บทที่ 78 นั่งฌาน

 

เมื่อเข้าใจสิ่งที่ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวแล้ว หมอในจวนก็ถึงกับน้ำตาซึม เขาดึงแขนเสื้อมาเช็ดน้ำตาและเกือบจะร้องไห้ออกมา

ฉีเฟยอวิ๋นดูไม่สบายใจมาก เป็นหมอต้องมีจรรยาบรรณและปฏิบัติอย่างเสมอภาค นางก็ไม่ได้รู้สึกดีมากนัก

จากนั้นจึงถามว่า:“ไม่ทราบว่าบุตรชายของท่านอายุเท่าไหร่แล้ว?”

“สิบแปดแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หมอในจวนเช็ดน้ำตาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวัง

ฉีเฟยอวิ๋นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง:“ข้าสามารถตรวจดูอาการให้เจ้าได้ แต่เจ้าอย่าคาดหวังว่าจะดีขึ้นนะ ข้าเคยเห็นโรคนี้มามากแล้ว หากมันเกิดขึ้นจากความตกใจกลัว แล้วในเวลานั้นมีคนที่คอยพูดปลอบใจก็มีโอกาสที่จะดีขึ้นได้ แต่ถ้าหากล่าช้านานเกินไปก็ยากที่จะพูด”

“พระชายาพ่ะย่ะค่ะ ขอเพียงพระองค์ทรงช่วยตรวจดูอาการให้ ผู้น้อยยินดีที่จะไปหาหนอนไหมเย็นที่เนินเขาสิบลี้ พระชายาพ่ะย่ะค่ะ ผู้น้อยขอพูดตรง ๆ อย่างไม่ปิดบังเลยว่าผู้น้อยรู้เรื่องหนอนไหมเย็นเป็นอย่างดี” เขายอมทำทุกอย่างเพื่อบุตรชาย

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกใจคอห่อเหี่ยว แม้ว่าจะจับหนอนไหมเย็นมาได้นับไม่ถ้วน แต่นางก็สามารถทำได้เช่นกัน

“เอาอย่างนี้ เจ้าไปพาบุตรชายของเจ้ามา ข้าจะลองตรวจดูก่อน แล้วค่อยว่ากัน”

“พ่ะย่ะค่ะ ผู้น้อยจะไปเดี๋ยวนี้”

หมอในจวนสี่ห้าคนต่างทยอยกันพูดเรื่องของตัวเอง หลังจากนั้นก็ใช้เรื่องการจับหนอนไหมเย็นมาหลอกล่อฉีเฟยอวิ๋น

ฉีเฟยอวิ๋นไม่สามารถพูดอะไรได้ และอาอวี่ก็ไม่สามารถทนดูได้อีกต่อไป

“หมอในจวนทุกท่าน ถึงแม้ว่าจะไม่มีหมอในจวนทุกท่านที่ไปจับหนอนไหมเย็น ในจวนก็มีคนที่สามารถไปจับหนอนไหมเย็นได้ พระชายาทรงเป็นผู้ที่มีจิตใจดี แต่ไม่ใช่ผู้ที่โง่เขลา”

อาอวี่ทำให้เหล่าหมอในจวนตกอยู่ในความเงียบงัน ฉีเฟยอวิ๋นจึงกล่าวว่า:“ทุกท่าน แม้ว่าข้าจะเต็มใจช่วย แต่ก็อาจจะช่วยไม่ได้ ไม่สู้ให้ทุกท่านอยู่ช่วยกัน ข้าทำงานเสร็จแล้วจะมาช่วยทุกท่าน ทุกท่านคิดว่าอย่างไร?”

ด้วยวิธีนี้ทุกคนจะได้ไม่ติดค้างซึ่งกันและกัน และไม่จำเป็นต้องไปจับหนอนไหมเย็นแล้ว

ไม่ต้องใช้การจับหนอนไหมเย็นมาเป็นข้อแลกเปลี่ยน แน่นอนว่านางไม่ชอบ จะทำอะไรก็ปล่อยไป

ทุกคนมองหน้ากัน หนึ่งในนั้นเริ่มแสดงความเคารพ และถามว่า:“ไม่ทราบว่าพระชายาทรงมีประสงค์เช่นไร และผู้น้อยจะต้องทำอย่างไรบ้าง?”

“หมอในจวนทุกท่าน ข้ามีสมุนไพรทุกชนิดอยู่ที่นี่ แต่การบดให้เป็นผงต้องใช้เวลามาก และจำเป็นต้องบดให้ละเอียดเหมือนโคลน จะดีที่สุดหากเป็นเหมือนโจ๊กที่ทุกท่านกินเวลาที่เติมน้ำต้องไม่รู้สึกถึงความหยาบเป็นเม็ดทรายของสมุนไพร

สาวใช้ในจวนใช้กันมาเป็นเวลานานมากแล้ว แต่ยังหาวิธีดี ๆ ไม่เจอ ข้าต้องการเห็นมันเป็นผงละเอียดภายในคืนนี้ ไม่ทราบว่าทุกท่านมีวิธีดี ๆ ที่ช่วยประหยัดทั้งแรงและเวลาบ้างหรือไม่!”

เมื่อฉีเฟยอวิ๋นพูดเช่นนี้ หมดในจวนก็พากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรเสียอีก นี่เป็นเรื่องง่าย ๆ และแน่นอนว่าไม่น่ากล่าวถึง

ทุกคนเดินตามกันมาดูสมุนไพรของฉีเฟยอวิ๋น มีจำนวนไม่มากและใช้เวลาไม่นาน

ทุกคนปรึกษาหารือกัน สมุนไพรทั้งหมดมากกว่าสิบชนิด หนึ่งในหมอในจวนกล่าวว่า:“พระชายาพ่ะย่ะค่ะ ทำเช่นนี้จะดีกว่า ผู้น้อยจะแบ่งให้เท่า ๆ กัน และหลังจากที่บดละเอียดแล้วจะส่งมอบให้พระชายาพ่ะย่ะค่ะ พระชายาได้เห็นการบดให้เป็นผงของผู้น้อยแล้ว จะต้องพอพระทัยแน่พ่ะย่ะค่ะ”

“ก็ได้ เช่นนั้นก็รบกวนทุกท่านแล้ว” ฉีเฟยอวิ๋นไม่สามารถทำอะไรได้ หมอในจวนทุกคนล้วนแต่เป็นหมอที่เก่งกาจ ย่อมต้องมีฝีมืออย่างแน่นอน การบดให้เป็นผงคงไม่ใช่เรื่องยาก

ฉีเฟยอวิ๋นให้สาวใช้ทั้งสองคนถอนตัวออกไป และให้พวกนางไปเลือกขวดลายครามสวย ๆ ที่จวนกับอาอวี่

ส่วนฉีเฟยอวิ๋นก็อยู่เรียนรู้วิธีที่ดีที่สุดในการบดยาให้เป็นผง ไม่ง่ายเลยที่จะขอความช่วยเหลือครั้งแล้วครั้งเล่า ดังนั้นนางจึงพยายามตั้งใจเรียนรู้

คนเยอะงานก็เดินหน้า และไม่นานสมุนไพรหลายสิบชนิดก็กลายเป็นผง ฉีเฟยอวิ๋นแอบจำวิธีการของหมอในจวน ครูพักลักจําและได้รับความรู้มาไม่น้อยเลย

หลังจากบดเป็นผงเรียบร้อยแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็ประหยัดเวลาไปได้มาก ในเวลานี้เหล่าหมอในจวนก็พาผู้ป่วยมา และเพื่อที่จะแก้ปัญหาเรื่องนี้ ฉีเฟยอวิ๋นจึงถือโอกาสเป็นหมอเสียเลย

ไม่ว่าจะเป็นใคร เมื่อนั่งลงแล้ว นางก็จะทำการตรวจให้ทั้งนั้น มีอุปกรณ์เครื่องเขียนอยู่ด้านข้าง หลังจากที่ทำการตรวจแล้ว นางก็จะเขียนใบสั่งยาให้

นางพบว่าเพียงแค่นางใช้สมาธิและจับชีพจรของผู้ป่วย นางก็จะสามารถรับรู้ได้ในทันทีว่าคนผู้นั้นป่วยเป็นอะไร

หลังจากที่ทำการตรวจไปสองสามคนแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็ตรวจได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และได้ทำการเขียนใบสั่งยาให้ทุกคน แม้แต่ผู้ที่เป็นวัณโรค ฉีเฟยอวิ๋นก็เขียนใบสั่งยาให้เช่นกัน แม้ว่าจะไม่สามารถรักษาให้หายขาด และกำจัดสาเหตุของโรคที่แท้จริงได้ แต่การสั่งจ่ายยาจะช่วยบรรเทาอาการ และทำให้อาการคงที่ได้

คนสุดท้ายเป็นคนที่บุตรชายมีอาการตกใจกลัว ฉีเฟยอวิ๋นเห็นว่าผู้ป่วยอายุยังน้อย หน้าตาดี แต่กลับเป็นโรคปิดกั้นตัวเอง นางอดไม่ได้ที่จะสงสารและรู้สึกหดหู่ใจ

“พระชายาพ่ะย่ะค่ะ นี่คือบุตรชายของผู้น้อย” หมอในจวนดูกระตือรือร้น

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า:“นั่งลงก่อนเถอะ ข้าขอตรวจดูอาการอย่างละเอียดหน่อย”

หมอในจวนรีบให้บุตรชายของเขานั่งลง ฉีเฟยอวิ๋นจับชีพจรและเริ่มใช้สมาธิ นางตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนที่จะกลับมารู้สึกตัว

หมอในจวนรีบถามว่า:“พระชายา บุตรชายของผู้น้อยจะหายหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

“หมอในจวน เหตุใดบุตรชายของท่านถึงได้รับความสะเทือนใจ?” ตอนที่ฉีเฟยอวิ๋นใช้สมาธิดูสมองของผู้ป่วย นางพบว่าไม่มีปัญหาใด ๆ เลย แสดงว่าคนผู้นี้ไม่ได้ป่วย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องของจิตใจ เป็นการเสแสร้งแกล้งทำ

แต่หมอในจวนไม่มีความรู้ในเรื่องนี้

หมอในจวนจนปัญญา:“เรื่องมันยาวพ่ะย่ะค่ะ เดิมทีเขาต้องการจะออกไปท่องเที่ยว แต่ผู้น้อยต้องการให้เขามาเป็นผู้สืบทอด และอยู่บ้านเพื่อเรียนรู้วิชาแพทย์ แต่ใครจะรู้ว่าเขาจะไม่เต็มใจ ผู้น้อยจึงตีลูกสุนัขที่เขาเลี้ยงไว้จนตายด้วยความโมโห จากนั้นเขาก็กลายเป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หมอในจวนก็รู้สึกปวดใจ

ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบไปมองผู้ป่วย และกล่าวกับหมอในจวนว่า:“เจ้าอยากให้เขาหายจริง ๆ หรือ?”

หมอในจวนตกตะลึง:“พระชายาสามารถรักษาได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

“แน่นอนว่าย่อมมีวิธี แต่ผู้ใดผูกผู้นั้นก็ต้องแก้ ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นเพราะท่าน เช่นนั้นท่านก็ต้องเป็นผู้แก้”

หมอในจวนถามว่า:“พระชายา ผู้น้อยต้องแก้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”

“ชีวิตต้องแลกด้วยชีวิต ท่านตีลูกสุนัขของเขาจนตาย เขากลัวท่านจนกลายเป็นเช่นนี้ หากท่านตีตัวเองจนตาย เช่นนั้นเขาก็จะไม่เป็นอะไรแล้ว”

“หา?” หมอในจวนเกือบล้มลงเหมือนถูกฟ้าผ่า

ฉีเฟยอวิ๋นแอบสังเกตชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า แม้ว่าเขาจะไม่แสดงท่าทีใด ๆ แต่มีความตกตะลึงปรากฏขึ้นในแววตาของเขา

ฉีเฟยอวิ๋นพยายามอย่างไม่ลดละ:“หนามยอกเอาหนามบ่ง ในวันนั้นท่านตีลูกสุนัขของเขาตายอย่างโหดเหี้ยม เขาได้รับความสะเทือนใจ เช่นนั้นก็ต้องให้เขาได้รับความสะเทือนใจอีกครั้งถึงจะหาย แต่ความสะเทือนใจเช่นนี้ เกรงว่าจะไม่มีอะไรสามารถกระตุ้นเขาได้มากไปกว่าการที่ท่านตาย จากการสืบสาวราวเรื่องแล้ว สาเหตุเป็นเพียงเพราะเขาเกลียดท่าน”

หมอในจวนมองดูบุตรชายของเขาด้วยความงุนงง จากนั้นก็กล่าวว่า:“พระชายา เป็นเช่นนั้นจริง ๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ?”

เมื่อเห็นว่าหมอในจวนน้ำตาซึมและร้องไห้ออกมา ฉีเฟยอวิ๋นก็กล่าวว่า:“เป็นหนี้ก็ต้องคืนเงิน ฆ่าคนก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต ท่านฆ่าลูกสุนัขของเขา ท่านก็จงชดใช้ให้เขาด้วยชีวิต แล้วเขาก็จะหาย”

หมอในจวนตัวสั่น:“บุตรชายของผู้น้อยจะหายจริง ๆ ใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?”

ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้า: “เขาจะหาย ข้าสามารถเอาชีวิตของข้าเป็นประกันได้ หากท่านฆ่าตัวตาย แล้วเขายังไม่หาย เช่นนั้นข้าก็จะตายตามท่านไป ทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนแต่เป็นพยานได้!”

หมอในจวนเฝ้ามองบุตรชายของเขา และน้ำตาซึม:“ขอเพียงแค่บุตรชายของผู้น้อยหายดี ถึงตายก็คุ้มค่า พระชายาพ่ะย่ะค่ะ หากท่านโกหกผู้น้อย ต่อให้เป็นผีผู้น้อยก็จะไม่ละเว้นท่าน!”

ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้า:“ที่กำแพงสูงด้านนอก ที่นั่นมีต้นไม้สูงใหญ่ ท่านหาวิธีปีนปีนขึ้นและกระโดดลงมาจากด้านบน เช่นนี้ก็เป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะมีชีวิตรอด และต่อให้ท่านจะรอด พวกเราก็จะไม่ช่วย”

เมื่อผู้คนรอบข้างได้ยินต่างก็ขนลุกขนพอง ที่แท้จิตใจของพระชายาก็ไม่ได้เปลี่ยนใจ นางพูดออกมาได้อย่างโหดร้ายเช่นนี้ แสดงให้เห็นแล้วว่าใช้ชีวิตของผู้อื่น เพื่อหาความสุข”

หมอในจวนฟังแล้วก็ไม่รู้สึกอะไร แต่กลับพยักหน้าด้วยความเต็มใจ:“พ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นผู้น้อยจะไป พระชายาต้องทรงดูแลบุตรชายของผู้น้อยด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ”

“ไปเถอะ ข้าจะดูแลเขาเอง”

หลังจากที่พูดจบแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็ลุกขึ้นออกไปข้างนอก นางเดินออกจากผ้าม่าน นักคำนวณที่อยู่ข้าง ๆ หนานกงเย่ต่างมองไปที่นาง ด้วยสายตาดุร้ายที่กำลังต่อว่านาง นางไม่ใช่คนดี สันดอนขุดง่ายสันดานขุดยาก

ฉีเฟยอวิ๋นไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร แต่นางมองไปที่หนานกงเย่

นางไม่รู้ว่าเหตุใด นางถึงอยากรู้ว่าเขาคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

 

**********************