บทที่ 282 การทำลายล้างที่ถูกกำหนดไว้แล้ว (12)
‘หนำซ้ำแก่นมารนี้…แทบไม่ต้องเปลี่ยนแปลง ก็ควบแน่นให้หลอมละลายเข้าไปในร่างกายโดยตรงได้แล้ว’
ลู่เซิ่งค้นหาบนพื้นรอบๆ ไม่ทันไรก็เจอสิ่งของที่แฝงพลังอาวรณ์หลายชิ้น
ถัดจากนั้นก็กำจัดสัตว์ประหลาดหมาป่ายักษ์เจ็ดแปดตัวในความมืด ขณะเขาเดินเตร่อยู่ในความมืด ในที่สุดก็เจอสิ่งมีชีวิตมีสติปัญญาตามความหมายอย่างแท้จริงตัวแรกหลังจากเข้ามาในถ้ำแห่งนี้
หมาป่ายักษ์ร่างเน่าเปื่อยตัวหนึ่งที่ร่างเป็นสีเขียวอมดำ มีลูกศรหลากหลายแบบปักเต็มบนตัว
หมาป่ายักษ์ใช้ดวงตาที่เปล่งแสงสีเขียวพิจารณาลู่เซิ่งขึ้นๆ ลงๆ ในความมืด
“มาอีกคนแล้ว…มารโบราณหลุดจากการจองจำออกไปแล้ว เขาทำลายผนึกทั้งหมดในหลายชั้นติดต่อกัน พวกเรากับองครักษ์ทุกคนที่เหลือถูกปนเปื้อน เจ้าเป็นคนของซ่งถิงหรือ”
“เจ้า…พูดได้หรือ” ลู่เซิ่งตกใจเล็กน้อย
“เหตุใดข้าจะพูดไม่ได้เล่า” หมาป่ายักษ์กล่าวอย่างไม่นำพาด้วยสำเนียงต้าซ่งราชวงศ์ก่อน “ดูเหมือนเจ้าจะมีพลังไม่เลว แต่ยังไม่ใช่คู่มือของมารโบราณ มาคนเดียวหรือ”
“ข้ามาคนเดียว เจอที่นี่เข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ” ลู่เซิ่งตอบตามจริง “หุบเหวมารคือที่แบบไหนกันแน่”
“ผู้ถืออาวุธของพวกเจ้าเล่า อยู่ด้านนอกหรือ” หมาป่ายักษ์ร่างเน่าเปื่อยสอดส่ายพิจารณารอบๆ
“เอ่อ…ไม่อยู่…” ลู่เซิ่งจะมีอาวุธเทพได้อย่างไร แต่ว่าน้ำเสียงเปี่ยมด้วยเหตุผลของอีกฝ่ายทำให้เขาคิดปิดบังสถานการณ์พิเศษของตัวเองไปก่อน
“อย่างนั้นเจ้าลงมาทำอะไร หาที่ตายหรือ” หมาป่ายักษ์ร่างเน่าเปื่อยประหลาดใจ ขณะเดียวกันร่างของมันก็เคลื่อนไหวในความมืดอย่างเงียบกริบพร้อมกับแอบเข้ามาใกล้ลู่เซิ่ง
“เจ้าควรจะรู้ว่ามารโบราณไม่ใช่ราชามารทั่วไปตามที่เจ้าจินตนาการ พวกเขามีพลังกลืนกินที่พิเศษถึงขีดสุด ทั้งยังมีความได้เปรียบและความโดดเด่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดจากยุคโบราณ…”
หมาป่ายักษ์ร่างเน่าเปื่อยพูดพลางขยับเข้าใกล้กว่าเดิม
หลังจากมันเข้ามาใกล้แล้ว ลู่เซิ่งค่อยเห็นสภาพของหมาป่ายักษ์ตัวนี้ถนัดตา มันมีร่างใหญ่โตสูงสี่หมี่ ลูกศรขนาดใหญ่สีดำขึ้นสนิมหลากหลายรูปแบบปักอยู่เต็มตัว บ้างแทงทะลุท้อง บ้างแทงทะลุอก บ้างแทงทะลุเบ้าตา
นี่เป็นปีศาจหมาป่าที่เดิมควรจะตายไปแล้ว ทว่าเวลานี้กลับยังคงคุยกับลู่เซิ่งอย่างสบายๆ
“…ราชามารในผนึกชั้นล่างๆ ถูกพวกเขาเปลี่ยนแปลงรูปร่างและดูดกลืนไปหมดแล้ว ตอนที่ปล่อยพวกเขาเข้ามา เดิมทีก็เพื่อสะกดพลังฟื้นฟูของราชามารในผนึก แต่ตอนนี้กลายเป็นช่วยคนร้ายก่อบาป” หมาป่ายักษ์เข้าใกล้เรื่อยๆ “เจ้าลงมาด้านล่างคนเดียวจริงๆ หรือ” มันถามอีก
“เจ้าจะพูดอะไร” ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว สายตาเขาจดจ่ออยู่บนลูกศรขนาดใหญ่ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากบนตัวอีกฝ่าย
“ไม่ได้จะพูดอะไร แค่รู้สึกว่าหากจะสะกดผนึก เจ้าลงมาคนเดียวคงไม่พอ อย่างไรครั้งกระโน้นที่นี่ก็มีคนร่วมมือกัน…”
ฟิ้ว!
พริบตานั้นกรงเล็บแหลมคมพุ่งใส่ด้านหลังลู่เซิ่งอย่างดุดันจากในความมืด กรงเล็บแบ่งออกเป็นห้าสายในพริบตา แล้วครอบคลุมแผ่นหลังของลู่เซิ่งจากทั่วทุกมุม
“…ถึงอย่างไรเจ้าลงไปก็ตายอยู่ดี สู้ทำประโยชน์ให้ข้าดีกว่า ขอให้ข้ารับใช้คุณูปการที่เฝ้าคุ้มครองที่นี่มาหลายปีให้พวกข้ากินอิ่มสักมื้อ! นานเหลือเกิน…นานเหลือเกินที่ไม่ได้กินอาหารดีๆ…” หมาป่ายักษ์ผู้มีร่างเน่าเปื่อยแผดเสียงพลางหัวเราะลั่นอย่างดุดันและชั่วร้าย
ตูม
กรงเล็บแทงใส่ด้านหลังลู่เซิ่งอย่างรุนแรง ทว่าหมาป่ายักษ์ร่างเน่าเปื่อยกลับร้องอย่างเจ็บปวด ถอยหลังติดต่อกันไปหลายก้าวพร้อมกับกุมเท้าข้างขวาไว้
เท้าข้างขวาของมันถูกแทงเป็นรูเลือดมากมาย ของเหลวเหนียวหนืดสีดำจำนวนมากหยดออกมาจากด้านใน “เจ้า…เจ้า…!?”
หมาป่ายักษ์ร่างเน่าเปื่อยมองลู่เซิ่งอย่างตื่นตระหนกตกใจ เวลานี้มีหนามกระดูกจำนวนไม่น้อยงอกขึ้นบนแผ่นหลังของมนุษย์ที่เมื่อครู่ยังปกติดีผู้นี้
เขาฟาดกรงเล็บใส่หนามกระดูก จึงถูกหนามที่แหลมคมเหมือนดาบกระบี่เหล่านี้แทงทะลุฝ่ามือ
“เล่ห์เหลี่ยมที่น่าเบื่อ” ลู่เซิ่งฉีกยิ้ม เผยให้เห็นฟันแหลมคมและลิ้นเรียวยาว “เห็นแก่ที่เจ้าให้ข้อมูลมากมายกับข้า”
ฟิ้ว!
เขาลงมืออย่างฉับพลัน หางด้านหลังสะบัดออกมา มัดคอของหมาป่ายักษ์เอาไว้เหมือนงูพิษ ก่อนจะยกมันขึ้น
“ไม่!” ความแตกต่างทางพละกำลังที่เด็ดขาดทำให้หมาป่ายักษ์ร่างเน่าเปื่อยไม่สามารถดิ้นรนได้โดยสิ้นเชิง
มันขัดขืนสุดชีวิต ข่วนกรงเล็บใส่หางใหญ่อย่างบ้าคลั่ง เดี๋ยวพ่นหมอกดำออกจากปาก เดี๋ยวปากก็เรืองแสงสีเขียว
มันงอกปีกเนื้อขนาดไม่เล็กคู่หนึ่งออกมาจากด้านหลังแล้วกระพือสุดชีวิต หมายจะดิ้นให้หลุดจากพันธนาการของหางยักษ์
“ข้าจะเหลือศพที่สมบูรณ์ให้”
กร๊อบ
คอและศีรษะของหมาป่ายักษ์ร่างเน่าเปื่อยถูกบิดขาด จากนั้นก็หล่นลงบนพื้น ร่างกายของมันกลายเป็นเศษเนื้อนับไม่ถ้วน ตกโปรยปรายลงมาในพริบตา
ลู่เซิ่งไม่เหลียวแลศพของหมาป่า ใช้หางม้วนศีรษะที่หล่นขึ้นมา แล้วกองไว้บนตัวมัน
“ศพสมบูรณ์แล้ว”
ฟู่ว…
ปราณมารสีดำสนิทสายหนึ่งไหลออกมาจากศพ แล้วลอยไปด้านนอกในทันที พริบตาเดียวก็หายไปจากในถ้ำสีดำทะมึน
ลู่เซิ่งไม่สนใจ ตรวจสอบศพของหมาป่าอย่างละเอียด ก่อนจะเจอกุญแจพวงหนึ่งอย่างรวดเร็ว
บนกุญแจไม่มีรอยสนิม ดูเหมือนจะดูแลรักษาอย่างดี
ลู่เซิ่งลังเล เก็บกุญแจไว้ในถุงย่ามข้างเอว แล้วเริ่มตรวจสอบทั้งถ้ำโดยไล่ไปตามผนังถ้ำ
ไม่นานเขาก็เจอพื้นที่หยาบๆ ที่กั้นด้วยแผ่นไม้ตรงมุมแคบๆ แห่งหนึ่ง
พื้นที่ไม่ใหญ่ มีขนาดเท่าห้องนอนในบ้านคนธรรมดาเท่านั้น ด้านในมีถังไม้หลายใบ โต๊ะเครื่องแป้งอันทรุดโทรม ม้านั่งหลายตัว ชั้นหนังสือหนึ่งชั้น เชิงเทียนหนึ่งอัน
มีหนังสือหลายเล่มอยู่บนชั้นหนังสือ
ลู่เซิ่งเดินเข้าไปใกล้เล็กน้อย ยื่นมือไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งลงมาพลิกอ่าน ทั้งหมดเป็นตัวหนังสือสัญลักษณ์ที่อ่านไม่เข้าใจ ไม่ใช่ตัวอักษรต้าซ่ง และไม่ใช่ตัวอักษรต้าซ่งโบราณ
เขาครุ่นคิด วางหนังสือกลับตำแหน่งเดิม ก่อนจะมองดูรูปแกะสลักไม้ชิ้นหนึ่งที่วางอยู่บนถังไม้ใบหนึ่ง
นั่นเป็น รูปแกะสลักที่แกะขึ้นจากหินสีแดงอมดำ
‘นี่คือ…’
ลู่เซิ่งยื่นมือไปหยิบรูปแกะสลัก เขาสังเกตเห็นว่ามีเทียนหอมเสียบอยู่ด้านหน้าจุดที่วางรูปแกะสลัก บนพื้นยังมีรอยยุบเรียบลื่นอยู่
ผู้ที่อยู่อาศัยอยู่ที่นี่เหมือนกับยึดถือรูปแกะสลักนี้เป็นเทพ ทั้งยังคอยกราบไหว้
เพิ่งจะกำไว้ในมือ ยังไม่ทันสัมผัสความแข็งของวัสดุ ลู่เซิ่งก็ตกตะลึงเพราะพลังอาวรณ์อันมหาศาลที่อยู่ด้านในทันที
‘เยอะขนาดนี้เชียว!?’ เขาตื่นตระหนกอยู่ชั่วขณะจนเกือบทำหลุดมือ
ถ้าหากบอกว่าประตูรากไม้ก่อนหน้านี้ทำให้เขารู้สึกพิศวงหนักอึ้ง อย่างนั้นรูปแกะสลักในตอนนี้ก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกหวยรางวัลใหญ่
เดิมนึกว่าเป็นแค่ของธรรมดา คิดไม่ถึงว่าจะเป็นสมบัติที่ล้ำค่า!
“เผาไหม้ ทำลายล้าง ฝากฝัง ว่างเปล่า ส่งต่อทุกสิ่ง ให้ความเจ็บปวดนี้ไถ่ถอนทุกชีวิตในโลก ให้ทุกสิ่งนี้จงพินาศ จงเผาไหม้ความชั่วช้าทั้งมวล…” เสียงที่เหมือนเสียงสวดมนต์แผ่วเบาดังเข้ารูหูลู่เซิ่ง
ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าเสียงนี้ใช้ภาษาอะไร แต่เขากลับฟังทุกอย่างออกโดยสมบูรณ์อย่างน่าประหลาด
‘สนามพลังพิเศษที่ส่งผลต่อจิตใจอีกแล้วเหรอ’ ลู่เซิ่งไม่ไปสนใจ ยื่นนิ้วชี้ออกมาชี้หน้าของเทวรูป
ไม่นานเลือดสีแดงก่ำเหนียวข้นหยดหนึ่งก็ตกลงบนใบหน้าของเทวรูป
ซู่…
พลังอาวรณ์จำนวนมากทะลักเข้าไปในร่างลู่เซิ่ง เขาไม่ได้ใช้หยดเลือดดูดซับพลังอาวณณ์แบบนี้มานานแล้ว ไม่ใช่เพราะทำไม่ได้ แต่ว่าไม่มีวัตถุมีพลังอาวรณ์ซึ่งควรค่าให้เขาทำแบบนี้อีกแล้ว
ปกติถ้ามีหลายสิบหรือมากกว่าร้อยหน่วย แค่สัมผัสตรงๆ ก็ดูดซับได้ ไม่ต้องบีบเลือดออกมา
ทว่าเทวรูปนี้แตกต่างออกไป
เทวรูปร่างคนขนาดเท่าฝ่ามือ ทั้งร่างเป็นสีแดงเลือด สวมผ้าเนื้อบาง และแยกแยะไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิงมีพลังอาวรณ์แฝงไว้มากกว่าหกร้อยหน่วย
จำนวนที่มากขนาดนี้ ถ้าคิดจะดูดให้หมดในเวลาสั้นๆ ก็ได้แต่ต้องใช้หยดเลือด
หลังจากนั้นก็มีควันขาวเล็กๆ ลอยออกมา พลังอาวรณ์บนเทวรูปทะลักเข้าไปในร่างลู่เซิ่งอย่างรวดเร็ว
หลังจากดูดซับเสร็จแล้ว ผิวของเทวรูปก็เรืองแสงอ่อนๆ ส่งเสียงแกร่ก แล้วแตกออกเป็นชิ้นใหญ่ๆ หลายชิ้นหล่นลงพื้น
ลู่เซิ่งไม่สนใจเศษเทวรูปที่หล่นลงไป เมื่อพลังอาวรณ์หายไป ของสิ่งนี้ก็ไม่มีประโยชน์อีกแล้ว เขาตั้งสมาธิปรับตัวเข้ากับกายเนื้อของร่างกายในปัจจุบัน
วิถีแปดมารสูงสุดอนุมานกายเนื้อของเขาไปถึงขอบเขตที่ไม่อาจทำความเข้าใจได้อีกแล้ว ตอนนี้คุณสมบัติร่างกายของเขาที่ดูดซับแก่นมารในแท่นบูชาไป ได้เข้าสู่ระดับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังเป็นระดับปฐมที่คนทั่วไปพูดถึง
เพียงแต่ลู่เซิ่งไม่รู้ว่าระดับปฐมคือระดับไหนกันแน่ เขาไม่คุ้นกับระดับนี้เนื่องจากไม่มีของไว้ใช้อ้างอิง และไม่รู้ว่าได้ไปถึงระดับอาวุธเทพศัสตรามารของแท้หรือยัง
‘เราในตอนนี้คงจะไปถึงระดับอาวุธศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่น่าจะยังไม่ถึงระดับอาวุธเทพศัสตรามาร’ ลู่เซิ่งดูดซับพลังอาวรณ์จนจบ ก็ตรวจสอบสภาพในปัจจุบันของตนอีกรอบ
ปราณมารกำเนิดเปลี่ยนแปลงไปโดยสมบูรณ์ กลายเป็นปราณมารพิเศษสีม่วงอ่อน ที่เหลือไร้การเปลี่ยนแปลง มีแต่ขนาดร่างกายที่ใหญ่ขึ้น
ตอนนี้เขาอยู่ในสภาพหยินโชติช่วง ยังดีที่ก่อนหน้านี้หลังจากควบคุมกายเนื้อได้โดยสมบูรณ์ ก็ได้หดร่างกายให้กลับมาสูงสองหมี่อย่างเดิมแล้ว
แม้บนร่างจะเหลือสภาพผิดปกติอย่างอื่นอยู่ แต่ก็ไม่มีวิธีปกปิดทั้งหมด
อย่างเช่นฟันแหลมเหมือนเลื่อยเต็มปาก ตอนแรกเขายังใช้เนื้อปกคลุมฟันไว้ได้ แต่ตอนนี้หลังจากฟันแถวที่สามงอกออกมา ก็ปกปิดไม่ได้อีกแล้ว
ในความมืดมิด ลู่เซิ่งมองไปยังแท่นบูชาตรงกลาง ตรงนั้นควรจะเป็นทางเข้าไปยังชั้นล่าง
เพิ่งได้พลังอาวรณ์มากมายมา ตัวเลือกแรกย่อมเป็นการยกระดับวิถีแปดมารสูงสุดต่อ แต่ว่าการยกระดับวิถีแปดมารสูงสุดใช้ปราณมารมากเกินไป…
‘ที่นี่มีอย่างอื่นไม่มาก แต่มีปราณมารมากที่สุดพอดี เหมาะให้เราใช้ยกระดับวิชาลับร่างมารอย่างรวดเร็ว!’
โอกาสนั้นหายาก ลู่เซิ่งไม่คิดอะไรมาก ปล่อยมารหยินออกมาคุ้มกันรอบๆ ตัว แล้วนั่งขัดสมาธิกักตนทันที
…
เรือนสุดประจิม
หอพันหงส์เป็นคลังอาวุธที่ใหญ่ที่สุดของเรือนสุดประจิม และเป็นคลังที่ใช้เก็บอาวุธ
อาวุธที่ตระกูลขุนนางกับศิษย์สำนักใช้ ย่อมแตกต่างไปจากจอมยุทธ์ธรรมดา ส่วนใหญ่อาวุธของพวกเขาเสริมวัสดุพิเศษ และบางชิ้นก็ถึงขั้นมีเศษอาวุธเทพศัสตรามารผสมอยู่ กลายเป็นอาวุธเทพผนึกที่มีความสามารถพิเศษ
ภัยพิบัติมารเกิดขึ้นที่เมืองพันนาวา ที่นี่เป็นหน่วยหลักของเรือนสุดประจิมซึ่งอยู่ห่างไกลจากเมืองพันนาวา
ดังนั้นตอนที่ทางนั้นทำศึกอย่างดุเดือด ที่นี่ยังดำเนินการเตรียมงานเพื่อจัดการความยุ่งยากในงานชุมนุมย่อย ไม่ทราบเรื่องอะไรเลย
จ้าวจื่อใส่เสื้อคลุมสีม่วงลายมุกมังกรคู่ สวมกวนทรงเมฆอำพัน กำลังสนทนาอย่างสนุกสนานกับเจ้าสำนักสองคนที่เพิ่งมาถึงด้วยรอยยิ้ม
อยู่ๆ ศิษย์คนหนึ่งก็รีบร้อนเดินเข้ามา แล้วยื่นส่งมอบจดหมายที่ปิดผนึกให้จ้าวจื่อ
จ้าวจื่อรับม้วนกระดาษมาคลี่ออกมุมหนึ่ง เพิ่งอ่านได้นิดเดียว ก็ม้วนกระดาษกลับด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติ แสงอ่อนๆ กะพริบบนมือ ม้วนกระดาษกลายเป็นผงไปโดยสิ้นเชิง
“ออกไปก่อน” เขาสั่ง
ศิษย์คนนั้นค่อยๆ ผละไป
“ประตูเมืองปิดแล้ว ค่ายกลถูกเปิดใช้ ด้วยค่ายกลร้อยเปลี่ยนพันแปลงของเรือนสุดประจิม ต่อให้พวกเราถูกกระหนาบโจมตีทั้งด้านนอกและด้านใน ก็เกรงว่าจะเจาะทะลวงไม่ได้ ครั้งนี้สหายจ้าวแสดงฝีมือยอดเยี่ยมโดยแท้ เอาสมบัติสำนักออกมาปกป้องทุกคน” เจ้าสำนักคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างกล่าวประจบด้วยรอยยิ้ม
“มิได้ เรือนสุดประจิมของข้าเป็นผู้จัดงาน ย่อมต้องการความสมบูรณ์แบบในทุกๆ ด้าน ที่เปิดค่ายกลก็เป็นเพราะช่วงนี้ได้ยินว่าปัญหาด้านความปลอดภัยมีความผิดปกติอยู่บ้าง เพื่อไม่ให้รบกวนความคึกครึ้นของทุกท่าน จึงเปิดไว้ก่อนหนึ่งวัน” ดวงตาจ้าวจื้อสาดประกายเย็นเยียบ แต่ยังคงกล่าวอย่างยิ้มแย้ม
……………………………………….