีอ้าวชวางเคยเห็นนั้นเทียบกับเมืองไป่ยวิ๋นไม่ได้เลย ในโลกแห่งนี้ ผู้ปกครองที่ใหญ่ที่สุดคือสถาบันดวงดาว เพียงแค่เมืองใหญ่ทั้งสี่แห่งอยู่ในความสว่างและสถาบันดวงดาวอยู่ในความมืดเท่านั้นเอง
“อันที่จริงเราไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย เพียงแค่เดินไปรอบๆ สถานที่แห่งนี้ในชุดนี้ และช่วยไกล่เกลี่ยหากมีความขัดแย้ง ถึงอย่างไรเมื่อกองกำลังสำคัญเห็นตัวตนของเราก็จะให้เกียรติเราอยู่แล้ว” โจนาธานเปิดม่านมองไปข้างนอกและอธิบายให้ชีอ้าวชวางฟัง
“เจ้าเมืองและผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาทั้งหมดอาศัยอยู่ในโรงแรมดวงดาว สำนักใหญ่แต่ละสำนักหาที่พักเอง จัดการเองทั้งหมด พวกเราทั้งสามคนก็พักอยู่ในโรงแรมดวงดาวเช่นกัน หลังจากที่พวกเราเข้าที่พักแล้ว เราจะไปที่ต่างๆ โดยรอบได้อย่างอิสระ หากเจอเรื่องอะไรก็แก้ปัญหา จากนั้นก็ไปรวมตัวกันที่โถงใหญ่ก่อนเริ่มงานประชุมหนึ่งวัน”ไ ดทันส์อธิบายกับชีอ้าวชวาง
สี่เมืองใหญ่และสำนักใหญ่แต่ละที่มารวมตัวกันในสถานที่แห่งนี้ จึงหลีกเลี่ยงที่จะเกิดความขัดแย้งกันไม่ได้ ภารกิจของทั้งสามคนคือการแก้ไขความขัดแย้งต่างๆ
“อืม” ชีอ้าวชวางพยักหน้าร ถม้าแล่นไปตามถนนจนสุดทาง ในที่สุดก็หยุดที่หน้าอาคารสูงตระหง่านที่มีแผ่นหินสลักชื่อโรงแรมดวงดาวขนาดใหญ่ที่ทางเข้าอาคาร แผ่นหินแปลกตาไม่เข้ากับโรงแรมสูงและงดงามด้านหลังนี้เลย มันดูประหลาดมาก
“แผ่นหินนี้แกะสลักโดยผู้ก่อตั้งสถาบันดวงดาว บุคคลนั้นหายตัวไปหลังจากที่เขาก่อตั้งสถาบันดวงดาวแล้ว ผู้อำนวยการและผู้อาวุโสไม่ได้พูดถึงเขามากนัก แต่บอกว่าเขาเป็นคนที่มีอำนาจมาก และเป็นแบบอย่างสำหรับทุกคน” โจนาธานมองสายตาของชีอ้าวชวางที่จ้องอยู่บนแผ่นหินและอธิบายออกมา
“อ๋อ แบบนี้นี่เอง” ชีอ้าวชวางตอบอย่างผ่อนคลาย จากนั้นก็เกิดความสงสัยขึ้นในใจ สถาบันดวงดาวดูเหมือนจะไม่ธรรมดาอย่างที่คิด ตอนนี้ดูเหมือนว่าสถาบันดวงดาวจะเป็นผู้ปกครองที่แท้จริงของโลกแห่งนี้ แต่ก็มีความลึกลับมากเกินไป ใครเป็นผู้ก่อตั้งสถาบันก็ไม่ได้บอกให้นักเรียนรู้ด้วย อีกอย่าง นักเรียนคนแรกที่ผ่านถึงระดับแปดดาวทั้งที่เข้าร่วมการทดสอบครั้งแรกคนนั้นทำไมถึงต้องโจมตีคนของสถาบันและยังพยายามทำลายหอคอยดวงดาวด้วย สุดท้ายสถาบันก็ปกปิดข้อมูลไว้อีก ทั้งหมดนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ทั้งสามคนเข้าไปในโรงแรม มีคนเข้ามาต้อนรับพวกเขาด้วยความเคารพ หลังจากเห็นพวกเขาทั้งสามคน สายตาของคนอื่นๆ ในห้องโถงก็เปลี่ยนไป มีทั้งความเคารพยำเกรงเ หยียดหยาม ยั่วยุ…สายตาดูหมิ่นและยั่วยุนั้น สายตาของบรรดาแขกของเจ้าเมืองในฐานะสถาบันดวงดาวเป็นจุดสูงสุด และเป็นแนวร่วมของพลัง จึงสร้างความไม่พอใจให้คนจำนวนมาก แต่ถึงแม้สายตาของคนเหล่านั้นจะไม่ดีนัก แต่พวกเขาก็ยังเก็บอาการไว้ ไม่ได้เข้ามายุ่ง เพราะนี่คืออาณาเขตของสถาบันดวงดาว
พนักงานเดินนำทั้งสามคนไปยังที่พักอาศัยของพวกเขา มันเป็นห้องชุดขนาดเล็กที่มีสภาพแวดล้อมหรูหรา ห้องพักที่ตกแต่งอย่างหรูหรามีสามห้องนอนแ ต่ละห้องมีห้องน้ำแยกเป็นสัดส่วน และด้านนอกก็มีห้องนั่งเล่น ห้องรับประทานอาหารต่างๆ
“ไม่มีอะไรแล้ว เจ้าลงไปได้” ไดทันส์โบกมือให้พนักงานลงไป
“ครับ” พนักงานรับคำอย่างสุภาพแล้วเดินจากไป
“อ่าฮ่า ข้าเอาห้องนั้น” โจนาธานตะโกนและกระโดดพุ่งไปที่ห้องนอนทางด้านขวาสุด
ชีอ้าวชวางและไดทันส์สบตากันอย่างเงียบๆ
“พักผ่อนสักหน่อยก่อน อีกสักพักจะมีคนนำอาหารกลางวันมาให้” หลังจากที่ไดทันส์พูดกับชีอ้าวชวาง เขาก็เดินไปที่ห้องนอนซ้ายสุด เว้นห้องนอนตรงกลางไว้
ชีอ้าวชวางพยักหน้าและเข้าไปในห้องนอนกลาง
เมื่อมองไปรอบๆ ก็เห็นเครื่องเรือนหรูหรา ชีอ้าวชวางเดินไปที่เตียงและนอนลงบนเตียงนุ่มขนาดใหญ่นั้น แต่ในใจกำลังสงสัยว่าโพ่เทียนและอาเป่าก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือไม่? หลังอาหารกลางวันจะไปถามดูว่าคนจากเทียนเป่ามาถึงแล้วหรือยัง
มีคนส่งอาหารกลางวันหรูหรามาตอนเที่ยงอย่างตรงเวลา
“กินข้าวๆ” โจนาธานนั่งอยู่ในห้องอาหาร ตะโกนไปที่ประตูห้องชีอ้าวชวางและห้องนอนของไดทันส์ ทันทีที่สิ้นเสียงก็หยิบมีดและส้อมขึ้นมากินอาหารนั้นอย่างรอไม่ไหว
“การประชุมสี่เมืองในทุกๆ สี่ปี เราต้องเข้าร่วมทุกครั้ง ไม่มีอะไรมากไปกว่าการให้เราพิจารณาอย่างละเอียดว่ามีคนที่แข็งแกร่งหรือไม่ และดูว่าเป็นแรงบันดาลใจได้หรือไม่ แต่นานขนาดนี้แล้ว ทำไมข้าไม่เคยได้แรงบันดาลใจอะไรเลย? “โจนาธานพูดด้วยความไม่พอใจขณะที่เคี้ยวอาหารอยู่ในปาก
“คนจากเมืองเทียนเป่ามาแล้วหรือไม่?” ชีอ้าวชวางเมินคำบ่นของโจนาธานแล้วถามคำถามที่นางอยากรู้
“น่าจะมาแล้ว หากพวกเขามา พวกเขาน่าจะอยู่ในห้องโถงตะวันออกที่ด้านหลัง การประชุมสี่เมืองครั้งที่แล้วพวกเขาเป็นอันดับแรก ดังนั้นคราวนี้พวกเขาน่าจะอยู่ในห้องโถงตะวันออก” โจนาธานกินอาหารอย่างอร่อยพลางตอบคำถามของชีอ้าวชวางอย่างสบายๆ
“อ๋อ เข้าใจแล้ว ขอบคุณ” ชีอ้าวชวางพยักหน้า
“ช่วงเวลายอดเยี่ยมอย่างนี้อย่ามัวแต่เสียเวลาเลย ข้ากินเสร็จแล้ว ข้าจะออกไปข้างนอก” โจนาธานเช็ดปากและลุกขึ้นยืน จากนั้นกลายเป็นหนุ่มหล่อคนเดิมอีกครั้ง