“ฉินอวี้โม่ ยอมโผล่หัวออกมาแล้วรึ ?!”
บุรุษผู้เป็นหัวหน้าของกลุ่มคนชุดดำมองคุณหนูตระกูลฉินด้วยสายตาเย็นชา เขาไม่คิดเลยว่าการใช้กำลังในครั้งนี้จะบีบให้เป้าหมายออกมาได้เร็วถึงเพียงนี้
“พวกเจ้าคือคนจากอารามใช่หรือไม่ ?”
ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบไม่แพ้กัน นางได้ยินมาจากลั่วเฉินว่ากลุ่มบุรุษชุดดำที่จู่โจมอาจารย์ซ่างกวนซวี่และนักเรียนในชั้นก็คือคนของอาราม ส่วนเหตุผลที่คนกลุ่มนี้บุกมาปิดล้อมสหายของนาง ไม่ต้องเอ่ยปากบอกอดีตนักฆ่าสาวก็พอจะคาดเดาได้
“ในเมื่อเจ้ารู้แล้ว ก็กลับไปที่อารามพร้อมกับพวกเราซะ แล้วก็จงเตรียมคำอธิบายดี ๆ สำหรับเรื่องผู้อาวุโสสองเอาไว้ด้วย”
ผู้นำของกลุ่มคนจากอารามกล่าวพลางจ้องมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาเคียดแค้น
“ฮ่า ๆ ๆ จะให้ข้าอธิบายรึ ? เหตุใดข้าต้องเสียเวลาทำเรื่องไร้สาระเช่นนั้นด้วยเล่า ?”
จู่ ๆ ฉินอวี้โม่ก็หัวเราะ ริมฝีปากอิ่มแสยะเป็นรอยยิ้มเหยียดหยามเข้าใส่ฝ่ายตรงข้าม
“ผู้อาวุโสสองแห่งอารามของพวกเจ้าเป็นมนุษย์เฒ่าไร้ยางอาย เขาปลอมตัวเข้ามาร่วมการทดสอบเข้าโรงเรียน เอาชนะเหล่าผู้เยาว์ที่อ่อนแอกว่าเพียงเพื่อจะสังหารข้า อีกทั้งยังกระทำการชั่วช้าคิดจะกดข่มผู้มีพรสวรรค์ของนครไป๋อวิ๋นไม่ให้สอบผ่านการทดสอบเข้าโรงเรียนราชสำนัก แต่คนน่าสมเพชผู้นั้นกลับอ่อนแอเอง เขาไม่แข็งแกร่งพอจะสังหารข้าได้ เรื่องเลวทรามที่คนของอารามผู้นั้นกับพวกพ้องของเขาทำ พวกเรายังไม่เคยร้องขอคำอธิบายหรือความรับผิดชอบจากพวกเจ้าสักครั้ง แล้วพวกเจ้ากลับมาสั่งให้ข้าอธิบายในเรื่องที่ข้าไม่ได้เป็นฝ่ายผิดรึ ฝันไปเถอะ !”
ฉินอวี้โม่โต้กลับด้วยวาจาอันเผ็ดร้อนอย่างไม่นึกไม่เกรงกลัว นางจ้องมองหัวหน้าของชายชุดดำด้วยสายตาทิ่มแทง
ในตอนนี้นางกำลังโกรธเคืองเป็นอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะพยายามกดข่มความเดือดดาลเอาไว้ อดีตนักฆ่าสาวก็คงจะพุ่งเข้าไปสังหารคนตรงหน้าทิ้งในทันที
ฉินอวี้โม่เกลียดพวกเล่นไม่ซื่อเช่นนี้ แทนที่จะสะสางบัญชีแค้นกับนางโดยตรงแต่กลับพุ่งเป้ามาที่สหายของนาง คิดจะเอาพวกเขามาเป็นเครื่องต่อรอง ถ้าอีกฝ่ายมุ่งแก้แค้นแต่นางเท่านั้นก็นับว่าสมเหตุผลน่ายกย่อง แต่นี่ยังถึงกับทำร้ายคนบริสุทธิ์ไร้ทางสู้ อารามทำเช่นนี้ไม่ต่างจากพวกหมาหมู่เลยสักนิด แล้วยังกล้าอวดอ้างว่าตนเองเป็นขุมกำลังอันยิ่งใหญ่ได้อีกหรือ ? ฉินอวี้โม่ไม่สามารถยอมรับเรื่องน่ารังเกียจเช่นนี้ได้ หากพวกเขาต้องการจะทำร้ายสหายของนางก็ต้องข้ามศพนางไปก่อน !
ยิ่งเมื่อได้เห็นบาดแผลมากมายทั่วร่างกายของเหล่าสหายแล้ว ฉินอวี้โม่ก็แทบจะไม่สามารถระงับโทสะของตัวเองไว้ได้เลย
“เหอะ เจ้าฆ่าผู้อาวุโสสองของพวกเรา แล้วยังกล้าพูดจาเช่นนี้อีกรึ ?!”
หัวหน้าบุรุษชุดดำแค่นเสียง
ทันทีที่ได้รู้ข่าวเรื่องการตายของผู้อาวุโสสอง เบื้องบนของอารามก็มีคำสั่งให้พวกเขามาจับตัวฉินอวี้โม่กลับไป หลังจากนั้น เมื่อป่าวประกาศประณามความผิดของสตรีผู้นี้ให้ทั้งแผ่นดินได้รับรู้แล้ว พวกเขาก็จะลงมือประหารนางต่อหน้าสาธารณชนเพื่อประกาศความยิ่งใหญ่และเป็นการธำรงเกียรติของอาราม
แม้ว่าทางอารามเองจะทราบดีว่าเรื่องนี้เป็นเพราะทางผู้อาวุโสสองกระทำการที่ล้ำเส้นเกินไป ทว่าฉินอวี้โม่ก็ถือว่าหยามศักดิ์ศรีแห่งอารามซึ่ง ๆ หน้า หากพวกเขาไม่ทำอะไรเลย ชื่อเสียงและเกียรติยศของอารามก็จะสั่นคลอน
ขณะนี้ท่านจ้าวอารามยังคงอยู่ในระหว่างการเก็บตัวฝึกฝน ผู้ที่ออกคำสั่งให้จับตัวฉินอวี้โม่กลับไปก็คือผู้อาวุโสใหญ่แห่งอารามสตรีผู้ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งขุมกำลังของพวกเขา อำนาจของนางเป็นรองเพียงท่านจ้าวอารามผู้เดียวเท่านั้น
“ผู้อาวุโสสองของพวกเจ้าสมควรตายแล้ว พวกเจ้าเองก็เช่นกัน !”
ฉินอวี้โม่กล่าวเสียงต่ำ น้ำเสียงของนางเย็นเยียบจับขั้วหัวใจ ดวงตาคู่งามสาดรังสีสังหารอย่างน่าหวาดหวั่น
“ซ่างกวนซวี่ส่งตัวฉินอวี้โม่มาให้พวกเราซะดี ๆ หากเจ้ายอมพวกเราจะถือว่าเรื่องในวันนี้ไม่เคยเกิดขึ้น แต่ถ้าเจ้าขัดขืนก็อย่าหาว่าพวกเราไม่เตือน และถ้าหากอารามจะต้องเปิดศึกกับโรงเรียนราชสำนักของพวกเจ้าก็จงจำเอาไว้ว่ามันเป็นความผิดของพวกเจ้าเอง !”
หัวหน้าของกลุ่มคนชุดดำจากอารามเปลี่ยนเป้าหมายไปเป็นผู้ที่ดูจะแข็งแกร่งที่สุดของฝ่ายตรงข้าม เขาจ้องมองซ่างกวนซวี่พร้อมกล่าววาจาข่มขู่
ณ ที่แห่งนี้ซ่างกวนซวี่คือผู้อาวุโสที่สุดและเป็นถึงอาจารย์ย่อมเป็นที่แน่นอนว่าเขาคือบุคคลที่มีอำนาจตัดสินใจ ขอเพียงบุรุษผู้นี้ยอมส่งฉินอวี้โม่มา ทุกอย่างก็จะยุติได้อย่างง่ายดาย
“ฮ่า ๆ ๆ คนจากอาราม เจ้ากำลังละเมอสิ่งใดอยู่ ? เจ้าดักซุ่มรอลงมือทำร้ายชั้นเรียนของข้าแล้วยังกล้ามาบอกให้ข้าส่งตัวนักเรียนไปให้เจ้าอีก หากว่าข้าส่งตัวอวี้โม่ให้พวกเจ้าแล้วข้ายังจะมีหน้าเป็นอาจารย์ได้อยู่อีกหรือ ?!”
ซ่างกวนซวี่กล่าวเสียงดังด้วยความเดือดดาล เขายังไม่เคยรู้สึกเจ็บช้ำเท่ากับวันนี้มาก่อน สิ่งที่กลุ่มคนจากอารามกระทำในวันนี้นับว่าต่ำช้าอย่างไม่น่าให้อภัยอย่างยิ่ง
“ที่สำคัญ เจ้าคิดหรือว่าโรงเรียนราชสำนักของเรากลัวอารามของพวกเจ้า ? เรื่องในนี้ข้าจะนำไปรายงานท่านอธิการ รวมถึงเรื่องที่ผู้อาวุโสสองไร้ยางอายของเจ้าที่ปลอมตัวไปเข้าร่วมการทดสอบคัดนักเรียนใหม่ด้วย ไม่ว่าอย่างไรเรื่องที่เขาตั้งใจจะทำร้ายว่าที่นักเรียนใหม่ของเราก็จะต้องไม่จบง่าย ๆ แน่ ถึงตอนนั้นต่อให้อารามของเจ้าไม่เปิดศึกกับเรา โรงเรียนราชสำนักก็จะเปิดศึกกับพวกเจ้าก่อนอย่างแน่นอน !”
“หมายความว่าเจ้าจะไม่ยอมส่งสตรีผู้นั้นมาสินะ !”
เป็นเพราะหัวหน้าของคนชุดดำกำลังสวมใส่หน้ากากอยู่ทำให้ไม่สามารถสังเกตสีหน้าของเขาได้ ทว่าฉินอวี้โม่และสหายคนอื่น ๆ ก็พอจะเดาได้ว่าในตอนนี้ใบหน้าของเขาจะต้องบิดเบี้ยวจนหน้าเกลียดเป็นแน่แท้
“อาจารย์ซ่างกวนกล่าวได้ยอดเยี่ยม ถ้าอยากจะสู้ก็อย่ามัวแต่ชักช้า โรงเรียนราชสำนักเราไม่เคยกลัวใครหน้าไหนอยู่แล้ว”
หลินซิวหยาเป็นบุรุษอารมณ์ร้อน ยิ่งไปกว่านั้นด้วยนิสัยชื่นชอบการต่อสู้ ทำให้เขาเริ่มนึกรำคาญกับการกล่าววาจามากมายของอีกฝ่าย บุรุษผู้ถือขวานยักษ์ระเบิดสภาวะพลังออกมาและจ้องเขม็งไปที่กลุ่มบุรุษชุดดำด้วยแววตาลุกเป็นไฟ
“เหอะ เช่นนั้นก็อย่าได้ตำหนิพวกเราก็แล้วกัน”
ผู้นำของกลุ่มบุรุษจากอารามพ่นวาจาออกไปอย่างเย็นชา ขณะที่คนจากอารามกระจายตัวออกไปปิดล้อมฉินอวี้โม่และยอดฝีมือรุ่นเยาว์ของโรงเรียนราชสำนักที่ถูกส่งมาช่วยชั้นเรียนของอาจารย์ซ่างกวนซวี่เอาไว้
“อาจารย์ซ่างกวน ท่านยกคนที่เป็นหัวหน้าให้ข้าจัดการได้หรือไม่ ?”
ฉินอวี้โม่มองซ่างกวนซวี่พร้อมเอ่ยคำขอ นางเตรียมพร้อมจะพุ่งเข้าปะทะกับหัวหน้าของกลุ่มคนชุดดำแล้ว
เมื่อมองดูใบหน้าอันแน่วแน่ของฉินอวี้โม่ ซ่างกวนซวี่ก็สัมผัสได้ถึงความโกรธแค้นภายในหัวใจของนางได้อย่างชัดเจน ผู้เป็นอาจารย์จึงพยักหน้ารับคำอย่างหนักแน่น
“ไม่รู้จักเจียมตัว !”
เมื่อทราบว่าฉินอวี้โม่ต้องการจะประมือกับตน ผู้นำของบุรุษจากอารามก็แค่นเสียงเหยียดหยามและแสดงท่าทีดูหมิ่น เขาไม่เห็นสตรีผู้นี้อยู่ในสายตา
“ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ว่าการทำร้ายสหายของข้าจะต้องรับผลเช่นไร !”
ฉินอวี้โม่กล่าว ใบหน้านวลยังคงงามล้ำแต่แววตาของนางกลับน่าขนลุกราวปีศาจร้าย อดีตนักฆ่าสาวผู้โกรธจัดสั่งการอสูรทั้งหลายในมิติเชื่อมอสูรของตัวเอง
ทันใดนั้น ที่ส่วนเท้าของฉินอวี้โม่ก็เกิดแสงแปลกประหลาด รองเท้าที่เปล่งแสงสว่างเจิดจ้าปรากฏขึ้นแทนที่รองเท้าคู่เดิมของนาง นั่นก็คือร่างแปรสภาพอสูรเสริมร่างของอสูรที่เป็นเลิศที่สุดด้านความเร็วของฉินอวี้โม่*–เหยี่ยวปีกทองเสี่ยวจิน*
พริบตาถัดมา บนร่างบางที่กำลังสวมชุดสีขาวของหานโม่ฉือที่ซึ่งมีคุณสมบัติในการป้องกันชั้นเยี่ยมอยู่นั้นก็ปรากฏแสงสว่าง เพราะ*หมีดำม่อเสีย–*อสูรที่มีพลังป้องกันสูงสุดในกลุ่มเปลี่ยนร่างเป็นเกราะเดี่ยวและประกบซ้อนเข้าไปบนร่างกายของฉินอวี้โม่
ขณะเดียวกัน*อสรพิษเก้าเศียรเสี่ยวจิ่ว–*อสูรที่แข็งแกร่งที่สุดของนางในยามนี้ ได้กลายเป็นกระบี่ยาวแสนทรงพลังเล่มหนึ่งปรากฏอยู่ในมือบางของสตรีผู้เป็นคุณหนู และเนื่องจากขนาดอันใหญ่โตและหนักอึ้งของมัน แม้ฉินอวี้โม่จะแข็งแกร่งมากแต่นางก็ยังต้องจับถือด้วยมือทั้งสองข้าง
หลังจากนั้นเพียงเสี้ยวลมหายใจ ร่างของฉินอวี้โม่ก็หายวับไปจากสายตา ทว่ายังไม่ทันที่ผู้ใดจะได้ตระหนักรู้กระบี่ใหญ่ในมือบางก็พุ่งแหวกอากาศตรงเข้าหาร่างของบุรุษผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มคนจากอารามแล้ว !
หัวหน้ากลุ่มคนที่มาจากอารามไม่เห็นฉินอวี้โม่อยู่ในสายตา เขาไม่คิดว่านางจะทำอะไรเขาได้ อย่างไรก็ตามหลังจากสตรีไม่เจียมตัวที่เขาดูแคลนสวมเกราะอสูร พลังของนางก็เพิ่มขึ้นสูงจนสร้างแรงกดดันให้เขาอย่างมหาศาล
ที่สำคัญความเร็วของสตรีที่เป็นเป้าหมายในการมาของเขาวันนี้ก็สูงจนน่าตกใจ เพียงชั่ววูบเดียวกระบี่ในมือนางก็พุ่งตรงสู่ตำแหน่งหัวใจของเขาแล้ว
“เหอะ !”
หัวหน้าของกลุ่มชายชุดดำแค่นเสียงดูถูก ม่านพลังป้องกันปกคลุมพื้นที่ตรงหน้าเขาในฉับพลันก่อนที่ปืนยาวกระบอกหนึ่งจะปรากฏขึ้นในมือเขา ดูแล้วปืนดังกล่าวคงจะเป็นอาวุธประจำตัวของคนผู้นี้
“เป็นแค่จอมยุทธ์มายาบรรพชนหนึ่งดารา แต่ริอ่านเสนอหน้ามารับมือข้าผู้นี้อย่างนั้นรึ !”
เมื่อสัมผัสได้ถึงระดับพลังและขอบเขตของฉินอวี้โม่ ชายผู้นั้นก็มองนางด้วยสายตาเหยียดหยามขณะเดียวกันเขาก็ปัดป้องการโจมตีแรกของนางไปด้วย
“แค่นี้ก็เพียงพอจะทำให้เจ้าชดใช้ได้แล้วกัน”
ฉินอวี้โม่กล่าวเสียงเย็นชา ในขณะที่มองเห็นว่าการโจมตีของตัวเองถูกสกัดเอาไว้ได้ ทว่านางก็ไม่ได้เสียขวัญ ร่างของสาวงามหายวับไปและปรากฏขึ้นอีกทางด้านหนึ่งของคู่ต่อสู้ กระบี่ในมือเสือกแทงอีกครั้งอย่างไม่รีรอ
บุรุษจากอารามเปล่งเสียง *เหอะ* อีกครั้ง ดูเหมือนว่าเขาจะต้องเอาจริงขึ้นมาแล้ว ฉินอวี้โม่สร้างแรงกดดันให้เขาอย่างมหาศาล หากว่าเขายังคงประมาทสตรีผู้นี้ต่อไป เกรงว่าในวันนี้เขาอาจจะมีจุดจบที่ไม่น่าดูนักก็เป็นได้
พื้นที่รอบข้างฉินอวี้โม่และหัวหน้ากลุ่มคนชุดดำก็มีการต่อสู้อันดุเดือดปะทุขึ้นเช่นกัน การต่อสู้ทั่วทั้งพื้นที่แห่งนี้รุนแรงและน่ากลัวไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันเลย คนจากโรงเรียนราชสำนักต่างก็พุ่งเข้าปะทะกับกลุ่มผู้รุกรานจากอารามอย่างโกลาหล
ทว่าเมื่อได้ปิงเสวียนและนักเรียนยอดฝีมือของโรงเรียนมาช่วย เหล่าสหายของฉินอวี้โม่และนักเรียนใหม่ในชั้นเรียนสามัญของอาจารย์ซ่างกวนก็ไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอีกต่อไป อย่างไรก็ตามทางฝ่ายอารามซึ่งมีคนมากกว่าก็ไม่ได้ตกเป็นรองเสียในทันที ทั้งสองฝ่ายผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างสูสียากจะมองเห็นว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ
จนกระทั่งเมื่อการต่อสู้ดำเนินไปอีกสักพักใหญ่ ในที่สุดนักเรียนของโรงเรียนราชสำนักก็พลิกสถานการณ์กลายเป็นฝ่ายได้เปรียบได้
หลินซิวหยาบุรุษผู้ชมชอบการต่อสู้เป็นชีวิตจิตใจ ลงมืออย่างป่าเถื่อนรุนแรง ขวานยักษ์ของเขาฟาดฟันเข้าใส่ยอดฝีมือขอบเขตมายาบรรพชนดาราสูงจากอารามอย่างไม่ลดละ ก่อนที่ปิงเสวียนจะเข้าไปเผด็จศึกคนผู้นั้นในชั่วพริบตา
ขณะที่ลั่วเฉินแม้ว่าจะมีนิสัยอ่อนโยน แต่ในเรื่องของการต่อสู้เขากลับดุดันจนเกือบจะบ้าระห่ำ ความน่ากลัวของคนผู้นี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ใดเลย เขาสังหารศัตรูจากอารามคนหนึ่งได้ด้วยฝ่ามือเดียวก่อนจะรีบพุ่งตรงเข้าจู่โจมจอมยุทธ์มายาบรรพชนดาราสูงของฝ่ายตรงข้ามอีกคนในทันที
ทางด้านหลินหยวนก็ไม่ได้ยั้งมือแม้แต่น้อย เขาปลิดชีพบุรุษจากอารามที่อยู่ใกล้ที่สุดในชั่วอึดใจ คู่ต่อสู้ของจ้าวแห่งภารกิจผู้นั้นตกตายง่ายดายราวใบไม้ร่วงจากต้น
เพ่ยหลงเองก็แสดงฝีมือของนางอย่างไม่ยอมน้อยหน้า แม้ว่านางจะเป็นเพียงจอมยุทธ์มายาบรรพชนสามดารา แต่เมื่อเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์มายาบรรพชนหกดาราจากฝ่ายอารามนางกลับยังเป็นฝ่ายได้เปรียบ ยิ่งกว่านั้นยอดฝีมือสาวผู้งดงามก็กำลังไล่ต้อนอีกฝ่ายอย่างหนักหน่วงด้วย ดูจากการต่อสู้ของนางแล้วสตรีผู้นี้ถือว่ามีฝีมือโหดเหี้ยมระดับหนึ่งทีเดียว
ทว่าผู้ที่ดูทุลักทุเลในการต่อสู้มากที่สุดในกลุ่มนักเรียนระดับแนวหน้าของโรงเรียนราชสำนักกลับกลายเป็นจีหย่ง เขากำลังพัวพันอยู่กับการต่อสู้กับจอมยุทธ์มายาบรรพชนดาราสูงของอาราม อย่างไรก็ตามแม้จะมีขั้นดาราที่ไม่ห่างชั้นกับฝ่ายตรงข้าม แต่จีหย่งกลับรับมือได้อย่างยากลำบาก ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเขาขาดสมาธิหรือคนผู้นั้นแข็งแกร่งมากเกินไปหรือจากสาเหตุใดกันแน่ ทว่าในขณะนี้ก็ยังไม่มีฝ่ายที่เหนือกว่าอย่างชัดเจน
แม้ว่าเหล่านักเรียนใหม่ในชั้นเรียนอาจารย์ซ่างกวนทั้งหมดจะได้รับบาดเจ็บจนส่งผลให้ร่างกายมีประสิทธิภาพไม่เต็มร้อย ทว่าจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของพวกเขากลับพุ่งทะยานขึ้นสูง ซึ่งนั่นก็ช่วยให้พลังในการต่อสู้เพิ่มขึ้นกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งด้วยกำลังเสริมและความช่วยเหลือจากนักเรียนระดับหัวกะทิของโรงเรียน ทำให้ความกดดันที่พวกเขาได้รับลดทอนลงจนเกือบหมดไป การต่อสู้ของทุกคนจึงดำเนินไปได้ง่ายดายมากขึ้น
เวลาผ่านไปอีกเพียงไม่นานนัก ฉินอวี้โม่และพวกพ้องก็เริ่มควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว
ทว่าผู้ที่ยืนนิ่งดูสถานการณ์โดยไม่ได้ลงมือใด ๆ เลยก็คือซ่างกวนซวี่ เขายืนมองนักเรียนของตัวเองต่อสู้อยู่บนต้นไม้ใหญ่จากจุดที่ห่างออกไป แต่ถ้าหากว่ามีอันตรายใดเกิดขึ้นเขาก็ไม่ลังเลที่จะพุ่งเข้าไปช่วยเหลือเด็ก ๆ ทั้งหลายในทันที
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อาจารย์อาวุโสได้เห็นก็คือจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้อันแรงกล้าและเปลวเพลิงแห่งความมุ่งมั่นที่ลุกโชน ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ได้เห็นความสมัครสมานสามัคคีของนักเรียนในชั้นเรียนสมความปรารถนาของบุรุษผู้เป็นอาจารย์แล้ว
ปิงเสวียนและลั่วเฉินแข็งแกร่งจนน่ากลัว แม้ว่าจะต่อสู้อยู่แต่ก็ยังสามารถจับตาดูการต่อสู้ระหว่างฉินอวี้โม่และหัวหน้าของฝ่ายศัตรูไปพร้อม ๆ กันได้
การต่อสู้ระหว่างฉินอวี้โม่และหัวหน้าของกลุ่มคนชุดดำยังอยู่ในสถานการณ์ที่สูสี แม้ว่าฉินอวี้โม่จะมีความเร็วที่เหนือชั้นกว่าและสามารถโจมตีอย่างไม่คาดฝันทำให้อีกฝ่ายต้องออกแรงป้องกันอยู่หลายครั้ง ทว่าการโจมตีของฉินอวี้โม่ก็ยังไม่สามารถทำลายการป้องกันของคนผู้นี้ได้อย่างสมบูรณ์ แม้ว่าจะผ่านมาสักพักแล้วก็ยังไม่เห็นว่ามีฝ่ายใดที่ได้เปรียบ
เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของลูกน้องในกลุ่ม และเห็นว่าปิงเสวียนกับกลุ่มนักเรียนแนวหน้าลงมือสังหารคนของเขาได้อย่างง่ายดายราวใบไม้ร่วง หัวหน้าคนชุดดำที่กำลังต่อสู้กับฉินอวี้โม่อยู่ก็รู้สึกปวดร้าวและเจ็บแค้นเป็นอย่างมาก แม้ว่าฉินอวี้โม่จะไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายได้ ทว่านางก็สัมผัสความรู้สึกนั้นของเขาได้จากกลิ่นอายและสภาวะพลังที่ปั่นป่วน
“ถอยก่อน !”
เมื่อบุรุษผู้นำกลุ่มคนจากอารามเห็นว่าคนของตัวเองกำลังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างหนักหน่วง เขาก็รีบสั่งถอนกำลังโดยไม่ลังเล หากว่ายังคงดึงดันต่อสู้ต่อไป เกรงว่าคงจะไม่พ้นได้พาทุกคนมาตายอยู่ที่นี่อย่างน่าอนาถ
“สายไปแล้ว !”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มเหี้ยมเกรียม ทันทีที่คู่ต่อสู้เสียสมาธิ นางก็เคลื่อนไหวครั้งใหญ่เพื่อเตรียมจบศึก
ในชั่วพริบตาเพลิงอันร้อนแรงและทรงพลังก็อาบท่วมกระบี่เล่มใหญ่ของนาง บัดนี้กระบี่ยาวในมือบางได้แปรเปลี่ยนเป็นกระบี่เพลิงที่น่าหวาดหวั่น
“ลองรับมือกับนภายุทธ์ของข้าหน่อย”
ฉินอวี้โม่แสยะยิ้มชั่วร้ายพร้อมกับตวัดกระบี่เพลิงเข้าใส่หัวหน้ากลุ่มคนจากอาราม
เมื่อรู้สึกได้ถึงกระแสพลังอันน่าสะพรึงกลัวจากกระบี่ที่กำลังฟาดฟันใส่ร่าง แววแห่งความตื่นตระหนกก็ปรากฏบนใบหน้าของบุรุษจากอารามอย่างฉับพลัน
อย่างไรก็ตามด้วยประสบการณ์อันโชกโชนทำให้เขาไม่ลังเลที่จะรวบรวมพลังทั้งหมดมาหลอมรวมสร้างเป็นกำแพงพลังสำหรับป้องกันที่ด้านหน้า เขาไม่เชื่อว่าสตรีที่เพิ่งจะเข้าสู่ขอบเขตมายาบรรพชนจะสามารถทำลายการป้องกันนี้ได้
— ตูม ! —
กระบี่ของฉินอวี้โม่ฟันปะทะกับม่านพลังของหัวหน้ากลุ่มบุรุษชุดดำ เกิดเสียงอันดังลั่นก้องสะท้อนไปทั่วผืนป่า
“ฮ่า ๆ ๆ เจ้าทำลายกำแพงป้องกันของข้าไม่ได้หรอก”
เมื่อผู้นำของคนจากอารามเห็นกระบี่เพลิงของฉินอวี้โม่ถูกม่านพลังของตัวเขาเองป้องกันเอาไว้ได้ เขาก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะหัวเราะเยาะเย้ยกลบเกลื่อน
“คิดเช่นนั้นรึ ?”
รอยยิ้มเย็นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคุณหนูสี่ตระกูลฉิน นางดูมีความมั่นใจเปี่ยมล้น
“ทลายมันให้ข้า”
สิ้นเสียงอันนุ่มนวลอ่อนหวานที่ไม่ดังไม่เบา กำแพงป้องกันของหัวหน้ากลุ่มบุรุษชุดดำก็ถูกกระบี่ของฉินอวี้โม่ตัดผ่านราวกับเป็นเพียงกระดาษบาง ๆ
เปลวเพลิงที่ห่อหุ้มกระบี่ของฉินอวี้โม่อยู่ทรงพลังจนแม้แต่ปิงเสวียนและยอดฝีมือระดับแนวหน้าคนอื่น ๆ ยังต้องขมวดคิ้วอย่างนึกฉงนปนตกตะลึง
“อ๊ากกกก !”
ในเสี้ยวลมหายใจต่อมาเสียงกรีดร้องอันทุกข์ทรมานก็ดังลั่นขึ้น
ถึงแม้ผู้นำของกลุ่มคนชุดดำจะรีบเบี่ยงตัวหลบอย่างรวดเร็ว ทว่ามันกลับไม่ทันการณ์ แขนข้างหนึ่งของเขาถูกกระบี่เพลิงของฉินอวี้โม่ตัดจนขาดกระเด็น
ยิ่งกว่านั้นเปลวเพลิงอันร้อนแรงจากตัวกระบี่ก็ยังลุกลามแผดเผาร่างกายส่วนหนึ่งของเขาไปด้วย อย่างไรก็ตามเพียงพริบตาเดียวมันก็สลายหายไปราวกับว่าถูกพลังของอีกฝ่ายดูดกลืนจนหมดสิ้น
“ฉินอวี้โม่ ข้าจะจดจำความแค้นในวันนี้เอาไว้ !”
หัวหน้าของกลุ่มบุรุษชุดดำจากอารามจ้องมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาเคียดแค้น ก่อนจะโยนสิ่งของบางอย่างลงบนพื้นด้านหน้า
จู่ ๆ ฉินอวี้โม่ก็เห็นว่าเกิดกลุ่มควันอันหนาทึบปกคลุมไปทั่วบริเวณก่อนที่ทัศนวิสัยของนางจะถูกบดบังจนหมดสิ้น แน่นอนว่าร่างของหัวหน้าบุรุษชุดดำหายไปจากสายตาแล้ว
คนจากอารามคนอื่น ๆ ก็รีบถอนกำลังตามหัวหน้าของพวกเขาไป เมื่อควันจำนวนมากจางหายนักเรียนจากโรงเรียนราชสำนักทั้งหมดก็พบว่ากลุ่มศัตรูวิ่งหนีไปไกลแล้ว