ภาคที่ 3 ตอนที่ 3 แสงอาทิตย์ยามเย็นมาเยือนเรือนเป่าซู่อีกครั้ง

มรรคาสู่สวรรค์

สำนักชิงซานมีประวัติอันยาวนาน รากฐานหยั่งลึก ตามหลักแล้วน่าจะไม่ขาดแคลนยาและสมุนไพรที่ใช้ช่วยในการบรรลุสภาวะ แต่บนยอดเขาซื่อเยวี่ยนั้นไม่มีของที่เจ้าล่าเยวี่ยต้องการจริงๆ เพราะวิชาที่นางฝึกคือวิชากระบี่หลอมกายา อีกทั้งยังมีเคล็ดกระบี่เก้ามรณาที่ไม่เคยมีใครฝึกนอกจากนักพรตจิ่งหยาง ยอดเขาซื่อเยวี่ยจึงไม่ได้เตรียมของเหล่านั้นเอาไว้

แน่นอนว่าเรื่องใหญ่แบบนี้ สำนักชิงซานจะต้องทุ่มเทสรรพกำลังเพื่อช่วยเจ้าล่าเยวี่ยค้นหาอย่างเต็มที่แน่นอน  เพียงแต่ไม่มีใครสอนเจ้าล่าเยวี่ยฝึกเคล็ดกระบี่เก้ามรณา นางจึงได้แต่ต้องฝึกมันด้วยตัวเอง ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ หากดึงดันฝึกต่อไปก็มิได้มีประโยชน์อะไรนัก อาศัยการหายาออกไปท่องโลกภายนอก บางทีอาจจะช่วยนางในเรื่องการบรรลุสภาวะได้บ้าง

หลังเจ้าล่าเยวี่ยและกู้ชิงออกมาจากยอดเขาเสินม่อก็แวะกินหม้อไฟที่เมืองอวิ๋นจี๋ ก่อนจะแวะพักที่เมืองซางโจวเล็กน้อย จากนั้นรีบเดินทางไปยังมณฑลหนานเหอในวันเดียวกัน

เมื่อเทียบกับตอนที่นางเดินทางไปกับจิ๋งจิ่วเมื่อก่อนนี้ ความเร็วในการเดินทางครั้งนี้เร็วกว่าครั้งที่แล้วหลายเท่านัก สุดท้ายแล้วการขี่กระบี่ยังคงสบายกว่ามาก

แสงอาทิตย์ยามเย็นส่องกระทบไปบนกำแพงของเรือนเป่าซู่ เปล่งประกายสีสันที่ดูแปลกตา บนถนนที่อยู่รอบๆ ไร้ซึ่งผู้คนสัญจร เงียบเชียบจนรู้สึกแปลก

ผู้บำเพ็ญพรตสองสามคนยืนอยู่นอกกำแพง มองดูผู้ดูแลของเรือนเป่าซู่ด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง พลางกล่าวว่า “ไหนบอกว่าคืนนี้จะมีการประมูล เหตุใดจู่ๆ จึงมายกเลิก?”

ผู้ดูแลเรือนเป่าซู่กล่าวขอโทษติดต่อกัน จากนั้นกล่าวว่า “อีกประเดี๋ยวทางเราจะมีของขวัญมอบให้ ขอท่านอาจารย์เซียนได้โปรดให้อภัยด้วย อีกสักหลายวันค่อยมาดูใหม่”

หากเป็นเวลาปกติ เมื่อคิดถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลังของเรือนเป่าซู่ ผู้บำเพ็ญพรตเหล่านี้จะต้องรับเอาของขวัญแล้วจากไป ไม่มีทางมาก่อความวุ่นวายอะไรแน่ เพียงแต่วันนี้พวกเขามีความต้องการยาเซียนเหลียน[1] กล่องหนึ่งที่อยู่ในการประมูล อีกทั้งนั้นยังต้องการเป็นการด่วนด้วย จึงไม่อาจจากไปได้จริงๆ

“ผู้อาวุโสเจียงของสำนักข้ามุ่งจะบรรลุสภาวะขั้นมิประจักษ์ กำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญ เจ้าจะให้พวกข้ารอถึงเมื่อไร?”

ผู้บำเพ็ญพรตคนหนึ่งตะคอกใส่ผู้ดูแลคนนั้น

ผู้ดูแลคนนั้นสีหน้าเรียบเฉย กล่าวว่า “ขออภัยด้วย คืนนี้ทางเรือนของเราต้องจัดการบัญชี จึงมิอาจต้อนรับท่านอาจารย์เซียนได้จริงๆ”

ผู้บำเพ็ญพรตเหล่านั้นโมโหเป็นยิ่งนัก ในใจครุ่นคิดว่าเรื่องเล็กน้อยอย่างจัดการบัญชีเช่นนี้ จะมาทำให้การประมูลที่นัดหมายเอาไว้เรียบร้อยแล้วต้องมายกเลิกได้อย่างไร?

ทันใดนั้นเอง พวกเขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย มาตรว่าเบื้องหลังของเรือนเป่าซู่จะยิ่งใหญ่ แต่ก็แทบจะมิเคยทำเรื่องไร้เหตุผลเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นสีหน้าของผู้ดูแลคนนี้ก็แลดูเรียบเฉยเกินไป ราวกับมั่นใจว่าต่อให้ข้ออ้างจะฟังดูเหลวไหลเพียงใด เขาก็ไม่กังวลว่าจะถูกลูกค้าต่อว่า

ผู้บำเพ็ญพรตคนหนึ่งคิดถึงความเป็นไปได้บางอย่างขึ้นมา ก่อนจะกล่าวถามอย่างตกใจเล็กน้อยว่า “หรือมีคนสำคัญจากบนเขามาเยือน?”

ผู้ดูแลคนนั้นยิ้มเล็กน้อย มิได้ตอบกระไร

เหล่าผู้บำเพ็ญพรตเงยหน้าขึ้นมองไปยังชั้นบนของเรือนเป่าซู่ที่อยู่ภายใต้ท้องฟ้ายามเย็น ก่อนจะกังวลว่าอีกฝ่ายจะรับรู้ได้ถึงสายตาของตัวเองแล้วคิดว่าเป็นการไม่เคารพ จึงรีบก้มหน้า

“มัวรออะไรอีกล่ะ? รีบกลับกันเถอะ”

“เมื่อไรมีการประมูลยาเซียนเหลียน รบกวนผู้ดูแลช่วยแจ้งพวกข้าด้วย”

……

……

ทั้งปราชญ์ ผู้ดูแล ผู้คุ้มกันของเรือนเป่าซู่ต่างมารวมตัวกันอยู่ที่ชั้นสอง ส่วนชั้นบนสุดสงบเงียบ

ที่นี่ืคือสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในมณฑลเหอหนาน เมื่อยืนอยู่ริมรั้วจะสามารถมองเห็นเมืองเฉาหนานทั้งเมืองที่อยู่ใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น ทิวทัศน์งดงามตระการตา

เจ้าแห่งเรือนเป่าซู่ไม่มีอารมณ์มาชื่นชมวิวทิวทัศน์ แล้วก็ไม่กล้าเหลียวหน้ากลับไปมอง หากแต่ก้มโค้งยืนรออยู่หน้าประตู ไม่กล้าส่งเสียงใดๆ

เมื่ออยู่ในมณฑลหนานเหอ หรือกระทั่งทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียน เขาล้วนแต่เป็นคนมีชื่อมีแซ่ แต่ในเวลานี้เขาคล้ายเป็นเพียงบ่าวรับใช้คนหนึ่ง

ประตูห้องถูกเปิดออก กู้ชิงเดินออกมาจากด้านใน ก่อนจะส่งภาพเหมือนภาพหนึ่งให้พลางกล่าวว่า “ลองดูสิว่ามีใครเคยเห็นหรือเปล่า”

เจ้าแห่งเรือนเป่าซู่ใช้สองมือรับภาพนั้นมาด้วยเคารพและระมัดระวัง มิกล้ารีรอ รีบวิ่งลงมา ผลักประตูเข้าไปในห้องที่อยู่ด้านในสุดของชั้นสอง

ภายในห้องกว้างขวางเป็นอย่างมาก ชายชราสวมชุดสีเขียวจำนวนยี่สิบกว่าคนกำลังรออยู่ด้านใน สีหน้าดูค่อนข้างประหม่า

ชายชราเหล่านี้คือปราชญ์ที่คอยตรวจสอบของล้ำค่าที่มีประสบการณ์มากที่สุดในเรือนเป่าซู่ แล้วยังมีผู้ดูแลที่มีสายตาเฉียบคมอีกสองสามคน กระทั่งปราชญ์ที่อยู่ในสาขาของเมืองเจาเกอก็รีบเดินทางกลับมา

เจ้าแห่งเรือนเป่าซู่เอาภาพนั้นกางลงบนโต๊ะ จากนั้นหลีกทางพลางกล่าวว่า “ใครหาเบาะแสเจอก่อน ข้าจะให้หอหนึ่งหลังเป็นรางวัล”

เหล่าปราชญ์รู้ว่าหอหนึ่งหลังที่เจ้าแห่งเรือนเป่าซู่พูดนั้นย่อมมิใช่บ้านธรรมดาในเมืองเฉาหนาน หากแต่เป็นสาขาของเรือนเป่าซู่แห่งหนึ่ง อย่างนั้นมันมีค่าเท่าไรกัน?

แต่แน่นอน ต่อให้ไม่มีเงินพวกเขาก็ต้องใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรียนรู้มาในชีวิตค้นหาเบาะแสออกมาให้ได้ เพราะสิ่งที่อยู่ในภาพนี้คืออนาคตของเรือนเป่าซู่

เหล่าปราชญ์ยืนล้อมอยู่หน้าโต๊ะ จากนั้นเริ่มมองดูภาพนั้นอย่างจริงจัง

เจ้าแห่งเรือนเป่าซู่ถอยไปริมหน้าต่าง รู้สึกอากาศร้อนอบอ้าว แต่กลับไม่กล้าเปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศ เขาหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าที่ทำจากไหมขึ้นมาเช็ดเหงื่อที่แตกเต็มหน้าผาก อีกด้านหนึ่งครุ่นคิดว่าหากเรื่องนี้จัดการได้ไม่ดี ก็ต้องคิดหาวิธีบางอย่างมาชดเชย — หลายปีมานี้ส่งเงินทองไปยังบ้านตระกูลเจ้ามากมายขนาดนั้น หากส่งต่อไปเกรงว่าจะผลลัพธ์ที่ได้คงจะไม่ดีสักเท่าไร ถ้าหากส่งไปที่บ้านตระกูลกู้ล่ะ? แต่หลายปีก่อนคุณชายใหญ่เคยถูกทางตระกูลรังแก ไม่รู้ว่าเขาจะยอมช่วยหรือเปล่า

……

……

เมื่อหลายปีก่อน เจ้าแห่งยอดเขาปี้หูธาตุไฟเข้าแทรก ถูกหยวนฉีจิงกำราบ เรือนเป่าซู่สูญเสียที่พึ่งที่สำคัญที่สุดไป อนาคตดูเหมือนกำลังจะล่มสลาย

ใครจะไปคิดถึงบ้างว่าจิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยออกมาท่องเที่ยวบนโลกเป็นครั้งแรกก็มาพักอยู่ที่เรือนเป่าซู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง อีกทั้งยังทำเรื่องเรื่องหนึ่ง

เจ้าแห่งเรือนเป่าซู่อาศัยความสัมพันธ์ที่ไม่อาจถือเป็นความสัมพันธ์นี้ ดึงดันที่จะเข้าไปยังบ้านตระกูลเจ้าในเมืองเจาเกอ

หลังจากนั้นหลายปี เรือนเป่าซู่ก็ตั้งใจรับใช้และส่งข้าวของไปให้บ้านตระกูลเจ้า จนในที่สุดก็ได้รับการยอมรับจากยอดเขาเสินม่อ นับแต่นั้นเป็นต้นมา เรือนเป่าซู่ก็รับผิดชอบในการส่งข้าวของทั้งหมดที่ยอดเขาเสินม่อต้องการให้แก่ทางยอดเขา ค่าตอบแทนที่จ่ายออกไปนั้นย่อมต้องสูงอย่างมาก แต่มันช่วยรักษาสิทธิ์บางอย่างที่สำคัญเอาไว้ได้ ถือว่าช่วยให้ทางเรือนเป่าซู่หลุดพ้นจากการล่มสลาย

หลายปีมานี้ยอดเขาเสินม่อปิดตายอีกครั้ง เวลาที่ต้องการสิ่งใดก็จะให้กู้ชิงแจ้งผ่านมาทางตระกูลมา

หลายวันก่อนเรือนเป่าซู่ได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจากตระกูลกู้ บอกว่าเจ้าแห่งยอดเขาจะมาที่นี่ด้วยตัวเองเพื่อหาของบางอย่าง

เจ้าแห่งเรือนเป่าซู่ตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง เขาย่อมต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก หากเรื่องนี้จัดการได้ไม่ดี เรือนเป่าซู่ยังจะเปิดต่อไปได้หรือ?

“น่าจะเป็นหญ้าสามใบ อาจารย์เซียนอาจจะเขียนผิดไปตัวหนึ่ง”

ปราชญ์ชราผมขาวผู้หนึ่งพลิกหนังสือในมือที่เก่าจนเป็นสีเหลือง น้ำเสียงฟังดูมั่นใจ กล่าวว่า “ในบันทึกยาเทียนหนานมีจดเอาไว้”

“สิ่งที่บันทึกอยู่ในบันทึกยาไร้ค่าแบบนั้นจะไปเชื่อถือได้อย่างไร?”

ปราชญ์อีกคนหนึ่งกล่าวขึ้นมา “หลายปีมานี้มีของล้ำค่ามากมายเท่าไรผ่านมือพวกเรา? เจ้าลองดูสิ คนตั้งมากมายในหอนี้มีใครเคยเห็นมันบ้าง? กระทั่งได้ยินก็ยังไม่เคยได้ยินเลย”

เมื่อได้ยินเสียงถกเถียงเหล่านี้ สีหน้าของเจ้าแห่งเรือนเป่าซู่ดูแย่ขึ้นมาเล็กน้อย เขาเดินไปยังโต๊ะ มองภาพวาดภาพนั้นพลางกล่าวว่า “ดูมิได้มีอะไรพิเศษเลย เหตุใดถึงไม่คุ้นตา?”

บนภาพนั้นมีหญ้ากอหนึ่ง แบ่งออกเป็นสามใบ สีเขียวสดใสราวมรกต

ปราชญ์ผู้นั้นกล่าวด้วยใบหน้าลำบากใจ “ก็เพราะดูแล้วธรรมดาเกินไป จึงแยกแยะได้ยาก อาจจะมิใช่หญ้าสามใบจริงๆ ก็ได้”

เจ้าแห่งเรือนเป่าซู่กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ข้าไม่สนว่ามันจะเป็นอะไร จะเป็นจะตายยังไงก็ต้องหามาให้ได้ มิเช่นนั้นต่อให้มีชีวิตอยู่ ข้าก็อยากตายอยู่ดี”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เสียงถกเถียงพลันเงียบหายไปทันที เหล่าปราชญ์เริ่มพลิกดูบันทึกอีกครั้ง บางคนขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างหนัก ด้วยหวังว่าจะหาเบาะแสบางอย่างเจอ

ภายในห้องแปรเปลี่ยนเป็นเงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงพลิกหนังสือ

เวลาค่อยๆ เคลื่อนผ่านไป ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร จู่ๆ พลันมีเสียงดีใจดังขึ้นมา

คนงานที่ดูแลงานจิปาถะของเรือนเป่าซู่คนหนึ่งถือหนังสือ เบียดกลุ่มคนเดินมาถึงหน้าโต๊ะ ก่อนจะกางหนังสือหน้าหนึ่งออกแล้วกล่าวว่า “ในบันทึกเบ็ดเตล็ดซีหยางมีบันทึกเอาไว้!”

เมื่อได้ฟังชื่อหนังสือนี้ สีหน้าทุกคนดูแปลกไปเล็กน้อย ไม่มีความมั่นใจใดๆ

เรื่องราวเหนือธรรมชาติต่างๆ ในบันทึกเบ็ดเตล็ดซีหยางมีมากมาย ยากที่จะแยกแยะได้ว่าจริงหรือเท็จ ยิ่งไปกว่านั้นยังบันทึกไม่ละเอียด บรรยายได้น่าเบื่อ น้อยคนนักที่จะอ่านมันอย่างละเอียด

สายตาหลายสิบคู่มองไปบนหนังสือหน้านั้น

บนหนังสือบันทึกเอาไว้ชัดเจน เมื่อหลายร้อยปีก่อน ริมสระน้ำขนาดใหญ่มีหญ้าประหลาดปรากฏขึ้นมากอหนึ่ง ใบแบ่งออกเป็นสามใบ ไม่มีอะไรพิเศษ มีเพียงสีที่เขียวเป็นอย่างมาก ต่อให้ลมพายุอันหนาวเหน็บหรือไฟอันร้อนแรงก็มิอาจเปลี่ยนสีมันได้ สมณะแพทย์ของวัดกั่วเฉิงจัดให้หญ้ากอนี้เป็นหญ้าวิเศษระดับเซียนที่หาได้ยากยิ่ง ตั้งชื่อให้มันว่าหญ้าสามพิสุทธิ์ ทำให้เกิดการแก่งแย่งช่วงชิงจากยอดฝีมือไร้สำนักและสำนักต่างๆ จำนวนนับไม่ถ้วน

สาเหตุที่โลกบำเพ็ญพรตในตอนนี้ไม่มีใครจำเรื่องนี้ได้ เป็นเพราะหลังจากนั้นมิได้มีเหตุการณ์นองเลือดเพื่อแย่งชิงสมบัติอะไรทำนองนั้นเกิดขึ้น แล้วก็เป็นเพราะคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้นขอให้ทุกคนอย่าได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป ใครจะไปคิดบ้างว่าจะถูกบัณฑิตที่ชอบสอดรู้สอดเห็นบันทึกเอาไว้

“คล้ายมาก”

เจ้าแห่งเรือนเป่าซู่ครุ่นคิดพลางกล่าว

ปราชญ์คนที่เหลือต่างพากันพยักหน้า

บันทึกเบ็ดเตล็ดซีหยางไม่น่าเชื่อถือ การเขียนก็ไม่ละเอียด แต่กลับบรรยายเรื่องนี้เอาไว้ได้เหมือนจริงมาก

ใครสามารถทำให้หญ้าอันล้ำค่าขนาดนี้ได้ และไม่มีสำนักใดกล้าไถ่ถาม? หากมองไปในแผ่นดินทางใต้ ก็มีเพียงสำนักชิงซานเท่านั้นที่ทำได้

ใครสามารถทำให้สำนักชิงซานทำเช่นนี้เพื่อหญ้าเพียงกอเดียวได้? หากมองไปในยอดเขาทั้งเก้า ก็มีเพียงนักพรตจิ่งหยางเท่านั้นที่ทำได้

วิชาที่นักพรตจิ่งหยางฝึกย่อมต้องเป็นเคล็ดกระบี่เก้ามรณา ในตอนที่เขาบรรลุขั้นคเนจรย่อมต้องใช้หญ้านี้

มีปราชญ์คนหนึ่งคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา จึงถามอย่างไม่เข้าใจ “ตอนที่นักพรตจิ่งหยางยังไม่บรรลุสู่ขั้นคเนจร เขาก็มีอิทธิพลในยอดเขาทั้งเก้าของชิงซานขนาดนี้แล้วหรือ?”

เจ้าแห่งเรือนเป่าซู่รู้ความลับของชิงซานไม่น้อย กล่าวว่า “แน่นอน”

“อย่างนั้นก็ดี” ปราชญ์ผู้หนึ่งกล่าวอย่างหวั่นเกรงขึ้นมา “ขอเพียงแน่ใจว่าเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง อย่างนั้นก็มีโอกาสหาได้”

เจ้าแห่งเรือซู่เป่ากล่าว “หยุดทุกเรื่องเอาไว้ก่อน ทุ่มกำลังทั้งหมดที่มีตามหาหญ้าสามพิสุทธิ์”

ธุรกิจประมูลขนาดใหญ่เช่นนี้ รวมถึงร้านสาขาอีกหลายสิบสาขาทั่วทั้งแผ่นดิน หากหยุดดำเนินการไปหนึ่งวันจะต้องเสียหายเท่าไร?

แต่ไม่ว่าจะเป็นตัวเจ้าแห่งเรือนเป๋าซู่ หรือปราชญ์ผู้ดูแลเหล่านั้นก็ล้วนแต่ดูสงบนิ่ง รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่สมควร

เพียงแต่มีอยู่ปัญหาหนึ่ง

มีคนกล่าวขึ้นมาอย่างกังวลใจ “หากหญ้าสามพิสุทธิ์ล้ำค่าเช่นนี้จริงๆ ต่อให้หาเจอแล้ว แต่อาศัยเพียงพวกเราคงจะไม่สามารถแย่งมาจากสำนักเหล่านั้นได้”

เจ้าแห่งเรือนเป่าซู่กล่าวสั่งสอน “เจ้าโง่! ถ้าสืบได้แล้วว่าหญ้าอยู่ที่ไหน ทางสำนักย่อมต้องเป็นคนไปเอามาเอง พวกเราไหนเลยต้องออกหน้า ยอดเขาทั้งเก้าของชิงซานติดค้างท่านจิ๋ง ท่านเจ้าอยากจะได้สิ่งใด ผู้ใดกล้าไม่ให้? สิ่งสำคัญคือ…พวกเราต้องหาเบาะแสให้ได้ เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา ได้ยินไหม?”

……

……

ภายในห้องที่อยู่ชั้นบนสุด ท้องฟ้ามืดลงแล้ว ไข่มุกราตรีส่งแสงสว่างจางๆ ออกมา

บนโต๊ะตรงหน้าเจ้าล่าเยวี่ยมีกล่องอยู่ใบหนึ่ง ส่องแสงจางๆ ออกมาเช่นเดียวกัน น่าจะเป็นข่ายพลังบางอย่างที่ปิดผนึกกลิ่นอายที่อยู่ด้านในเอาไว้

ภายในห้องมีหญ้ากอหนึ่ง ใบแบ่งออกเป็นสามใบ ดูธรรมดาอย่างมาก มีเพียงสีเขียวมรกตของมันที่เขียวสดเป็นอย่างมาก ราวกับว่าพร้อมจะกลั่นตัวลงมาเป็นหยดน้ำได้ทุกเมื่อ

…………………………………………………….

[1]ยาเซียนเหลียน หมายถึง ยาดอกบัวเซียน