“เหตุใดเหนียงเหนียงจึงต้องกริ้วด้วยเล่าเพคะ”
ใบหน้าเฉยชาของหยุนลั่วพลันปรากฏขึ้น สีหน้าของนางแตกต่างจากพระสนมเต๋อเฟยที่กำลังโกรธเกรี้ยว
“หากเปิ่นกงไม่โกรธ ป่านนี้นางคงขึ้นมาขี่คอของเปิ่นกงแล้ว หากยังไม่สามารถกำจัดนางไปได้ เกรงว่าคนทั้งจวนอวี้คงไม่มีใครเห็นเปิ่นกงอยู่ในสายตา”
พระสนมเต๋อเฟยดูแก่ลงมาก ทว่าหัวใจยังคงเกลียดชังหลินเมิ้งหยา
“เหนียงเหนียง หนู่ปี้ได้ยินมาว่ามีขุนนางหลายท่านกำลังยื่นเรื่องขอให้ชายาอวี้เข้าไปตรวจสอบพระอาการประชวรของฮ่องเต้ แม้ฮองเฮาจะไม่ยินยอม แต่สุดท้ายแล้วคงมิอาจปฏิเสธพวกเขาได้ นางเป็นผู้เข้าไปพูดโน้มน้าวเหล่าขุนนางด้วยตัวของนางเอง หากนางเข้าไปอยู่ในวังแล้ว นางจะเอาตัวรอดได้หรือไม่ก็ยังมิรู้ได้”
น้ำเสียงของหยุนลั่วอ่อนโยน ทั้งที่จริงแล้วนางพยายามปกปิดความเกลียดชัง
“โอ้? มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นด้วยหรือ? ดูเหมือนเปิ่นกงจะประเมินนางต่ำไปอย่างนั้นสินะ ไปเถิด จงส่งคนไปแจ้งข่าวแก่ฮองเฮาว่าเปิ่นกงขอขอบพระทัยฮองเฮาล่วงหน้า”
“เพคะ หนู่ปี้น้อมรับคำสั่ง”
หลินเมิ้งหยาออกจากประตูตำหนักหยาเสวียน ก่อนจะหันหลังกลับไปมองสวนเล็กๆ ที่ดูเลือนรางเต็มทีเมื่อเข้าสู่ช่วงพลบค่ำ
นางมักรู้สึกเสมอว่าพระสนมเต๋อเฟยไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ บางทีตอนนี้อาจจะกำลังวางกลอุบายที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อยู่ก็เป็นได้ สายตาของนางจึงเจือไว้ซึ่งความเย็นชา
เพราะเห็นแก่หน้าหลงเทียนอวี้ นางจึงยั้งมือเอาไว้อยู่หลายครา แต่หากยังมีครั้งต่อไปแล้วล่ะก็ เช่นนั้นอย่าหาว่านางไร้หัวใจเลย
เดินอ้อมโค้ง ก่อนจะกลับมาถึงตำหนักหลิวซินของตนเอง เพียงเดินเข้าไปในสวน นางก็ได้เห็นร่างสูงสองร่างยืนคอยอยู่
“พี่สาว ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว”
ร่างสูงโปร่งหมุนตัวกลับมา เสี่ยวอวี้แย้มยิ้มแล้ววิ่งเข้ามาหาด้วยท่าทางอารมณ์ดี
“อืม เหตุใดจึงไม่เข้าไปรอข้างในเล่า ข้างนอกหนาวออกอย่างนี้ เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอาได้”
ตอนนี้เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว แต่เพราะพวกเขาเพิ่งปรับปรุงตำหนักหลิวซินใหม่ ดังนั้นบรรยากาศในตำหนักจึงอบอุ่นไม่ต่างจากช่วงฤดูร้อน หลินเมิ้งหยาผินหน้าไปมองชายที่ยืนอยู่ไกลๆ
ชายผู้นี้น่าจะมีอายุราวสี่สิบกว่าปี ใบหน้าเคร่งขรึม ดวงตาคู่นั้นเปรียบเสมือนดวงดาวอันแสนเย็นยะเยือกซึ่งกำลังส่องประกายวาววับ
เสื้อผ้าที่สวมใส่เรียบง่าย แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจลดความน่าเกรงขามที่ถูกส่งออกมา หลินเมิ้งหยามองออกในทันทีว่าชายผู้นี้มิต่างอันใดจากท่านพ่อของนางเลย
พวกเขาล้วนเคยบุกป่าฝ่าดงข้ามทะเลเลือดกันแล้วทั้งสิ้น
คนประเภทนี้ย่อมเคยเป็นผู้บังคับบัญชาทหารหลายพันหลายหมื่นนายผ่านศึกสงครามมาก่อน การที่เขามาสอนวิชาการต่อสู้ให้เสี่ยวอวี้เช่นนี้ ดูเหมือนจะเป็นการนำพรสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่มาใช้ในทางที่ผิดเล็กน้อย
“ข้าน้อยหวานเหยียนเลี่ยถวายพระพรชายาอวี้”
ชายตรงหน้ากำมือแล้วโค้งตัวลง ท่าทางมิได้เป็นปรปักษ์แต่อย่างใด หลินเมิ้งหยาพยักหน้า ใบหน้าประดับไว้ซึ่งรอยยิ้มเล็กน้อย
“ท่านหวานเหยียนอย่าได้มากพิธีเลย เชิญด้านในเถิด”
นี่เป็นครั้งแรกที่หวานเหยียนเลี่ยได้เห็นชายาอวี้ในระยะใกล้เช่นนี้
งดงามทั้งยังน่าเกรงขาม เขาเคยพบเจอหญิงงามมามากมาย หากเปรียบเทียบความงามบนใบหน้า ชายาอวี้ผู้นี้ย่อมมีความงามไม่เป็นรองใคร
แต่เขาเคยเห็นรูปแบบและวิธีการในการกำจัดศัตรูของนางมาก่อน หากนายน้อยสามารถมีภรรยาที่ช่วยประคับประคองกันเช่นนี้ เช่นนั้นตำแหน่งของเขาจะใหญ่โตค้ำฟ้าอย่างแน่นอน ไม่ช้าก็เร็วอำนาจทุกอย่างจะต้องตกอยู่ในกำมือของนายน้อย แต่น่าเสียดาย หญิงสาวผู้ฉลาดเฉลียวคนนี้กลับกลายเป็นชายาของอ๋องอวี้ไปเสียแล้ว
หากวันหนึ่งนายน้อยและหลงเทียนอวี้ต้องเผชิญหน้ากันแล้วล่ะก็ เช่นนั้นผู้หญิงคนนี้จะเป็นเสี้ยนหนามของพวกเขา เช่นนั้นสู้กำจัดนางทิ้งไปเสียยังดีกว่า
แสงประกายแห่งความอาฆาตปรากฏขึ้น ทว่าดวงตาของนายน้อยกลับจ้องเขาเขม็ง
เก็บมือไว้ที่ข้างตัว ก่อนจะส่ายหน้า เมื่อดูจากอุปนิสัยใจคอของนายน้อยแล้ว อย่าว่าแต่ฆ่าหลินเมิ้งหยาเลย หากเขาทำให้เส้นผมของนางร่วงหล่นกจากศีรษะแม้เพียงเส้นเดียว เกรงว่าชั่วชีวิตนี้นายน้อยคงไม่มีวันให้อภัยเขาอย่างแน่นอน
นายท่านสั่งเอาไว้แล้วว่าคราวนี้จะต้องพานายน้อยกลับไปให้ได้
ช่างเถิด ถึงอย่างไรหลินเมิ้งหยาก็ถือเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตนายน้อยเอาไว้
หลินเมิ้งหยาซึ่งเดินนำหน้าสังเกตเห็นสายตาเย็นยะเยือกของเสี่ยวอวี้
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหวานเหยียนเลี่ยจะต้องมิประสงค์ดีกับนางอย่างแน่นอน
แค่นหัวเราะในใจ ที่ตำหนักหลิวซินแห่งนี้หาได้มีใครกล้าลงมือกับนาง นับตั้งแต่วันที่ซินหลีปรากฏตัว ทั้งที่มืดและที่สว่างล้วนมีแต่ยอดฝีมือคอยคุ้มกัน
ครุ่นคิดชั่วครู่ จู่ๆ หลินเมิ้งหยาก็ชี้นิ้วไปทางใยแมงมุมทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
“ใยแมงมุมนี้ช่างน่ารำคาญยิ่งนัก ทั้งที่ข้าอุตส่าห์ให้ยืมพื้นที่อยู่อาศัยแท้ๆ แต่มันกลับคิดทำร้ายข้า”
เสียงหวีดหวิวพลันดังขึ้นกลางอากาศ เข็มเล็กบางเล่มหนึ่งบินตัดผ่านอากาศทะลุร่างของแมงมุมสีดำ
สายตาของหวานเหยียนเลี่ยสั่นไหว ตอนแรกเขาคิดว่าคนที่คอยปกป้องตำหนักหลิวซินมีเพียงกลุ่มคนที่เขาพามาแต่เพียงเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงเลยว่ารอบกายชายาอวี้จะมียอดฝีมือคอยอารักขาอยู่
หยาดเหงื่อพลันผุดขึ้นบนฝ่ามือ คำพูดของหลินเมิ้งหยาเมื่อครู่เสมือนเป็นคำข่มขวัญสำหรับเขา
ทว่านางยังคงแย้มยิ้มพูดคุยกับนายน้อยด้วยท่าทางเป็นปกติ ดูเหมือนจิตใจของนางจะโหดเหี้ยมกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก
“เชิญท่านหวานเหยียนนั่งเถิด ป๋ายจียกน้ำชา”
หลินเมิ้งหยานั่งลงยังตำแหน่งประธาน ใบหน้าแย้มยิ้มกว้างขณะสั่งให้คนเตรียมน้ำชาแก่หวานเหยียนเลี่ย
“ขอบพระทัยพระชายา อันที่จริงข้าน้อยควรมาถวายพระพรพระองค์ตั้งนานแล้ว แต่เพราะข้าน้อยไม่มีโอกาส พระชายาได้โปรดอภัยด้วย”
หวานเหยียนเลี่ยแสดงท่าทางนอบน้อม
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หากพวกเขาคิดอยากจะพาตัวนายน้อยกลับไปแล้วล่ะก็ เช่นนั้นจะต้องได้รับอนุญาตจากหลินเมิ้งหยาก่อน
“ข้ารู้ดีว่าท่านหวานเหยียนต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบาก ข้าหาใช่คนคิดเล็กคิดน้อยไม่ ขอเพียงเสี่ยวอวี้มีชีวิตรอดปลอดภัย เท่านี้ข้าก็ไม่กังวลสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว”
บรรยากาศภายในห้องเงียบสงัด
ไม่ว่าหลินเมิ้งหยาหรือหวานเหยียนเลี่ยก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากก่อน พวกเขาล้วนอ่านใจแต่ละฝ่ายออก โดยเฉพาะหลินเมิ้งหยาที่เป็นคนมีความอดทนสูง
แม้หวานเหยียนเลี่ยจะกำลังจิบชา ทว่าสมองของเขากำลังประมวลผลอย่างหนัก เขาเชื่อว่าหญิงสาวตรงหน้าหาได้มีจิตใจสงบนิ่งดั่งท่าทางที่แสดงออก
แต่เมื่อตระหนักว่านางเป็นลูกสาวของหลินมู่จือ เขาจึงทำได้เพียงแอบส่ายหน้า คนทั้งสกุลหลินล้วนเป็นศัตรูตัวฉกาจของอาณาจักรเพื่อนบ้านทั้งสิ้น
หากมิใช่เพราะสองพ่อลูกสกุลหลินคอยคุ้มกันชายแดนเอาไว้ เกรงว่าป่านนี้เมืองเลี่ยหยุนตี้คงทำลายต้าจิ้นได้นานแล้ว
ลอบถอนหายใจในใจ นายน้อยเชื่อฟังเพียงคำพูดของนาง เฮ้อ เขาคงทำอะไรไม่ได้นอกจากก้มหน้ายอมรับ
“อันที่จริงข้าน้อยมีเรื่องต้องการขอร้อง หวังว่าพระชายาจะอนุญาต”
หลินเมิ้งหยาชำเลืองมองหวานเหยียนเลี่ย ดูเหมือนเขาไม่อาจปล่อยให้เรื่องนี้ยืดเยื้อได้อีกต่อไป
“เสี่ยวอวี้ เจ้าจงออกไปข้างนอกก่อนเถิด พี่สาวมีเรื่องปรึกษากับท่านหวานเหยียน”
เสี่ยวอวี้รีบลุกขึ้นแล้วเดินออกนอกประตูไปอย่างว่าง่าย หัวใจของหวานเหยียนเลี่ยรู้สึกเปรี้ยวเสมือนน้ำส้มสายชู เขาต้องใช้เวลานานเกือบครึ่งปีกว่านายน้อยจะเลิกกระด้างกระเดื่องใส่เขา
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเพียงผู้หญิงคนนี้เอ่ยปาก นายน้อยจะเชื่อฟังนางมากถึงเพียงนี้
ตกลงนี่เป็นเรื่องดีหรือร้ายสำหรับเมืองเลี่ยหยุนกันนะ?
เพียงเสี่ยวอวี้เดินออกจากประตูไป สีหน้าของหลินเมิ้งหยาเปลี่ยนแปลงไปทันที
จ้องชายตรงหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม สายตาเย็นเฉียบดุจน้ำแข็ง
“พวกเรามาคุยเปิดอกกันเลยเถิด ข้าเป็นคนพาเสี่ยวอวี้มาอยู่ที่นี่ ซ้ำเขายังมีสถานะเป็นบุตรบุญธรรมของสกุลหลินแล้ว หากพวกเจ้าคิดจะพาตัวเขากลับไปเพื่อกลับไปยังวงศ์ตระกูลเดิมที่เขาจากมา ข้าก็มิคิดหักห้าม แต่ถ้าหากพวกเจ้าคิดจะหลอกใช้เด็กคนนี้ ข้าขอเตือนให้พวกเจ้าตัดใจเสีย พวกข้าสกุลหลินไม่เคยเกรงกลัวผู้ใด ต่อให้พวกเจ้ามีอำนาจคับฟ้า แต่ก็อย่าคิดว่าจะแตะต้องเสี่ยวอวี้ของข้าได้”
หวานเหยียนเลี่ยคิดไม่ถึงเลยว่าเด็กสาวตัวเล็กๆ จะมีท่าทางอหังการได้มากถึงเพียงนี้
คำพูดนี้ทำให้โทสะของเขาปะทุออกมา
“ฮึ ชายาอวี้ช่างอาจหาญยิ่งนัก เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฐานะของนายน้อยสำคัญกับเมืองเลี่ยหยุนของพวกข้าเช่นไร แต่ถ้าหากชายาอวี้คิดจะรั้งตัวเขาไว้แล้วล่ะก็ ต่อให้ต้องใช้กำลังพลเข้าโจมตี พวกข้าก็จะพานายน้อยกลับไปให้ได้”
บรรยากาศเย็นยะเยือก ทั้งคู่ไม่มีใครยอมใคร
หลินเมิ้งหยาแค่นหัวเราะเสียงเย็น นัยน์ตาปรากฏแววเยาะหยัน
“เมืองเลี่ยหยุนตี้อันแสนยิ่งใหญ่ แต่กลับต้องการให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งไปแบกภาระอันหนักอึ้ง ดูเหมือนพวกเจ้าจะอยากหาหุ่นเชิดที่เหมาะสมเพื่อต่อสู้กับซินหลีเสียมากกว่า! หากเป็นเช่นนั้นสู้ปล่อยให้เมืองเลี่ยหยุนถูกทำลายไปนั่นแหละดีแล้ว”
“เจ้า!”
หวานเหยียนเลี่ยถลึงตาใส่หลินเมิ้งหยา แต่อีกฝ่ายกลับไม่กลัวเกรง
ดูเหมือนว่าแม้แต่หวานเหยียนเลี่ยเองก็คิดไม่ถึงว่าชายาอวี้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งเมืองจะมีวาจาคมกริบประหนึ่งใบมีดเช่นนี้ นางไม่ไว้หน้าเขาเลยแม้แต่น้อย
คำพูดของหลินเมิ้งหยามิต่างอันใดจากมีดที่เข้ามากรีดหัวใจของเขา
เขาไม่อาจปฏิเสธได้ว่าปัญหาใหญ่ของเมืองเลี่ยหยุนในเวลานี้คือการต่อกรกับสกุลซิน
เป็นอีกครั้งที่เขามิอาจเพิกเฉยต่อหลินเมิ้งหยาได้ นางพูดแทงใจดำพวกเขาที่กำลังประสบปัญหานี้อย่างตรงจุด
ผู้หญิงคนนี้มีค่าพอที่จะทำให้เขาต้องให้ความสำคัญ
“ดูเหมือนข้าจะประเมินความสามารถของลูกสาวสกุลหลินต่ำไป ข้าหวานเหยียนเลี่ยมิเคยเลื่อมใสผู้หญิงคนใดมาก่อน แต่ชายาอวี้กลับทำให้ข้ารู้สึกเลื่อมใสยิ่งนัก”
หลินเมิ้งหยาไม่มีท่าทีข่มขู่อีกต่อไป การทดสอบของทั้งสองฝ่ายจบลงแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาคุยเปิดอกอย่างแท้จริง
“ท่านหวานเหยียนชื่นชมเกินไปแล้ว อันที่จริงข้าหาได้สนใจกับการต่อสู้ภายในของบ้านเมืองท่านไม่ อาณาจักรของพวกท่านต้องต่อสู้กันเองภายในจึงไม่มีเวลาออกมารุกรานอาณาจักรอื่น แต่ข้าอยากรู้เพียงเรื่องเดียวว่าพวกท่านจะดูแลจัดการน้องชายของข้าเช่นไร?”
หลินเมิ้งหยาแสดงออกอย่างชัดเจนว่านางไม่สนใจเข้าไปยุ่งปัญหาภายในบ้านเมืองของพวกเขา
หากมิใช่เพราะเสี่ยวอวี้แล้วล่ะก็ นางก็ไม่อยากพบเจอคนอย่างหวานเหยียนเลี่ยเลยแม้แต่น้อย ยิ่งรู้มากเท่าไร ความอันตรายก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
หลินเมิ้งหยาเป็นคนฉลาด ดังนั้นนางจึงไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว
หวานเหยียนเลี่ยมองหลินเมิ้งหยาก่อนจะอธิบายถึงสิ่งที่พวกเขาได้ตัดสินใจกันไว้แล้ว
“อันที่จริงพวกข้าต้องการพานายน้อยกลับไปรับตำแหน่งผู้สืบทอดขอรับ”