ตอนที่ 175 ซูซู (2)

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 175 ซูซู (2)

โดยทั่วไป วันปีใหม่ที่31ควรอยู่ที่บ้านของตนเอง

แต่ฟู่เสี่ยวกวนค่อนข้างพิเศษ ถึงแม้ที่เมืองหลวงเขาจะมีบ้านหนึ่งหลังแล้ว แต่เพราะเขายังมิได้แต่งงาน ดังนั้นเขายังปรี่ไปจวนต่งอย่างหน้าด้าน

ส่วนซูเจวี๋ย ซูโหรวรวมไปถึงซูซูที่เพิ่งมาถึงจวนฟู่ เดิมทีพวกเขาก็ตัวคนเดียวอยู่แล้ว ช่วงข้ามปีในอดีตก็อยู่แต่ในอาราม และมิมีความรู้สึกอยากไปที่แห่งใดเป็นพิเศษ แต่ในตอนนี้พวกเขาอยู่ที่จวนฟู่ ความแตกต่างคือในจวนนั้นประดับโคมไฟเอาไว้อย่างมากมาย ถนนใหญ่ด้านนอกจวนครึกครื้นเป็นอย่างมาก นอกเหนือจากนั้น… ก็เหมือนจะมิมีอะไรแล้ว

ฮูหยินต่งมิมีข้อคิดเห็นอันใดที่ฟู่เสี่ยวกวนจะมาที่บ้านในช่วงข้ามปี เป็นเพราะตั้งแต่ได้เปิดกล่องที่ฟู่เสี่ยวกวนนำมาให้ ซึ่งในห้ากล่องใหญ่นั้นมีเงินให้ใช้ได้อย่างฟุ่มเฟือย !

หลังจากที่ฮูหยินต่งได้นับ ตั๋วเงินภายในนั้นก็มีมากถึง 30,000 ตำลึง สำหรับจวนต่ง นับเป็นทรัพย์สินที่มหาศาลอย่างมิต้องสงสัย การมาเมืองหลวงครั้งที่แล้ว ยามที่ฟู่เสี่ยวกวนและซูม่อปรี่เข้ามาขโมยตัวต่งชูหลานไปก็เคยได้ยินฮูหยินต่งคุยกับต่งซิวจิ่น เรื่องที่จวนต่งมิได้ร่ำรวย ฟู่เสี่ยวกวนก็รับรู้ ดังนั้นเขาจึงมิสนคำคัดค้านของต่งชูหลาน เขาจึงตัดสินใจด้วยตนเองที่จะมอบเงินให้ 30,000 ตำลึง คิดที่จะใช้ประโยชน์จากเงินที่แวววาวเหล่านั้น หวังว่าท่านแม่ยายจะชื่นชอบตัวเองมากขึ้นอีกสักเล็กน้อย

ถึงแม้จะบรรลุเป้าหมายแล้ว ยามที่ฮูหยินต่งได้มองฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้อีกครา ก็รู้สึกว่าชายหนุ่มผู้นี้มิเลว สายตาของชูหลานก็มิเลว โชคดีที่ฟู่เสี่ยวกวนยอมอดทนอดกลั้น ไม่อย่างนั้นหากสูญเสียลูกเขยที่ดีเยี่ยงนี้ไปคงน่าเสียดายมิใช่น้อย

ในบางครั้งนางก็ยังนำมาเปรียบเทียบกับเยี่ยนซีเหวิน ฟู่เสี่ยวกวนนั้นหากเทียบกับตระกูลเยี่ยนก็คงจะเทียบมิติด แต่จากที่มองในตอนนี้ความรู้ของฟู่เสี่ยวกวนมีมากกว่าเยี่ยนซีเหวินมากนัก ได้ยินว่าเขาได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท  หากได้รับการสนับสนุนจากขุนนางระดับสูงอย่างลับ ๆ ลองคิดทบทวนดูแล้วเขาสามารถเข้าร่วมในราชสำนักได้มิยากเย็นนัก

เยี่ยงนี้ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว !

โอ้ เหมือนจะจำได้ว่าเขามีอาการป่วยทางสมอง มิได้การ ข้อดีของเขาอยู่ที่สมอง หากเกิดอาการป่วยที่สมองอีกคราจะยิ่งลำบาก ดังนั้นต่งหยวนชื่อจึงเข้าครัวไปทำซุปนกพิราบด้วยตนเอง ในยามที่ฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลานมาถึงจวนต่งและเดินเข้าไปในห้องโถง บ่าวรับใช้วัยชราก็ได้นำซุปนกพิราบมาวางตรงหน้าฟู่เสี่ยวกวน

“ฮูหยินลงมือทำสิ่งนี้ด้วยตนเองเลยนะเจ้าค่ะ ใช้เทียนหม่าที่องค์จักรพรรดิทรงมอบให้แก่นายท่านต่งมา ใช้นกพิราบที่มีอายุ 3 เดือนมาเคี่ยวเป็นเวลา 2 ชั่วยาม สิ่งนี้เป็นอาหารบำรุงสมอง คุณชายทานตอนที่ยังร้อนนะเจ้าคะ”

สีหน้าของต่งชูหลานจึงมีรอยยิ้มน้อย ๆ ประดับ ต่งซิวเต๋อจึงรู้สึกแย่ขึ้นมาทันพลัน

แต่ฟู่เสี่ยวกวนมีความสุข เขาหัวเราะร่าและหยิบช้อนขึ้นมาชิมอย่างไม่เกรงใจ ทั้งยังเอ่ยชมไม่ขาดปาก “ฝีมือท่านป้าเป็นหนึ่งในใต้หล้ามิมีสอง ทำเอาเสี่ยวกวนรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นเหมือนอยู่บ้านเลยขอรับ”

ต่งซิวเต๋อจ้องฟู่เสี่ยวกวนเขม็ง “น้องเขย แท้จริงแล้วเจ้าได้วางยาเสน่ห์ใส่ท่านแม่หรือไม่ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะ “ท่านพี่รอง ท่านป้าผู้ยิ่งใหญ่มีดวงตาราวกับคบเพลิง เหตุไฉนข้าต้องวางยาเสน่ห์ด้วยเล่า ข้าจักบอกให้ ซุปนี้รสชาติเป็นเลิศอย่างยิ่ง ท่านอยากลิ้มลองหรือไม่ ? ”

“ออกไปให้พ้น ! ”

ทันใดนั้นต่งซิวเต๋อก็รู้สึกว่าน้องเขยมิได้ดีเท่าใดนัก เพิ่งเป็นเวลาสองวันตั้งแต่ที่เขามาถึงจวนต่ง แต่มารดาของเขาก็เอนเอียงไปทางฟู่เสี่ยวกวนเสียแล้ว ราวกับบุตรชายของตนเองนั้นไร้ตัวตน ให้ตายเถอะ เหตุใดถึงได้รู้สึกว่าข้ากำลังชักนำหมาป่าเข้าบ้านกัน ?

ฟู่เสี่ยวกวนย่อมละเลยความรู้สึกของต่งซิวเต๋อ อือ ความรู้สึกของพี่รองมิได้สำคัญอันใด

หลังจากนั้นต่งคังผิงก็เดินออกมา ทั้งสี่คนนั่งลงที่โต๊ะน้ำชาผิงไฟต้มน้ำชาและพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย

ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวถึงบ้านที่หลินเจียง กล่าวว่าเป็นคราแรกที่ได้พบกับต่งชูหลาน กล่าวว่าเป็นเพราะต่งชูหลานตนถึงได้เปลี่ยนไปและเรื่องอื่น ๆ อีกมากมาย

ทางเขากำลังพูดคุยกันอย่างสบายอารมณ์ ส่วนภายในศาลาเถาหรานจวนฟู่ ณ ทะเลสาบซวนอู่สองศิษย์พี่น้องก็กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

ซูซูนั่งอยู่บนเก้าอี้สองเท้าเปล่ากวัดแกว่งไปมา จ้องมองศิษย์พี่ใหญ่ซูเจวี๋ยด้วยดวงตาเป็นประกาย

“ที่กล่าวว่า ชายแซ่ฟู่ผู้นี้เป็นผู้ที่มีความสามารถ เขามีมากเท่าใดกัน ? ”

ซูเจวี๋ยพยักหน้า “ศิษย์น้องข้าได้อ่านความฝันในหอแดงที่เขาเป็นผู้ประพันธ์ และเคยได้เห็นบทกวีที่ได้สลักบนหินเชียนเปยสือบทนั้น คนผู้นี้มีพรสวรรค์ยิ่ง แต่มันน่าประหลาดที่เขาดูมิค่อยใส่ใจกับสิ่งเหล่านั้น”

“ศิษย์พี่หมายความเยี่ยงไรเจ้าคะ ? ”

“ข้ามิเคยเห็นเขาอ่านตำราทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้ามาก่อน ยามที่ข้าพบเขาคราแรก เขาก็ได้เป็นขุนนางแล้ว แต่มิใช่ผ่านจากการสอบ แต่ใช้ทางลัดโดยการเขียนนโยบายบรรเทาสาธารณะภัยหนึ่งฉบับ นโยบายนั้นเจ้าคงจะรู้จัก ท่านอาจารย์ขอให้พวกเราออกมาปกป้องเขา นั่นก็เพราะศิษย์น้องเล็กส่งนโยบายฉบับนั้นมา”

ซูซูเอียงคอด้วยท่าทางครุ่นคิด แล้วส่ายหน้า “ข้าเองก็มิทราบ ข้ามิชอบอ่านตำรา โดยเฉพาะพวกนโยบาย ทำลายก้านสมองเสียมากเกินไปเจ้าค่ะ แล้วหลังจากนั้นล่ะเจ้าคะ ? ”

“หลังจากนั้นหรือ หลังจากนั้นเขาก็ได้เป็นขุนนาง และถูกลักพาตัวในไม่กี่วันถัดมาหลังจากที่รับตำแหน่งขุนนาง เกือบจะถึงแก่ความตาย แต่ชายผู้นี้ก็วาสนาดี ศิษย์น้องกล่าวว่ายามที่ไปเจอเขานั้นทั่วร่างอาบไปด้วยโลหิต จนทำให้ศิษย์น้องตื่นกลัวยิ่ง แต่ชายผู้นี้ก็ใจกล้านัก คาดมิถึงว่าเขาจะสังหารโจรที่ลักพาตัวเขาทั้งสองลงได้ ! ”

ซูซูเบ้ปากและกล่าวว่า “จะสังหารโจรทั้งสองนั้นมิได้ได้เยี่ยงไร ศิษย์น้องมิใช่ว่าสอนคัมภีร์พระสูตรเก้าหยางและสิบสามกระบี่ฉวนเจินให้กับเขาแล้วหรอกหรือ หากเขามิชนะนั่นต่างหากที่แปลก ! ”

ซูเจวี๋ยยืดตัวปรับท่านั่ง จ้องมองศิษย์น้องหกอย่างเคร่งเครียด และกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าทุกคนในใต้หล้าจะเหมือนเจ้าเยี่ยงนั้นหรือ เขามิเคยได้ฝึกกำลังภายใน และมิเคยฝึกแม้แต่วิถีกระบี่ พลังและความแข็งแกร่งของเขาเมื่อเทียบกับบุคคลธรรมดาก็ถือว่ามากกว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ศิษย์น้องกล่าวว่าโจรสองคนนั้นอย่างน้อยก็อยู่ที่ระดับสาม หากเป็นผู้อื่นไหนเลยจะหลบหนีได้เร็วและลอบสังหารกลับไปได้กัน ?”

ซูซูจึงได้รู้สึกประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย โอ้ ! ใช่ อาจารย์กล่าวว่าผู้ที่เหมือนปีศาจเยี่ยงข้านั้นมีเพียงหนึ่งมิมีสอง มิมีทางเอาเขามาเปรียบเทียบกับข้าได้ แบบนั้นคงอันตรายอย่างยิ่ง แต่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าคนผู้นี้มีความกล้าและมีกลยุทธ์ที่ดีเยี่ยมยิ่งนัก

“ที่ท่านอาจารย์ให้เจ้าออกมาในครานี้ได้ฝากคำพูดอะไรให้เจ้านำมาบอกพวกข้าหรือไม่ ? ”

ซูซูแบสองมือออก “มิมี กล่าวเพียงในอารามยามนี้หนาวเย็นเกินไป โลกมนุษย์นั้นดูครึกครื้นเล็กน้อย อาจารย์บอกให้ข้าออกเดินทางเพื่อเรียนรู้โลกมนุษย์ให้มากขึ้น หลังจากนั้นก่อนเทศกาลฤดูหนาวก็ไปที่ราชวงศ์อู๋ ให้หาลูกศิษย์ของเป่ยหวังฉวนแล้วส่งสัญลักษณ์ให้ และในช่วงปีใหม่ก็ให้ไปแคว้นฝาน ไปหาลูกศิษย์ของเจ้าอาวาสนิกายฝูคูฉานและส่งสัญลักษณ์ให้เช่นกัน ก็มีเพียงเท่านี้มิมีสิ่งใดแล้ว”

ซูเจวี๋ยคิ้วขมวด ราชวงศ์อู๋ เทศกาลฤดูหนาว มิใช่ว่าฟู่เสี่ยวกวนกำลังจะไปร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมของราชวงศ์อู๋ในเทศกาลฤดูหนาวหรอกหรือ ? อาจารย์ต้องการจะทำสิ่งใด… น่าสนใจยิ่ง

เมื่อนึกย้อนกลับไปยังเดือนสี่วันที่ยี่สิบแปดของปีนี้ คืนเดือนแรมไร้ซึ่งจันทราและดวงดารา อาจารย์กำลังตกปลาอยู่ในทะเลสาบสีซิง ในตอนนั้นตนเองกำลังทำความสะอาดปลากะพงที่อาจารย์ตกขึ้นมาได้ ศิษย์น้องรองกำลังก่อไฟ ศิษย์น้องสามกำลังปักผ้าอยู่ข้าง ๆ ศิษย์น้องสี่กำลังจับปลาอยู่ในทะเลสาบ หลังจากที่จับได้หนึ่งตัวก็แขวนไว้ที่ตะขอตกปลาของอาจารย์ นั่นคือวิธีการตกปลาของอาจารย์ ศิษย์น้องห้าโผบินไปรอบ ๆ ภูเขาเพื่อตามหาหัวหอมป่า ศิษย์น้องหกกำลังบรรเลงฉิน ศิษย์น้องเจ็ดหยิบไม้ขึ้นมาตีนกที่กำลังบิน ส่วนศิษย์น้องเล็กกำลังถอนขนนก

ทันใดนั้นท่านอาจารย์ก็มองไปบนฟ้า หลังจากนั้นก็เปล่งเสียงออกมาคำหนึ่งด้วยท่าทีซับซ้อน “อ่า…”

คำว่า อ่า นั้นก็แปลกมากแล้ว ท่านอาจารย์ราวกับตกใจเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นก็ขึ้นไปอาคารห้าชั้นนำเข็มทิศกลับมาที่ข้างทะเลสาบสีซิง หลังจากนั้นก็วางเข็มทิศไว้ที่พื้น นับนิ้วคำนวณอยู่เป็นเวลา 1 ก้านธูป หลังจากนั้นก็เงียบลงไปอีกคราเป็นเวลา 1 ก้านธูป สุดท้ายก็ให้ศิษย์น้องออกนอกอารามไป

มิมีผู้ใดรู้ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น จนกระทั่งถึงเดือนสิบ ท่านอาจารย์กล่าวว่าเจ้าและเจ้าสามก็ควรออกจากอารามได้แล้ว ปกป้องคนที่ศิษย์น้องเล็กของพวกเจ้ากำลังปกป้องไว้ให้ดี อย่าให้เขาสิ้นชีพ

ตอนนี้ก็เดือนสิบสอง ศิษย์น้องหกก็ได้ออกจากอารามมาเช่นกัน

เยี่ยงนั้น…ในค่ำวันนั้นท้ายที่สุดท่านอาจารย์กำลังคำนวณสิ่งใดออกมากัน ?

เมื่อได้มองในวันนี้ก็พบว่าฟู่เสี่ยวกวนนั้นแตกต่างจากผู้คนทั่วไป ประกอบกับเรื่องต่าง ๆ ที่เขาทำขึ้นที่ซีซาน รวมไปถึงกองทัพที่เขาฝึกฝน มันแตกต่างจากโลกนี้อย่างสิ้นเชิง

หรือว่าฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้ เป็นคนที่ฟ้าลิขิตชะตากรรมอย่างแท้จริง ?

“ท่านกำลังคิดสิ่งใดอยู่กัน ? ”

ซูเจวี๋ยหลุดจากภวังค์ “ข้ากำลังคิดว่า แท้จริงแล้วนี่คือสิ่งที่ท่านอาจารย์กำหนดไว้ เพราะฟู่เสี่ยวกวนจะต้องไปราชวงศ์อู๋ก่อนเทศกาลดูหนาวเช่นกัน”

“เขาเองก็ต้องไปหรือ ไปทำอันใดกัน ? ”

“เขาไปเข้าร่วมงามชุมนุมวรรณกรรม”

“โอ้ ศิษย์พี่ ข้าหิวแล้ว ท่านมีเงินบ้างหรือไม่ ? ”

ซูเจวี๋ยขัดเขิน ฟู่เสี่ยวกวนมิเคยให้อั่งเปากับพวกเขาไว้เลย ชีวิตก่อนหน้านี้ก็อยู่แต่ในอารามมิต้องใช้เงิน ตอนนี้ได้อยู่กับฟู่เสี่ยวกวนก็มีกินมีดื่มโดยมิต้องใช้เงินเช่นกัน ดังนั้น…เขาจึงมิมีเงินติดตัวแม้แต่อีแปะเดียว

ซูซูหัวเราะอย่างมีเลศนัย “ฮิฮิ ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านมิมี”

“เจ้ามีเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ซูซูพยักหน้า และลุกขึ้นยืน “ไป แต่ศิษย์พี่สามมิอยู่ ศิษย์น้องเยี่ยงข้าจะพาท่านไปทานของอร่อยเอง ! ”

ซูเจวี๋ยครุ่นคิด ในวันนี้เป็นวันหยุดของที่จวน มิมีอะไรทานอย่างแท้จริง เยี่ยงนั้นก็ออกไปหาอะไรทานข้างนอกกับศิษย์น้องหกจะดีกว่า

“ได้ ครั้งนี้ให้ศิษย์น้องออกเงิน ครั้งหน้าศิษย์พี่จะเลี้ยงเจ้าเอง”

ซูซูเหยียบหิมะด้วยเท้าเปล่าสองมือไขว้หลังและกระโดดออกข้างนอกจวนฟู่ นางพาซูเจวี๋ยเดินผ่านถนนที่คึกคัก หันมองซ้ายขวา บางครั้งก็หยุดที่หน้าแผง หยิบตุ๊กตาที่วางขายขึ้นมาดู บางครั้งก็หยุดที่หน้าแผงร้านขนมน้ำตาลปั้น มองนายช่างปั้นน้ำตาลด้วยความคุ้นชิน หลังจากนั้นก็ออกไปอีก จนมาถึงหน้าร้านสุราหลังเล็ก ๆ ที่สะพานแห่งหนึ่ง

ในวันนี้ก็เป็นวันที่สามสิบของปีแล้ว มีร้านค้ามากมายที่ยังมิเปิด ข้างทางต่างก็เต็มไปด้วยร้านค้าหาบเร่ ร้านสุราเล็ก ๆ เองก็มิใช่ข้อยกเว้น

เพิงผ้าเรียบง่ายที่เอาไว้กีดกั้นหิมะที่เบาบาง ในนั้นมีคนอยู่เพียงสองโต๊ะเท่านั้น

โต๊ะหนึ่งในนั้นนั่งกันอยู่สี่คนดูแล้วเหมือนพวกโจรป่า เพราะพวกเขามีกระบี่พาดไว้ที่หลัง หรือไม่ก็ดาบพาดข้างกาย ส่วนอีกหนึ่งโต๊ะดูไปแล้วเหมือนจะเป็นพ่อค้า บนร่างของพวกเขาต่างก็มีผ้าคลุม ใบหน้ามีรอยยิ้มประดับ และกำลังดื่มชา

ซูซูพาซูเจวี๋ยเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้เบื้องหน้า และตะโกนลั่น “เถ้าแก่ สั่งอาหาร”

ทหารสี่คนที่นั่งอยู่โต๊ะข้าง ๆ ต่างพากันมองมายังซูซู หลังจากนั้นดวงตาก็เป็นประกาย จนทำให้ชายฉกรรจ์ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะระรื่นขึ้นมา “โอ้ ยังมีสาวน้อยที่งดงามถึงเพียงนี้อยู่อีกหรือ มามา สาวน้อย มาดื่มด้วยกันกับพวกข้าสักแก้วเถอะ !”

ในตอนที่ซูเจวี๋ยกำลังจะบันดาลโทสะ ซูซูกลับคว้าเขาเอาไว้ นางหันไปมองชายผู้นั้นอย่างรื่นเริง มิใช่เรื่องง่าย มีค่าอาหารมื้อนี้เสียแล้วสิ

“โอ้ คุณชาย มิอย่างนั้น… คุณชายทั้งหลายมานั่งดื่มกับข้าสักจอกได้หรือไม่ ? ”

“เป็นความรู้สึกที่ดียิ่ง ฮ่าฮ่า ข้าจะไปนั่งดื่มกับแม่นางผู้นั้นสักจอก ! ”