เฉิงฉือยิ้มเย็น กล่าวขึ้นว่า “แน่นอนว่าต้องรีบให้เฉิงเจียซ่านหมั้นหมายกับหญิงสาวของตระกูลหมิ่นให้เร็วที่สุดอยู่แล้ว!”
ขอเพียงหมั้นหมายกันเรียบร้อยแล้ว ก็เท่ากับว่าแผนการของท่านผู้นำตระกูลจวนรองเป็นอันล้มเหลว
ตระกูลเฉิงทั้งห้าจวนในซอยจิ่วหรู รุ่งเรืองก็รุ่งเรืองด้วยกัน ล่มจมก็ล่มจมด้วยกัน สิ่งที่พวกเขาต้องการทำลายคืออนาคตของจวนหลัก มิใช่ชื่อเสียงของตระกูลเฉิง
หลังจากที่เขาออกไปรับราชการไม่ได้ รั่งเกอเอ๋อร์ของจวนหลักอายุยังน้อย มีเฉิงเจียซ่านที่เริ่มประสบความสำเร็จบ้างแล้ว อีกทั้งยังเป็นหลานชายจากภรรยาเอกของบุตรชายคนโต ความหวังโดยมากของจวนหลักจึงตกไปอยู่บนร่างของเฉิงเจียซ่าน เหยียบย่ำเฉิงเจียซ่านให้ล้ม ก็เท่ากับเหยียบย่ำจวนหลักให้ล้มลงไปด้วย
และโจวเสาจิ่นผู้ที่เฉิงเจียซ่านคะนึงหาอยู่ตลอดจึงกลายเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดสำหรับใช้ทำลายเฉิงเจียซ่าน
แต่ถ้างานแต่งระหว่างเฉิงเจียซ่านกับหญิงสาวของตระกูลหมิ่นถูกกำหนดลงมาแล้ว การถอนหมั้นก็จะกระทบมาถึงชื่อเสียงของตระกูลเฉิง พวกเขาเองก็จะถูกลากลงน้ำไปด้วย เช่นนั้นแล้วหากพวกเขาต้องการทำลายเฉิงเจียซ่าน ก็ต้องคิดหาวิธีการอื่นแทน ไม่อาจพุ่งเป้ามาที่เสาจิ่นอีกแล้ว
แน่นอนว่า ก็ไม่ได้หมายความว่าจะหลบเลี่ยงเรื่องนี้ได้ทั้งหมด
เนื่องจากเฉิงเจียครอบครองตำแหน่งหลานชายจากภรรยาเอกของบุตรชายคนโต การสร้างเรื่องอื้อฉาวสักเล็กน้อยมาควบคุมเฉิงเจียแทนการทำลายเฉิงเจียอาจจะเกิดประโยชน์กับพวกเขามากกว่าก็เป็นได้
เสาจิ่นต้องรั้งอยู่ที่จินหลิง…รอให้เฉิงเจียซ่านได้รับการแต่งตั้งแล้ว ก็รีบส่งเฉิงเจียซ่านไปที่จิงเฉิง ต่อให้พวกเขาคิดจะพุ่งเป้าไปที่เฉิงเจียซ่านอีก ก็จะไม่สร้างความลำบากให้เสาจิ่นอีกแล้ว
เฉิงฉือตัดสินใจได้แล้ว จึงกล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นเจ้าก็รั้งอยู่ที่นี่ต่อก็แล้วกัน!”
“จริงนะเจ้าคะ!” ดวงตาของโจวเสาจิ่นวาววับ สีหน้ามีความสุข งดงามราวดอกไม้ดอกหนึ่งก็ไม่ปาน
เฉิงฉือคิดไม่ถึงว่านางจะดีใจมากถึงเพียงนี้ เขาเองก็รู้สึกอารมณ์เบิกบานตามไปด้วย กล่าวยิ้มๆ ว่า “ทีนี้เจ้าคงพอใจแล้วกระมัง”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึกๆ ดวงตายิ้มหยีจนกลายเป็นพระจันทร์เสี้ยว ทั้งน่ารักและไร้เดียงสา ดูเหมือนเด็กที่ยังไม่โตอย่างไรอย่างนั้น
เฉิงฉือลูบศีรษะของโจวเสาจิ่นอย่างอดไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นคำสัญญาที่ข้ารับปากเจ้าไว้สองครั้งก็เป็นอันสำเร็จลงหมดแล้ว…ต่อไปก็ไม่ต้องเป็นกังวลว่าเจ้าจะมาทวงคำขออะไรจากข้าอีกแล้ว!” ประโยคสุดท้ายเขาพูดราวกับว่าได้ปลดภาระอันหนักอึ้งออกไป
โจวเสาจิ่นพลันเบิกดวงตากว้าง กล่าวขึ้นว่า “เห็นๆ อยู่ว่าข้าใช้ไปเพียงครั้งเดียวเท่านั้น”
เฉิงฉือกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “จะเป็นครั้งเดียวไปได้อย่างไร ก่อนหน้านี้ข้ารับปากว่าจะช่วยเจ้าทำอะไรก็ได้หนึ่งเรื่อง แล้วเมื่อครู่ก็สัญญาว่าจะช่วยเจ้าทำอะไรก็ได้หนึ่งเรื่อง แต่เจ้าใช้คำสัญญาครั้งที่สองของข้าขอร้องให้ข้าช่วยทำให้คำสัญญาครั้งที่หนึ่งบรรลุผล เท่ากับว่าเจ้าใช้คำสัญญาทั้งสองครั้งหมดไปในคราวเดียว”
“ไม่ถูกต้องๆ” โจวเสาจิ่นรีบกล่าว “คำสัญญาที่ท่านรับปากข้าก่อนหน้านี้ข้ายังไม่ได้ใช้ และครั้งนี้ก็เป็นท่านที่รับปากว่าจะตามใจข้าอีกหนึ่งเรื่อง ทำให้ข้านึกถึงคำสัญญาที่ท่านเคยให้ข้าเอาไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นมา…”
“ก็เจ้าขอร้องให้ข้าช่วยทำให้คำสัญญาครั้งที่หนึ่งบรรลุผลนี่นา!” เฉิงฉือไม่รอให้นางพูดจบก็กล่าวขึ้นมาก่อน “ข้าก็ตอบตกลงไปแล้ว!”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะๆ” โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างร้อนรน “ท่านสัญญากับข้าทั้งหมดสองครั้ง ที่ข้าใช้ไปคือคำสัญญาครั้งที่หนึ่ง ส่วนคำสัญญาครั้งที่สองยังไม่ได้ใช้…”
“คำสัญญาครั้งที่สองจะยังไม่ได้ใช้ได้อย่างไร” เฉิงฉือกล่าว “หากเจ้าไม่ใช้คำสัญญาครั้งที่สองขอร้อง ข้าจะตอบตกลงช่วยทำให้คำสัญญาครั้งที่หนึ่งบรรลุผลได้หรือ เจ้าลองไปคิดให้ถี่ถ้วน ข้าจะเข้าใจผิดไปได้อย่างไร!”
จริงด้วย!
ท่านน้าฉือจะเข้าใจผิดไปได้อย่างไร!
แต่เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเรื่องราวไม่ได้เป็นเช่นนั้น
โจวเสาจิ่นรู้สึกสมองมึนงงไปชั่วขณะ
เฉิงฉือจึงใช้โอกาสนั้นลูบผมของนาง กล่าวเสียงเบาว่า “เอาละ พวกเราอย่าถกเถียงเรื่องพวกนี้อีกเลย! เจ้ารีบไปล้างหน้าล้างตาให้เรียบร้อย ฮูหยินเก้าของตระกูลกู้ยังเป็นแขกอยู่ที่หานเรือนหานปี้ซานอยู่นะ!”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า ยังอยากจะกล่าวกับเฉิงฉือให้กระจ่าง แต่ใครจะรู้ว่าพอเฉิงฉือสะบัดมือก็ออกจากห้องน้ำชาไปแล้ว
“ท่านน้าฉือ!” นางไล่ตามไป
ต่อไปนางจะไม่ขอร้องท่านน้าฉืออีก คำสัญญาของท่านน้าฉือสำคัญยิ่งนัก นางไม่อยากเสียโอกาสหนึ่งไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวเช่นนี้อีก
เฉิงฉือไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา เพียงโบกมือให้นางเท่านั้น
ซางมามาเองก็ยิ้มพลางก้าวออกมาจากด้านข้าง กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง ข้าช่วยหวีผมให้ท่านใหม่นะเจ้าคะ! ตาของท่านบวมหมดแล้ว ต้องการให้ข้าไปหยิบไข่ต้มจากในครัวมาให้ท่านสักสองใบหรือไม่”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้ว ก็ตกใจเป็นอย่างมาก
ที่แท้สภาพของนางก็ย่ำแย่ถึงเพียงนี้ หากตกเข้าไปอยู่ในสายตาของฮูหยินกู้ที่เก้าเข้าคงไม่ดีแน่ สุดท้ายนางอาจจะได้อยู่ที่เรือนหานปี้ซานเป็นเวลายาวนานช่วงหนึ่งเลยก็เป็นได้
“เช่นนั้นท่านรีบตักน้ำเข้ามาให้ข้าสักอ่างหนึ่งเถิด” โจวเสาจิ่นบอกซางมามา พอเงยหน้าขึ้นก็ไม่เป็นเงาของเฉิงฉือแล้ว
นางกระทืบเท้าอย่างอดไม่ได้
ส่วนเฉิงฉือทำหน้านิ่ง จวบจนถึงห้องหนังสือของตัวเองแล้วถึงปล่อยหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
เด็กคนนี้ช่างน่าสนใจจริงๆ!
เพียงครู่เดียวก็ถูกเขาปั่นหัวหมุนจนไม่รู้เหนือรู้ใต้แล้ว!
โดยเฉพาะตอนที่เขาพูดว่า ข้าจะเข้าใจผิดไปได้อย่างไรนั้น ดวงตาโตสีดำสลับขาวนั้นก็เต็มไปด้วยความสับสนและงุนงง…ยอมแพ้อย่างราบคาบไปแต่โดยดี
มีเด็กสาวที่น่ารักน่าเอ็นดูถึงเพียงนี้อยู่ได้อย่างไร!
มุมปากของเขายกขึ้นไม่ว่าอย่างไรก็หุบไม่ลง กระทั่งไหวซานเข้ามารายงานเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “หุ้นส่วนรองของสิบสามห้างบอกว่า ท่านให้เกียรติสิบสามห้าง ยินดีร่วมลงทุนในกองเรือของสิบสามห้าง สิบสามห้ารู้สึกเป็นเกียริตอย่างยิ่ง แต่นี่เป็นกฎที่ท่านผู้นำตระกูลกำหนดลงมา น่าจะมีติดอยู่บนกระดานไม้จันทน์แดงของแต่ละสาขา คาดว่าท่านเองก็น่าจะทราบอยู่แล้ว ดังนั้นเงินค่าเข้าร่วมการลงทุนในครั้งนี้ จึงต้องคิดแยกต่างหาก ไม่อาจหักมาจากเงินที่ซื้อกองเรือของท่านก่อนหน้านี้ได้ขอรับ…”
เฉิงฉือยังคงอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง กล่าวเสียงอบอุ่นว่า “ในเมื่อเป็นกฎของร้าน พวกเราย่อมจะปฏิบัติตามอยู่แล้ว เจ้านำเงินไปให้สิบสามห้างสองแสนเหลี่ยง ถือเป็นหุ้นในส่วนของข้า”
นายท่านสี่ เรื่องที่ท่านชอบคือการทำลายกฎของผู้อื่นมิใช่หรือ
ไหวซานอ้าปากค้างมองเฉิงฉือ เป็นเฉิงฉือที่ถามเขาขึ้นว่า “เจ้ายังมีเรื่องอะไรอีกหรือ” เขาถึงได้สติคืนกลับมา รีบเอ่ยขึ้นว่า “ไม่…ไม่มีขอรับ!”
เฉิงฉือเหลือบมองมาครั้งหนึ่ง
ไหวซานตัวสั่นสะท้าน สมองขบคิดอย่างฉับไวพลางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “จำนวนเรือออกทะเลที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ในครั้งนี้ของสิบสามห้างมียี่สิบเอ็ดลำ คาดว่าจะกลับมาถึงช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปีถัดจากปีหน้าขอรับ…”
การเดินเรือเสี่ยงอันตรายยิ่งนัก
เรือที่กลับมาได้อย่างปลอดภัย ย่อมจะทำกำไรได้มากโข แต่ถ้าเรือกลับมาไม่ได้ เช่นนั้นก็เท่ากับว่าสูญเงินลงทุนไปทั้งหมดเช่นกัน
คราวก่อนเรือของสิบสามห้างแล่นไปถึงแค่ทะเลตะวันออกตงอิ๋งเท่านั้น เฉิงฉือกล่าวไปเพียงหนึ่งประโยคสิบสามห้างก็ยอมรับผิดชอบ เมื่อเสร็จเรื่องแล้วก็ส่งเงินได้มาให้ แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ไม่เพียงกฎของกองเรือจะมากขึ้นเท่านั้น เวลาก็ยังยาวนาน และอันตรายก็มากด้วย ดังนั้นสิบสามห้างจึงไม่ยอมออกเงินให้เฉิงฉือก่อน
แต่ฤดูใบไม้ร่วงของปีถัดจากปีหน้า พวกเขาก็คงจะไปจากตระกูลเฉิงนานแล้ว
หรือว่านายท่านสี่ตั้งใจจะทำการค้ากับสิบสามห้างต่อไปอย่างนั้นหรือ
ถ้าเป็นเช่นนั้นจะขายเรือที่มีอยู่ไปทำไมเล่า
หากพิจารณาจากรายได้จากการออกทะเลเพียงอย่างเดียว เมื่อก่อนสิบสามห้างถูกพวกเขาบดขยี้จนเกือบตาย หากมิใช่ว่าหลงจู๊ใหญ่ของสิบสามห้างยังพอมีแวว มิฉะนั้นสิทธิ์ในการเดินเรือครั้งแรกไหนเลยจะมีตกไปถึงสิบสามห้างได้ ครั้งนี้มิเท่ากับว่านายท่านสี่ทิ้งแตงโมไปเก็บเมล็ดงา[1]หรอกหรือ
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “พวกเราจะยังไม่ไปจากตระกูลเฉิงในช่วงนี้ รอให้ข้าจัดการเรื่องทางนี้ของตระกูลเฉิงให้กระจ่างก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที”
ไหวซานได้ยินแล้วก็ตกใจจนเกือบจะเผยมันออกมา
ปกติเวลาเช่นนี้นายท่านสี่มักจะกล่าวกับเขาเพียงประโยคเดียวว่า ข้าเปลี่ยนใจแล้วมิใช่หรือ เหตุใดวันนี้ถึงมาอธิบายให้เขาฟังได้ ตกลงว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ นายท่านสี่ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคนก็ไม่ปาน อารมณ์ดีจนทำให้คนรู้สึก…ไม่สบายใจยิ่งนัก!
ไหวซานลอบสังเกตเฉิงฉือเงียบๆ กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นเรื่องที่กวนวั่ย…”
พวกเขาส่งคนไปดูสถานที่ที่กวนวั่ย เตรียมจะสร้างบ้านบนเขาอยู่ที่นั่น
“ช่วงนี้พักเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน!” เฉิงฉือกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก “ต่อให้ไปจากตระกูลเฉิง กวนวั่ยก็นับว่าอยู่ไกลเกินไป อีกทั้งยังเหน็บหนาวเป็นอย่างยิ่ง หากจะไปก็ไปก่วงตงแทนก็แล้วกัน ที่นั่นอากาศอบอุ่นกว่า”
แต่ใกล้ทะเลมากเกินไป หากมิใช่กลุ่มเดินสมุทรก็เป็นกลุ่มเดินเรือ ง่ายที่จะถูกคนจดจำได้
แล้วผู้ใดเล่าที่บอกว่าชอบกวนวั่ยเพราะที่นั่นเงียบสงบและหนาวเย็น!
ไหวซานค่อนขอดอยู่ในใจ นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา กล่าวขึ้นอย่างเป็นกังวลเล็กน้อยว่า “นายท่านสี่ ท่านฆ่าเจี่ยงชิ่น เซียวเจิ้นไห่ป่าวประกาศว่าต้องการแก้แค้นให้เขาขอรับ! ท่านเองก็ทราบ ช่วงนี้เซียวเจิ้นไห่สนิทสนมกับเจี่ยงชิ่นยิ่งนัก เจี่ยงชิ่นยังร่วมลงทุนสร้างท่าเรือกับเขาอีกหนึ่งแสนเหลี่ยง เจี่ยงชิ่นตายไปเช่นนี้ กลุ่มเดินสมุทรจะต้องอยากถอนเงินลงทุนคืนแปดถึงเก้าในสิบส่วนเป็นแน่ เนื้อเข้าปากไปแล้ว เซียวเจิ้นไห่จะทำใจยอมปล่อยไปได้อย่างไร ยิ่งกว่านั้นเดิมทีเซียวเจิ้นไห่ก็ขาดแคลนเงินอยู่แล้ว ต่อให้อยากจะคืนก็เกรงว่าคงไม่อาจหาเงินหนึ่งแสนเหลี่ยงมาคืนให้ในเวลานี้ได้ เซียวเจิ้นไห่อยากจะให้คำอธิบายหนึ่งแก่กลุ่มเดินสมุทรและตระกูลเจี่ยง วิธีที่ดีที่สุดก็คือป่าวประกาศว่าจะล้างแค้นให้เจี่ยงชิ่น เนื่องจากหากยังไม่ได้ล้างแค้นให้เจี่ยงชิ่น กลุ่มเดินสมุทรกับตระกูลเจี่ยงคงไม่อาจนั่งลงมาจัดการงานศพให้เจี่ยงชิ่นได้อย่างสงบกระมัง ข้ากลัวว่าเซียวเจิ้นไห่จะตามมาจนถึงจินหลิง…”
“อ้อ!” เฉิงฉือขานรับเสียงหนึ่งยิ้มๆ กล่าวขึ้นว่า “ข้ากำลังกังวลเรื่องไม่มีข้ออ้างกำจัดเขาอยู่พอดี! เจ้าให้คนนำความไปบอกเขา บอกว่าข้าเป็นคนฆ่าเจี่ยงชิ่น ให้เขาตรงมาหาข้าได้เลย! เขาจะได้ไม่ต้องวิ่งพล่านไปทั่วเหมือนแมลงวันไร้หัวตัวหนึ่ง”
เจี่ยงชิ่นเป็นคนมีความจำดีเยี่ยมเห็นอะไรแล้วก็ไม่ลืม อีกทั้งยังละโมบโลภมากเห็นแก่เงิน ระแวดระวังความคิดละเอียดดุจเส้นผม ตอนที่เซียวเจิ้นไห่บอกว่าเด็กน้อยผู้นั้นงดงามในตอนแรกนั้น เขาก็กังวลใจเล็กน้อยแล้วว่าเด็กผู้นั้นอาจตกเข้าไปอยู่ในความสนใจของเจี่ยงชิ่นแล้ว ด้วยเหตุนี้ครั้งนี้ถึงได้ลงดาบจัดการเจี่ยงชิ่น ในเมื่อเซียวเจิ้นไห่อยากแส่เข้ามาหาเรื่องอย่างไม่รู้จักที่ตาย และเขาก็กำลังกังวลอยู่พอดีว่าหลายปีมานี้ตัวเองใจอ่อนเกินไปไม่ค่อยได้ ‘ตัดสินดีชั่ว’ กับผู้คน หากการฆ่าหุ้นส่วนคนที่สามของกลุ่มเดินสมุทรไปยังไม่เพียงพอต่อการสร้างแสนยานุภาพ เช่นนั้นก็ฆ่าเซียวเจิ้นไห่ด้วยอีกผู้หนึ่งก็ไม่เลวเหมือนกัน
ไหวซานยืนไว้อาลัยให้เซียวเจิ้นไห่ไปหลายลมหายใจ ถึงได้กล่าวขึ้นว่า “ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ขอรับ!”
เฉิงฉือพยักหน้า
คิดถึงเด็กผู้นั้นแล้วเกรงว่าตอนนี้คงกำลังกระทืบเท้าอย่างไม่พอใจอยู่กระมัง
ไม่แน่ว่าเมื่อคิดไปคิดมาจนเข้าใจถ่องแท้แล้วอาจจะมาโวยวายกับเขาอีกก็เป็นได้
เฉิงฉือตัดสินใจว่าจะทำให้โจวเสาจิ่นหาตัวเขาไม่พบ
เด็กผู้นั้นจะต้องโกรธจนดวงตารูปผลซิ่งนั้นคงแทบจะถลน พวงแก้มทั้งสองแดงก่ำเป็นแน่
คิดถึงตรงนี้ ในใจเขาก็ราวกับเรือที่กางใบแล่นออกสู่ทะเล อารมณ์ดียิ่งนัก
เขายืนขึ้น กล่าวกับไหวซานว่า “เรื่องไปแจ้งข่าวเจ้าให้ฉินจื่อผิงไปจัดการก็แล้วกัน ส่วนเจ้าไปตรอกจือจิ่นเป็นเพื่อนข้าหน่อย”
ที่นั่นถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าซอยสำนักศึกษา
สำนักศึกษาของจินหลิงตั้งอยู่ที่นั่น ด้านข้างล้วนเต็มไปด้วยร้านขายโบราณวัตถุต่างๆ
ไหวซานกล่าวขึ้นอย่างแปลกใจว่า “นายท่านสี่ต้องการซื้อของหรือขอรับ ต้าเข่อเรียกคนของร้านหลางหลงเข้ามา ได้ยินว่าก่อนปีใหม่ร้านหลางหลงได้ของดีมีค่ามาหลายชิ้น…”
เด็กอย่างเสาจิ่นจะชื่นชอบของจำพวกอัญมณี กระถางเผิงจิ่ง รูปปั้นจำพวกองค์พระศรีอริยเมตไตรยของจื่อจินเหล่านั้นได้อย่างไร
ตนหยอกล้อนางไปขนาดนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทำให้นางดีใจสักหน่อยถึงจะถูก
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนนางจะชื่นชอบองค์พระโพธิสัตว์กวนอิมเป็นอย่างมาก
ร้านหลางหลงน่าจะมีรูปปั้นองค์พระโพธิสัตว์กวนอิมอยู่…รอนางย้ายเข้ามาแล้วพบว่าสถานที่พักอาศัยของตัวเองมีรูปปั้นอันงดงามขององค์พระโพธิสัตว์กวนอิมประดิษฐานอยู่ และยังเป็นของนางด้วย จะต้องดีใจมากเป็นแน่
เฉิงฉือจึงเปลี่ยนแผนในทันที กล่าวขึ้นว่า “พวกเราไปร้านหลางหลงก็แล้วกัน”
หากหาซื้อรูปปั้นองค์พระโพธิสัตว์กวนอิมดีๆ ไม่ได้ ก็ค่อยไปหาซื้อของเล็กๆ น้อยๆ ที่ตรอกจือจิ่นให้นางก็ได้
เฉิงฉือยกเท้าออกจากเรือนหลีอินไป
ทางด้านของโจวเสาจิ่นล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้ว สมองกลับมาปลอดโปร่งแล้ว พลันรู้สึกโกรธจนตาแทบจะถลนออกมา กล่าวกับซางมามาที่กำลังกำกับสั่งการสาวใช้เด็กจัดเก็บข้าวของอยู่นั้นว่า “ข้าขอออกไปครู่หนึ่งแล้วจะรีบกลับมา”
ซางมามาไม่กล้าขัดนาง เดินตามอยู่ข้างหลังนางพลางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านจะไปที่ใดหรือเจ้าคะ ดูเวลาแล้วทางด้านของฮูหยินผู้เฒ่าก็น่าจะคุยกันใกล้เสร็จแล้ว ท่านจะรออีกสักครู่หรือไม่เจ้าคะ”
………………………………………………..
[1] ทิ้งแมงโตไปเก็บเมล็ดงา หมายถึงสูญเสียมากกว่าที่ได้รับมา