ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 84

นางสนมเหมยจากไปด้วยใจที่ชิงชัง แต่ฮองเฮากลับเข้าใจสิ่งที่หวงไท่โฮ่วพูดไปทั้งหมดล้วนเป็นความจริง การที่องค์รัชทายาทเมินเฉยจนเกินไป ทำให้คนในราชสำนักที่มองเขาในแง่ดีมีไม่มาก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีเรื่องของนางสนมเหมยในวันนี้

ฮองเฮากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ยับยั้งชั่งใจ “ที่ท่านแม่พูดมามีเหตุผล หม่อมฉันรู้แล้วว่าจะทำอย่างไร?”

หลังจากที่หวงไท่โฮ่วพูดกับฮองเฮาจบ ก็มองมาที่มู่หรงเจี๋ย และถอนหายใจออกมาเบา ๆ “แม้เจ้าจะมีความสามารถในการขึ้นเป็นจักรพรรดิ แต่สิ่งที่เจ้าไม่มีคือดวงชะตาของการขึ้นเป็นจักรพรรดิ สถานการณ์ในราชสำนักไม่อาจคาดเดาได้ เจ้าเองที่เป็นเสด็จอา จะต้องคอยสนับสนุนหลานของเจ้าดี ๆ อย่าให้เขาต้องโดนตัดขาดออกจากความช่วยเหลือ”

ที่หวงไท่โฮ่วพูดถึงคือหลานชาย ไม่ใช่ตัวองค์รัชทายาทเอง นั่นทำให้จื่ออานฟังดูแล้วราวกับเป็นความลับที่ดูลึกลับซับซ้อนไปสักหน่อย เป็นไปได้ว่าแม้แต่หวงไท่โฮ่วเองก็ไม่ได้มององค์รัชทายาทอยู่ในสายตา? แต่วันนี้ผู้ที่จะได้นั่งตำแหน่งขององค์รัชทายาท นอกจากองค์ชายสามที่กำเนิดจากนางสนมเหมยแล้ว ก็มีแค่องค์จักรพรรดิเหลียงเท่านั้น

มู่หรงเจี๋ยได้ฟังคำของหวงไท่โฮ่วแล้ว กลับกล่าวด้วยใบหน้าที่ขบขันว่า “ลูกไม่ได้มีความสามารถนี้ เอาเป็นว่ารอให้พระอนุชาหายดีเสียก่อนแล้วค่อยสอนองค์รัชทายาทเถอะนะพ่ะย่ะค่ะ”

พอท่าทีของหวงไท่โฮ่วเปลี่ยน นัยน์ตาก็ปกคลุมไปด้วยหมอกชั้นหนึ่งทันที น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นเศร้าใจและหนักอึ้ง “พระอนุชาเจ้าไม่ดีขึ้นแล้ว”

มู่หรงเจี๋ยมองจื่ออานเรียบ ๆ “เสด็จแม่ วันนี้ไม่เหมือนวันที่ผ่านมา วันนี้เรามีหมอหลวงอยู่กับเราที่นี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

จื่ออานมองมู่หรงเจี๋ยด้วยความแปลกใจ ราวกับว่าเขาต้องการที่จะแนะนำเธอให้กับหวงไท่โฮ่วเพื่อรักษาฝ่าบาท แต่ว่าเรื่องนี้เขาจะตัดสินใจเองได้อย่างไรกัน?

แน่นอนว่าเธอไม่อยากไปรักษาฝ่าบาท แท้จริงแล้วฝ่าบาทป่วยหนักมาเป็นเวลานานแล้ว และเธอเองก็ไม่รู้ว่าฝ่าบาทเป็นโรคอะไร เธออาจจะรับประกันไม่ได้ว่าจะรักษาฝ่าบาทให้หายดีได้ หากฝ่าบาทสิ้นพระชนม์ในระหว่างที่เธอกำลังรักษา เธอจะต้องเดือดร้อนแน่ ๆ

เธอเพียงแค่สงสัย ผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิพระองค์ยืนหยัดต่อปัญหาของการรักษาจักรพรรดิเหลียง ยืนกรานจะให้เธอรักษาให้ได้ แม้แต่หวงไท่โฮ่วเองก็ยังคัดค้าน ไม่สิ นี่ยืนยันได้เลยว่าฝ่าบาทให้สิทธ์อำนาจกับเขามากแค่ไหน

หากเป็นตามที่กล่าวมาเขาสามารถตัดสินใจเรื่องการรักษาให้องค์จักรพรรดิได้เลย แต่เมื่อครู่เขาพูดติดตลกอย่างเห็นได้ชัดว่ากำลังปรึกษาขอความเห็นจากหวงไท่โฮ่ว

จื่นอานมองมาที่หวงไท่โฮ่ว เห็นว่านางเพียงแค่พยักหน้าเบา ๆ และดูลำบากใจ จากนั้นกล่าวว่า “พวกเจ้ากลับไปเถอะ ข้าเองก็เพลียมากแล้ว”

ท่าทีอย่างนี้ยิ่งทำให้จื่ออานรู้สึกประหลาดใจมากเข้าไปอีก หวงไท่โฮ่วไม่แม้แต่จะหันมาตอบคำถามต่อหน้า

ฮองเฮาจึงลุกขึ้นยืนและรีบขอตัวลาทันที “เสด็จแม่พักผ่อนเถิด หม่อมฉันจะกลับไปดูอาซิน”

หวงไท่โฮ่วมองที่นาง เหมือนมีอะไรจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูดออกไป สุดท้ายก็ได้แต่โบกมือ “ไปเถอะ!”

อำนาจของฮองเฮาดั่งดวงอาทิตย์ท่ามกลางท้องนภา ไม่ว่าเธอจะพูดอะไร ฮองเฮาล้วนตัดสินใจได้ด้วยตนเอง ที่แม่นมหยางออกไปเมื่อครู่ เธอก็รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น

ก็ดี ให้เจ้าเซียงแหยนั่นรู้ความร้ายกาจจริง ๆ เสียบ้างว่า ไม่ใช่เอาแต่เลือกรังแกแต่คนที่อ่อนแอกว่า

จื่ออานมองใบหน้าของมู่หรงเจี๋ยที่เผยให้เห็นความผิดหวังออกมาอย่างชัดเจน แม้ริมฝีปากจะยังไม่หยุดยกยิ้มลงเลย แต่แววตากลับไม่มีรอยยิ้มนั้นหลงเหลืออยู่ มีเพียงร่องรอยของความเหนื่อยล้าและความสูญเสีย

หลังจากที่ผ่านเรื่องวันนี้ไป จื่ออานเองก็รู้สึกว่าหวงไท่โฮ่วไม่ได้ทรงอำนาจเหมือนอย่างที่คิดไว้แต่ก่อน อันที่จริงวันนี้ตัวนางสามารถจัดการหลิงหลงฟูเหรินได้ ที่มาทำตัวอวดดีในวังโซ่วอันแบบนี้ ในฐานะที่เป็นไทเฮาของราชวงศ์นี้ หากนางจะสั่งลงโทษ ก็ไม่มากเกินไปสักนิดเดียว

แต่ทว่า หวงไท่โฮ่วกลับจะปล่อยผ่านไปเสียอย่างนั้น เพื่อทำให้เป็นกลางแก่สัมพันธ์ของทั้งสามฝ่าย

ในใจจื่ออานเองก็เข้าใจ เธอไม่ได้กลัวว่าจะมีปัญหา เพียงแต่เธอกำลังพยายามทั้งหมด เพื่อปกป้องราชสำนักหรือแม้แต่ความสงบของนางสนมวังหลัง หากไทเฮาสูงวัยทำแบบนี้ มันชัดเจนแล้วว่าสถานการณ์ในราชสำนักนั้น แท้จริงแล้วเริ่มก้าวเข้าสู่ระยะที่รุนแรงเข้าแล้ว