อะไรนะ!

หนานหว่านเยียนมีลูกเลี้ยงดูให้กู้โม่หาน?!

ครั้นโม่หวิ่นหมิงโพล่งคำพูดนี้ออกมา ทุกคนก็ตื่นตระหนกตกใจทันที หนานหว่านเยียนทึ่งเบิกตาโพลง!

ฮูหยินของเฉิงเซี่ยงหน้าถอดสี หนานฉีซานนัยน์ตาหดเล็ก หัวใจของกู้โม่หานรัดแน่น “อะไรนะ”

เขาหันไปมองหนานหว่านเยียนทันที! สมองหนานหว่านเยียนยังไม่ทันแล่น รู้สึกแต่อยากเป็นลมแกล้งตายไปเสีย!

โม่หวิ่นหมิงไม่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ตอนนี้เขากำลังเลือดขึ้นหน้า ต้องการแต่จะยกความผิดของกู้โม่หานมาตำหนิแทนหนานหว่านเยียนเท่านั้น

“ฮึ ข้าว่าเจ้าก็แค่นี้! ห่างไกลกับหว่านหว่านของพวกเราลิบลับ! ถ้าเจ้าใจเดียวรักทะนุถนอมหว่านหว่านของพวกเราไม่ได้ เจ้าก็ให้หว่านหว่านแต่งกับคนอื่นเสียเถอะ ให้นางพาลู…อื้อ”

หนานหว่านเยียนพุ่งเข้าอุดปากโม่หวิ่นหมิงแบบมือเร็วตาไวทันที

เมื่อกี้หัวใจนางจะกระเด้งขึ้นมาถึงลำคอแล้ว สงสัยว่าเซียงอวี้ก็คงถูกไอ้เลวกู้โม่หานห้ามไว้ ก็เลยไม่ได้รายงาน

เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาฉงนฉงายสืบเสาะของทุกคนในยามนี้ หนานหว่านเยียนจึงฉีกริมฝีปาก ฝืนตั้งสติให้มั่น

“ท่านลุงแค่พูดเล่นเท่านั้น ความหมายของเขาคือ ช้าเร็วข้ากับท่านอ๋องก็ต้องให้กำเนิดบุตรชายอบรมสั่งสอนบุตรสาว แต่เขาควบคุมปากไม่ได้ชั่วขณะ ปากพูดไปเอง ทุกคนอย่าใส่ใจเลยนะ!”

ทว่าสีหน้าโม่หวิ่นหมิงที่ถูกอุดปากแปลกประหลาด กลอกลูกตาคล้ายจะถามหนานหว่านเยียนว่าห้ามเขาพูดทำไม

หนานหว่านเยียนพยายามส่งสายตาให้โม่หวิ่นหมิงสุดฤทธิ์ แล้วจึงปล่อยมือ “ข้ากลัวว่าท่านลุงจะพูดผิด ก็ท่านเก็บตัวมาตั้งห้าปี ไม่มีโอกาสได้รู้ข่าวสารภายนอก ทุกคนเข้าใจด้วยนะ”

จะให้เรื่องสองพี่น้องนั่นหลุดออกไปไม่ได้ และจะให้คนรู้ชาติกำเนิดของพวกนางไม่ได้ด้วย ตอนนี้หวังเพียงท่านลุงจะเข้าใจสายตาของนาง

เมื่อได้ยินดังนั้น กู้โม่หานก็พูดไม่ออกว่าเป็นความรู้สึกแบบไหน ไม่รู้ว่าผิดหวังมากกว่า หรือเป็นความเย็นชาที่มากกว่า

เขานึกว่าเจ้าตัวน้อยสองตัวนั้นคือลูกของเขา คิดไม่ถึงว่าจะเข้าใจผิด…

แม้ฮูหยินของเฉิงเซี่ยงและบ่าวไพร่ทั้งหลายจะสงสัย แต่พอคิดอีกที เศษสวะอย่างโม่หวิ่นหมิง หมกตัวอยู่แต่ในนี้หลายปี จะไปรู้อะไรได้ คงพูดผิดจริงๆ

พวกนางไม่คิดเรื่องนี้อีก มองหนานหว่านเยียนอย่างขำขัน

หนานฉีซานลุกขึ้นยืน มองหนานหว่านเยียนด้วยความหมายลึกซึ้งทีหนึ่ง “เชิญพระชายาพาท่านอ๋องกลับห้องพักผ่อนเถอะ คืนนี้กระหม่อมจะจัดงานเลี้ยงในครอบครัว ถึงตอนนั้นจะให้บ่าวไพร่มาแจ้งพวกท่านมาร่วมงาน”

พอกล่าวจบ หนานฉีซานก็พาฮูหยินและบ่าวไพร่ออกไป

เซียงอวี้รออยู่นอกประตู

เมื่อนั้น ในห้องก็เหลือเพียงสี่คน

อาจี้อยู่ในห้องที่มีบรรยากาศกดดัน ใช้นิ้วมือม้วนแขนเสื้อไม่หยุด เห็นชัดว่าอึดอัดมาก

โม่หวิ่นหมิงจึงเอ่ย

“อาจี้ เจ้าไปนอกห้อง ตักน้ำมาชงน้ำชาใหม่ให้ข้าหน่อย ชานี่เย็นชืดหมดแล้ว”

เมื่อได้รับคำสั่งของโม่หวิ่นหมิง อาจี้ก็เหมือนกับคว้าได้ฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้าย ออกจากห้องไปราวกับการหนี

ตอนนี้ เหลือเพียงพวกหนานหว่านเยียนสามคนแล้ว

ความประทับใจแรกที่โม่หวิ่นหมิงมีต่อกู้โม่หานลดฮวบ เขาเหลือบมองกู้โม่หานที่หนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์

“คนในราชวงศ์ก็ใช่ว่าจะดีเด่นเสมอไป ดูแล้ว ไม่รู้ว่าหว่านหว่านของพวกเราอยู่ในจวนอ๋องอี้ ต้องรับอารมณ์เท่าไร!”

สายตากู้โม่หานน่ากลัว “เป็นนางหรือข้าที่รับอารมณ์ นางรู้แก่ใจดีที่สุด!”

หนานหว่านเยียนหางตากระตุก คิดไม่ถึงว่าเจตนาร้ายระหว่างผู้ชายจะมากถึงเพียงนี้ได้!

นางเมินการเสียดสีของกู้โม่หาน หากระดาษและพู่กันในห้อง รีบเขียนสูตรยาบำรุงร่างกายให้โม่หวิ่นหมิง

โม่หวิ่นหมิงลดสายตามองนาง ในดวงตาปรากฏความสงสารและเสียดาย “หว่านหว่าน ข้าพูดจริงนะ ถ้าจวนอ๋องอี้รับเจ้าไม่ได้ เจ้าก็พาลู…”

หนานหว่านเยียนสอดปากพลัน “ท่านลุง เอาไว้ท่านให้อาจี้ไปซื้อยามาตามสูตรนี้ดื่มระยะหนึ่งแล้ว ข้าค่อยมาตรวจอาการให้ท่านใหม่ ถ้าร่างกายดีขึ้น ก็เริ่มรักษาขาของท่านได้แล้ว”

โม่หวิ่นหมิงขมวดคิ้วแน่น

หลานสาวขัดไม่ให้เขาพูดเรื่องเด็กสองครั้งติดกัน เห็นได้ชัดว่าไม่อยากให้เขาพูดมาก แม้เขาจะไม่เข้าใจเอาเสียเลย แต่ก็ไม่ได้พูดต่อ

ดังนั้นจึงหันหัวหอกไปทางกู้โม่หาน “หว่านหว่านอ่อนโยนเอาใจเก่ง ทั้งยังมีการศึกษามากด้วยความสามารถ ต้องมีบุญเพียงใดถึงได้ครองคู่ แต่กลับมีคนไม่รู้จักถนอม!”

หนานหว่านเยียนแอบตกใจเล็กน้อย

แม้ว่านางจะรู้ว่าท่านลุงคนนี้อ่อนโยนเอาใจเจ้าของร่างมาโดยตลอด แต่ท่าทางตาต่อตา ฟันต่อฟันขึ้นสีหน้ากับกู้โม่หานโดยตรงอย่างนี้ กลับทำให้นางนึกไม่ถึง

ต้องพูดเลย ยอดเยี่ยมมาก!

กู้โม่หานรู้ดีว่าถูกโม่หวิ่นหมิงรังเกียจแล้ว รู้สึกไม่พอใจบางส่วน แต่จนใจที่เขาพูดต่อไม่ได้ ดังนั้นจึงสะบัดแขนเสื้อไปเสียเลย ออกไปรอหนานหว่านเยียนอยู่หน้าประตู

“หนานหว่านเยียน ทางที่ดีเจ้าก็เร็วหน่อย!”

เซียงอวี้ถอยสามก้าวอย่างไม่รู้ตัว ยืนกลั้นลมหายใจ

รู้สึกว่าท่านอ๋องอารมณ์ไม่ดีเอามากๆ เลย!

โม่หวิ่นหมิงยังไม่ยอมหยุด ชักเสียงสูงต่อ จงใจพูดให้กู้โม่หานที่อยู่นอกประตูได้ยิน “หว่านหว่านเอ๋ย ถ้าเจ้าถูกรังแกก็มาหาข้าได้เลย! ข้าไม่กลัวสร้างศัตรู ถึงอย่างไรก็พิกลพิการ! อยู่ได้อีกไม่นานแล้ว แต่กลศาสตร์ของข้า คืออันดับต้นๆ ของซีเหย่! ก่อนตาย พาไปด้วยคนหนึ่งก็คือคนหนึ่ง!”

นี่คือการข่มขู่อย่างชัดเจน ข่มกู้โม่หานโดยตรง

หนานหว่านเยียนนึกขันเล็กน้อย แต่กลับโมโหพูด “เพ้ยๆๆ! อีกไม่นานท่านลุงก็หายดีแล้ว ท่านวางใจเถอะ ข้าต้องดูแลตัวเองดีๆ แน่นอน! อย่าลืมดื่มยาตามเวลาด้วยล่ะ!”

ครั้นกล่าวจบ นางก็ทิ้งสูตรยาไว้ กำชับโม่หวิ่นหมิงอีกสองสามประโยค จากนั้นก็รีบร้อนออกจากห้อง

โม่หวิ่นหมิงมองแผ่นหลังของหนานหว่านเยียนที่จากไป นัยน์ตาหนักอึ้ง

เมื่อหนานหว่านเยียนออกจากประตูแล้ว รอยยิ้มที่แขวนอยู่บนใบหน้าแต่เดิมก็หายไปพลัน นัยน์ตาเย็นชา เหลือบมองกู้โม่หานทีหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเขาทำหน้าบูดบึ้ง ก็ฉุดแขนเสื้อเขาลากออกไปข้างนอก

เซียงอวี้เห็นแล้วจึงตามทั้งสองไป

“หนานหว่านเยียน! เจ้าจะทำอะไร! ปล่อยข้า!” กู้โม่หานทั้งร้อนรนทั้งโมโห ตวาดเสียงเย็นชา

หนานหว่านเยียนขมวดคิ้วไม่แยแส “ท่านอ๋อง จะเล่นละคร ก็ต้องให้มันสมจริงสมจังไม่ใช่หรือ”

ระหว่างพูด ทั้งสองก็กลับไปยังเรือนที่พักเดิมของเจ้าของร่าง

แต่เพิ่งเข้าประตูมา กู้โม่หานก็เหวี่ยงปิดประตู เซียงอวี้จึงถูกกั้นให้อยู่ข้างนอกทั้งอย่างนี้

กู้โม่หานกดหนานหว่านเยียนไว้กับบานประตูด้วยอารมณ์รุนแรงอย่างยิ่งยวด

เวลานี้ นัยน์ตาของเขามีเปลวเพลิง กวาดตามองด้วยสีหน้าดุดัน น้ำเสียงไม่เป็นมิตร “หนานหว่านเยียน ข้าถูกไทเฮาบังคับให้กลับจวนเฉิงเซี่ยงเป็นเพื่อนเจ้า ตอนนี้เจ้าพอใจแล้วสินะ”

หนานหว่านเยียนไม่ทันระวังตัว ยามนี้กลิ่นอายของกู้โม่หานส่งมาไม่หยุด นิ้วเรียวยาวบีบไหล่ของนาง บีบจนนางเจ็บ

นางตอบด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “กู้โม่หาน! อยู่ดีๆ ก็มาหาเรื่อง? ข้าไม่รู้สักหน่อยว่าไทเฮาบังคับเจ้า! อีกอย่าง เจ้าไม่ใช่ ‘เทพสงคราม’ หรอกหรือ ทำไมเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ไม่กล้าต่อต้านล่ะ”

เมื่อได้ยินดังนั้น กู้โม่หานจึงออกกำลังที่มือมากขึ้น บีบไหล่หนานหว่านเยียนจนเป็นรอยนิ้วมือสองสามรอยทั้งอย่างนั้น

“ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าเล่นลูกไม้ ข้าหรือจะถูกไทเฮาสั่งสอน!”

หนานหว่านเยียนเจ็บจนสูดลมเย็น แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ “ข้าไม่สนใจเรื่องพวกนี้สักหน่อย เล่นลูกไม้อะไร เจ้าอยู่นั่นแหละถึงจะเป็นความทรมาน! ถ้าเจ้าอยากไป ก็ไปเสียเดี๋ยวนี้เลย ไม่มีใครรั้งตัวเจ้าไว้สักหน่อย!”

เมื่อได้ยินอย่างนี้ ความแค้นในใจกู้โม่หานก็ทวีมากขึ้น ผสมรวมกับความรู้สึกที่ถูกโม่หวิ่นหมิงรังเกียจเมื่อครู่ ระเบิดพลุ ปล่อยไหล่หนานหว่านเยียนฉับพลัน ก่อนจะหาเก้าอี้นั่ง

หนานหว่านเยียนกัดฟัน เจ้าอ๋องสุนัขน่าตายเป็นอะไรไป

นางนวดไหล่ที่ช้ำ “นี่! หูหนวกหรืออย่างไร ทำไมยังไม่ไปอีกล่ะ”

กู้โม่หานมองนาง เปิดปากหัวเราะเย็น กล่าว “วันนี้ข้าจะไม่ไปแล้ว! ในเมื่อเจ้าบอกว่าการที่ข้าอยู่คือความทรมาน เช่นนั้นข้าก็จะทรมานเจ้าให้สาสม!”