Ep.569 – คุยส่วนตัว

 

ท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมิด

 

เสียงกุบกับของเกือกม้าสะท้อนอยู่ไปมาในผืนป่า

 

พร้อมกับแสงสวรรค์เรืองรองอันงดงาม ห่อหุ้มรอบกายของม้าทมิฬ

 

นอกเหนือไปจากแสงสวรรค์แล้ว ยังปรากฏถึงทุกชนิดของเสียงแปลกๆกังวานไปมา บ่งบอกถึงศัตรูนับอนันต์ที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด

 

สามดาบบินวนรอบไปทั่วทั้งค่ายกลจากภายในอย่างรวดเร็ว

 

พวกมันคอยปลดปล่อยรังสีดาบ ตัดสะบั้นศีรษะของมอนสเตอร์ที่ผุดเข้ามาขวางหน้าอย่างต่อเนื่อง

 

ความคล่องแคล่วของสามดาบนั้นรวดเร็วเกินไป พวกมันราวกับเป็นเครื่องบดเนื้อ คอยเก็บเกี่ยวชีวิตของผีร้ายของไม่หยุดยั้ง

 

ไม่มีผีตนใดสามารถหลบเลี่ยง หนีไปจากคมสังหารของดาบบินได้

 

ส่วนกู่ฉิงซาน สองตาของเขากำลังมองไปยังหน้าต่างเทพสงครามอย่างสบายอารมณ์

 

การสังหารผีแห่งความอลหม่าน ส่งผลให้แต้มพลังวิญญาณในบัญชีสะสมของเขาพุ่งสูงขึ้นเป็นอย่างมาก

 

ขณะเดียวกัน แต้มพลังวิญญาณที่ได้จากการสังหารผีที่แตกตัวออกจากผีแห่งความอลหม่าน มันก็ไม่ได้เลวร้ายเลย

 

กู่ฉิงซานค่อยๆเกิดความผ่อนคลายในหัวใจ จนในที่สุด เขาก็ละความสนใจจากจำนวนแต้มพลังวิญญาณที่ได้รับมาอีกต่อไป

 

แม้ว่าตนพึ่งจะมอบ 100000 แต้มพลังวิญญาณให้แก่ดาบพิภพไปก็ตาม แต่การสังหารผีแห่งความอลหม่านที่พึ่งปรากฏตัวออกมา ก็ช่วยเติมเต็มในส่วนที่เสียไปนี้กลับคืน

 

ปัจจุบัน แต้มพลังวิญญาณยังคงเติบโต เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

ทันใดนั้นเอง จู่ๆตลอดทั้งค่ายกลก็เปล่งแสงสวรรค์ขึ้นพร้อมกัน

 

ปฏิกิริยานี้บ่งบอกว่า ปริมาณของศัตรูที่มันจำต้องทานรับน่ะเกินกว่าขีดจำกัดแล้ว และค่ายกลที่เชื่อมโยงกันจะอยู่ในสถานะเกินพิกัด ไม่อาจทำงานได้เป็นระยะเวลาหนึ่ง

 

หากเป็นในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ หรือแม้กระทั่งในโลกล่องเวหา ยามเมื่อค่ายกลขนาดใหญ่เกิดอาการเข้าสู่สภาวะเกินพิกัด ทำงานหนักมากเกินไป จะเป็นช่วงเวลาที่บ่งบอกว่าสงครามได้มาถึงจุดสำคัญที่สุดแล้ว!

 

อย่างไรก็ตาม ในโลกที่เทพบรรพกาลทอดทิ้งใบนี้ ค่ายกลต่อสู้ขนาดใหญ่ที่พึ่งอธิบายไป กลับถูกจัดวางไว้ใช้ในการโจมตีระยะไกลเท่านั้น

 

ผีร้ายนับไม่ถ้วนอยู่ภายนอก เริ่มทยอยกันมาปิดล้อมรอบค่ายกลอย่างต่อเนื่อง

 

เหมือนกับว่าพวกมันกำลังตระเตรียมบางสิ่งบางอย่าง

 

“ระวัง! พวกมันกำลังจะมาแล้ว” เหลาเจียวตะโกนเตือน

 

กู่ฉิงซานมองไปยังเหล่าแสงสวรรค์โดยรอบ เท่าที่สุดสายตาจะมองเห็นได้

 

ท่ามกลางผืนป่า เต็มไปด้วยเหล่าผีร้ายเบียดเสียดกันอย่างหนาแน่น

 

จำนวนของพวกมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้ในจุดที่ไกลออกไป มองดูคล้ายกับระลอกคลื่นใหญ่ที่กระเพื่อมไหวแล้ว

 

ไม่กี่วินาทีต่อมา ไม่ว่าจะเป็นตลอดทั้งผืนฟ้า ครอบคลุมทั้งผืนดิน ล้วนปรากฏถึงกระแสคลื่นสัตว์ประหลาดผีร้าย โถมกดดันลงมายังม้าทมิฬ

 

สามดาบบินตอบสนองต่อสิ่งนี้อย่างรวดเร็ว

 

พวกมันแปรเปลี่ยนเป็นกระแสแสง เร่งความเร็ว ฟาดฟันคมดาบจากภายในรัศมีค่ายกลอย่างไม่รู้จบ

 

ฝูงกองทัพวิญญาณถูกซัดด้วยกระบวนท่าดาบ บ้างตัวระเบิดแตก บ้างกระดอนออกไป

 

อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้ว สมดุลของการต่อสู้ในครั้งนี้ก็ค่อยๆเอนเอียงไปทางฝ่ายศัตรูอยู่ดี

 

มอนสเตอร์น่ะ .. มันมีจำนวนมากเกินไป

 

พวกมันโอบล้อม และกดดันแสงสวรรค์จากค่ายกลโดยสมบูรณ์ แม้จะถูกสังหารลงด้วยดาบบินอย่างต่อเนื่อง แต่ทั้งหมดก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมแพ้

 

ภายใต้การกัดกินของผีร้ายนับพันหมื่น ค่ายกลชั้นแล้วชั้นเล่าค่อยๆถูกทำลายลง

 

“จำนวนของพวกมันมีมากเกินไป!” ลอร่ากรีดร้อง

 

แต่กู่ฉิงซานเพียงกล่าวเสียงกระซิบ “อย่าตื่นตระหนกไป”

 

สมญาเทพสงครามเกิดการสับเปลี่ยน ‘นายพลชั้นโหยวจี’ ถูกแทนที่ด้วย ‘ผู้บัญชาการรบ’

 

“เมื่อสวมใส่สมญานี้ จะได้รับสกิลพิเศษ : ปราณดาบสุดขอบฟ้า”

 

“ปราณดาบสุดขอบฟ้า : เมื่อใดก็ตามที่ดาบของท่านถูกปกคลุมไปด้วยปราณดาบ และท่านได้เปิดใช้งานสกิลนี้ ปราณดาบและสกิลดาบจะหลอมรวมกันพร่ามัวเป็นเงา ยามฟาดฟันจะปรากฏการโจมตีเดียวกันขึ้นอีกระลอก (หมายเหตุ : เมื่อใช้สมญานี้ ท่านจะถูกจำกัดให้ใช้เฉพาะอาวุธดาบเท่านั้น)”

 

เพียงสั่งการในความคิด เทคนิคดาบก็เริ่มถูกกระตุ้นอีกครั้ง

 

สามดาบบินหยุดมือของพวกมันลงอย่างกระทันหัน

 

พวกมันมิได้ฟาดฟันมั่วซั่วอย่างคลุ้มคลั่งอีกต่อไป แต่มุ่งเข้าหาสัตว์ประหลาดผีที่ทรงพลังแทน

 

พร้อมกับทั้งสามดาบที่ฟาดฟันออกไปเล่มละ –

 

เจ็ดครั้ง!

 

เจ็ดครั้ง!!

 

เจ็ดครั้ง!!!

 

อย่างพร้อมเพรียง

 

ในเสี้ยววินาทีที่เพลงดาบสุดท้ายสับลง บนใบดาบก็สาดแสงสายฟ้าออกมาทันที

 

“มังกรสายฟ้า!”

 

กู่ฉิงซานตะคอกคำหนึ่ง ขับเคลื่อนธาตุสายฟ้าเต็มกำลัง เทคนิคดาบถูกใช้ออกไป

 

เจ็ดดารา มังกรแหวกธารา!

 

ตามมือและแขนของเขาเริ่มผุดแสงสีน้ำเงินขาวออกมา พุ่งตัดอากาศไปยังเหล่าดาบบิน

 

เบื้องหลังหัวมังกร ร่างอันคดเคี้ยวของมันที่ผสมผสานไปด้วยรังสีดาบและเล่ยเดี๋ยนผุดออกมาจากดาบบิน

 

แต่มันยังไม่จบลงเพียงเท่านี้!

 

เพราะยามเมื่อมังกรสายฟ้าตัวแรกถูกปลดปล่อยออกมา มังกรสายฟ้าอีกตัวก็ผุดตามติดจากดาบบินอีกครั้งทันที

 

สามดาบบิน สามเจ็ดดารามังกรแหวกธารา ผสานไปกับสมญาเทพสงคราม ส่งผลให้กระบวนท่าในครั้งนี้ ก่อกำเนิดมังกรสายฟ้าถึงหกตัวขึ้นอย่างกระทันหัน!

 

ตูม!

 

หกมังกรสายฟ้าว่ายวนไปรอบรังสีค่ายกล กวาดคมเขี้ยวอันดุร้ายของมันไปทั่วผืนป่า

 

แล้วสิ่งที่กระแสคลื่นกองทัพผีร้ายต้องเผชิญน่ะหรือ? พวกมันก็ถูกกลืนกินโดยสายฟ้าแล้วสลายกลายเป็นควันไปเลยทันทีน่ะสิ!

 

ส่วนสัตว์ประหลาดผีที่สัมผัสได้ถึงสายฟ้าสวรรค์ แต่ยังไม่ถูกโจมตี ก็หันหลังกลับ และหลบหนีไปทันที

 

อย่างไรก็ตาม ภายใต้การไล่ล่าสังหารของหกมังกรสายฟ้า มีหรือที่เหยื่อของมันจะหนีรอด!

 

มังกรสายฟ้าว่ายวน ฉวัดเฉวียนไปมา แล้วค่อยๆไล่ล่า ล้างบางตลอดทั้งผืนป่า

 

หลังจากผ่านพ้นไปกว่าสิบลมหายใจ แสงสีน้ำเงินขาวจากสายฟ้าที่ส่อประกายเปรี๊ยะๆ ก็ค่อยๆสลายไป

 

คราวนี้ สภาพแวดล้อมโดยรอบกลับมาเงียบสงบโดยสมบูรณ์

 

และไม่มีเสียงของผีร้าย โผล่ออกมาให้กวนใจอีกต่อไป

 

ลอร่าขยี้ตาของเธอ และกวาดสำรวจมันอย่างระมัดระวัง

 

เมื่อครู่ สมดุลการต่อสู้เอนเอียงไปทางศัตรูอย่างชัดเจน แต่เพียงสิบลมหายใจต่อมา พวกผีร้ายทั้งหมดกลับหายไปจนสิ้นแล้ว

 

-สัตว์ประหลาดผีมันหายหัวไปไหนกันหมด?

 

กระแสคลื่นสัตว์ประหลาดผีเมื่อครู่ … บัดนี้ราวกับเป็นเพียงภาพมายา เป็นเพียงสิ่งลวงตาที่พึ่งลวงหลอกเธอไป

 

ท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด ปัจจุบันเงียบสงัดราวกับอากาศได้ตายลงไปแล้ว

 

“ที่เจ้าใช้ มันเป็นทักษะดาบอันใดกัน” เหลาเจียวถามเสียงแหบแห้ง

 

“ทักษะดาบสำหรับใช้สังหารสิ่งชั่วร้าย”

 

ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็รู้สึกว่าลำคอของเขาแห้งผาก ตามร่างกายรู้สึกอ่อนล้าเล็กน้อย

 

เจ็ดดารามังกรแหวกธารา คือเทคนิคลับแห่งดาบที่ทรงประสิทธิภาพเป็นอย่างมากก็จริง แต่พลังที่มันสูบกลืนไปก็มากเช่นกัน

 

ถึงแม้ว่าด้วยขอบเขตความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ จะสามารถควบคุมได้ทั้งสามดาบบิน และปลดปล่อยเจ็ดดารา มังกรแหวกธาราได้ถึงสามครั้งติดต่อกันแล้วก็ตาม แต่ตนก็ยังรู้สึกว่ามันเกินกำลังไปสักเล็กน้อยอยู่ดี

 

สามดาบบินกลับจากผืนป่า ลอยมาหากู่ฉิงซาน

 

กู่ฉิงซานโบกมือของเขา และดาบบินทั้งหมดก็หายไปอย่างเงียบๆในความว่างเปล่าเบื้องหลัง

 

เขาตบลงในถุงสัมภาระอีกครั้ง และหยิบเอาเหยือกสุราออกมา

 

มันคือเหยือกสุราที่ทำมาจากหยกวิญญาณไฟพันปี กล่าวกันว่าหากสุราใดถูกหมักบ่มเอาไว้ในเหยือกหยกใบนี้ ฤทธิ์ของมันจะรุนแรงยิ่งขึ้น

 

พื้นผิวที่เรียบลื่นของเหยือกหยกวิญญาณ ถูกแกะสลักเป็นลวดลายร้อยบุปผา

 

ดอกไม้เหล่านี้ แม้ลวดลายสลักของมันจะค่อนข้างหยาบ แต่ก็เผยให้เห็นถึงเสน่ห์และความมีชีวิตชีวาออกมา

 

นั่นก็เพราะลวดลายสลักช่อดอกไม้เหล่านี้ มันแฝงไว้ด้วยพลังอันอุดมสมบูรณ์และน่าประทับใจไม่น้อยน่ะเอง

 

มันคือลวดลายสลักฝีมือของฉินเซี่ยวโหลว

 

และสุราที่อยู่ภายในก็ยังถูกหมักบ่มโดยฉินเซี่ยวโหลว ส่วนผสมของมันล้วนมาจากดอกไม้วิญญาณนานาชนิดที่แสนหายาก และไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วๆไปในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธจะสามารถดื่มได้

 

ในตอนที่กู่ฉิงซานอยู่ในนิกายร้อยบุปผา เขาได้อาศัยความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างตนกับฉินเซี่ยวโหลว ร้องขอให้อีกฝ่ายสร้างเหยือกนี้ให้ตนกว่าหลายสิบใบ

 

และครั้งเมื่อเขากลับไปยังโลกเดิม ตนก็ได้ดื่มด่ำมอมเมาไปกับมัน จนตอนนี้เหลือเพียงเหยือกสุดท้ายแล้ว

 

‘ … รอให้เรื่องในครั้งนี้สิ้นสุดลงก่อนเถอะ แล้วฉันจะกลับไปขอมันมาดื่มอีกให้จงได้’

 

เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องของนิกายร้อยบุปผา กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้น กระดกสุราทั้งเหยือกทั้งหมดลงไปในคราวเดียว

 

ฤทธิ์ร้อนแรงไหลเข้ามาในลำคอ แผ่กระจายไปทั่วร่างกาย พลังวิญญาณราวกับถูกกระตุ้น ค่อยๆฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง

 

จิตสำนึกเทวะของกู่ฉิงซานกลับกลายเป็นคมชัด จิตวิญญาณของเขากลับมาเดือดพล่านอีกครั้ง

 

เขานั่งอยู่บนหลังม้า ปากอ้าหัวเราะด้วยความสุขทันใด “เชียร์!”

 

 

แอนนานอนอยู่บนเตียงพร้อมกับเหยือกสุราในมืออ้อมกอดของเธอ

 

มันคือเหยือกสุราแบบเดียวกันกับของกู่ฉิงซาน

 

เธอแหงนมองลายสลักดอกไม้นานาพันธ์บนตัวเหยือก นิ่งงันไปพักหนึ่ง มิได้เอ่ยสิ่งใด

 

ครั้งที่ยังอยู่ในโลกเดิม เธอเคยไปเจอกู่ฉิงซานในระหว่างที่เขากำลังดื่มเหยือกสุราอยู่พอดี เลยอ้อนเขาจนได้มันมาเหยือกหนึ่ง

 

ตอนนี้ แอนนากลับมาถึงตัวโบสถ์แล้ว และขังตัวเองอยู่ในห้องนอนของเธอ เตรียมที่จะพักผ่อน

 

แต่เธอไม่ได้หลับเลย

 

เพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้น ตนจึงได้เดินทางมายังโลก 900 ล้านชั้น ในดินแดนชิงอำนาจ

 

เพื่อที่จะก้าวให้ทันตามรอยเท้าของกู่ฉิงซาน เธอจึงขยันฝึกฝนเทคนิคอย่างหนักในทุกๆวัน เพื่อปรับปรุงความแข็งแกร่งของตัวเอง

 

ซึ่งการฝึกฝนในแต่ละวันของดินแดนชิงอำนาจ ช่างเป็นอะไรที่ยากลำบากยิ่ง

 

ท่ามกลางการต่อสู้อันเข้มข้น ตนเองมักจะเป็นคนแรกที่ก้าวออกไปเบื้องหน้าเสมอๆ

 

และพวกที่ฝึกฝนร่วมกันกับเธอ ก็มีแต่พวกหนังหนาทั้งนั้น

 

แต่ไม่มีใครฝึกหนักไปกว่าตัวเธอเอง

 

ทุกคนต่างคิดว่าตัวเธอ คือผู้ศรัทธาที่เคร่งครัดในคริสตจักรมากที่สุด

 

แต่กลับไม่มีใครรู้เลยว่า ที่เธอทนลำบากทั้งหมดนี้ มันเพื่ออะไร

 

เฝ้าอดทน แม้จะล้มลง แต่ก็ลุกขึ้นมายืนหยัดครั้งแล้วครั้งเล่า

 

จนในที่สุด ทุกสิ่งอย่างที่ตนเองจ่ายไปก็ได้รับกลับคืนมา

 

แอนนาเก็บเหยือกร้อยบุปผาอย่างระมัดระวัง และหันไปหยิบเอาบางสิ่งบางอย่างออกมา

 

มันคือขวดสีดำขนาดเล็กที่ถูกปิดผนึกเอาไว้ เมื่อลองเขย่ามันเบาๆ จะสามารถได้ยินถึงเสียงอะไรบางอย่างที่อยู่ภายใน

 

มันคือ ‘น้ำตาของเทพแห่งความตาย’

 

นี่คือวัตถุโบราณที่เธอปลุกมันขึ้นมาในระหว่างพิธีกรรมของคริสตจักร เป็นสมบัติที่ตนเองได้รับมา

 

ในพิธีเมื่อวานนี้ สมาชิกที่โดดเด่นที่สุดของคริสตจักรทั้งแปดคน ได้รับโอกาสในการปลุกวัตถุโบราณของพวกเขา

 

ก่อนหน้าเธอ บางคนสามารถปลุกเทคนิคเทียนซวนขึ้นมาได้ เขาสามารถใช้มันเพื่อแปลงตนเป็นค้างคาวแดง ซึ่งดึงดูดความสนใจของทุกผู้คนยิ่งนัก

 

ต่อมา อีกคนหนึ่งก็สามารถทำพิธีปลุกปืนลูกโม่โบราณที่บรรจุกระสุนได้เจ็ดนัดออกมา หลังจากที่ปืนลูกโม่ได้รับการตรวจสอบโดยเทพสุนัข สุดท้ายมันจึงถูกตัดสินว่าเป็นลูกโม่ในตำนานที่เรียกกันว่า ‘ดอกไม้แห่งความตาย’

 

คนต่อมาก็ได้รับ สกิลลับของคริสตจักรที่ชื่อว่า ‘สามร่างเงาแห่งความว่างเปล่า’

 

อาจกล่าวได้ว่า ทุกคนต่างก็ได้รับรางวัลที่เรียกได้เลยว่าเป็นประวัติการณ์

 

แต่สุดท้าย เมื่อมาถึงตาเธอ เธอกลับได้รับแค่เพียงขวดสีดำใบเล็กๆที่ถูกปิดผนึกไว้เท่านั้น

 

และทั้งสองเทพรับใช้ก็ไม่ได้กล่าวอะไรเกี่ยวมันเลยในจุดนี้ พวกเขาเพียงอธิบายสั้นๆว่ามันเป็นหนึ่งในยาลับที่ช่วยเร่งปฏิกริยาตอบสนองของร่างกายได้

 

ขณะเดียวกัน พอเหล่าสหายที่เข้าร่วมพิธีกรรมได้ฟัง พวกเขาก็ละความสนใจเกี่ยวกับมันไปทันที

 

แต่คนที่ดูจะผิดหวังที่สุดก็คงจะไม่พ้นเธอ

 

เมื่อพิธีจบลง ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไป เทพอีกาดำและเทพสุนัขก็มาหาเธอพร้อมกัน

 

พวกเขามาย้ำเตือนกับเธออย่างจริงจังว่า เธอจะต้องใช้ประโยชน์จากสิ่งที่อยู่ในขวดสีดำใบนี้ให้ดีๆ

 

ทั้งสองกล่าวว่านี่คือไอเท็มของเทพแห่งความตายจากยุคโบราณอันไกลโพ้น

 

ในช่วงอดีตหลายหมื่นปีที่ผ่านพ้น เจ้าสิ่งนี้ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

 

แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าทำไมสมบัติชิ้นนี้ถึงปรากฏขึ้นอย่างกระทันหัน แต่สุดท้ายมันก็เลือกแอนนา

 

เมื่อย้อนคิดไปถึงสีหน้าการแสดงออกของสองผู้รับใช้เทพ แอนนาก็แอบรู้สึกภูมิใจน้อยๆในหัวใจของเธอ

 

ดูเหมือนว่าตัวเธอเองก็ยังพอจะมีโชคอยู่บ้างเหมือนกัน

 

ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา แอนนาได้ทดลองใช้จิตวิญญาณธาตุไฟของเธอทำการสื่อสารกับขวดสีดำเล็กๆใบนี้

 

จนถึงปัจจุบัน เธอก็สามารถเปิดผนึกขวดสีดำใบเล็กๆได้ในที่สุด

 

เธอลองเขย่าๆ และเปิดขวดสีดำใบเล็กๆดู

 

หยดน้ำสีดำลอยออกมาจากขวดเล็กๆ และแขวนนิ่งอยู่กลางอากาศอย่างเงียบๆ

 

แอนนาย้อนนึกถึงสิ่งที่สองผู้รับใช้เทพบอก แล้วยื่นมือออกไป

 

“เอาล่ะ มาลองดูกัน” เธอพึมพำแผ่วเบา

 

เห็นแค่เพียงเคียวยาวที่ด้ามจับของมันมีขนาดสูงเท่ากับตัวของแอนนา ปรากฏขึ้นในมือของเธอ

 

ตามด้ามจับของเคียวเป็นสีดำ ขณะที่สุดปลายด้ามของมันถูกแกะสลักเป็นรูปหัวกะโหลกสีดำ

 

ส่วนบริเวณคมมีดของเคียวที่มีรูปทรงคล้ายจันทร์เสี้ย มีลวดลายเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้

 

ตลอดช่วงอดีตที่ผ่านมา เธอมักจะต่อสู้ด้วยอาวุธชิ้นนี้

 

ราวกับตระหนักได้ถึงเคียวยาวในมือของเธอ หยดน้ำตาสีดำเริ่มที่จะขยับไหว

 

มันหยดลงไปบนตัวเคียวและหายไปอย่างรวดเร็ว

 

จากนั้น-

 

ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกเลย

 

แอนนากุมเคียวในมืออย่างเงียบๆ เฝ้ารออยู่สักพักหนึ่ง

 

“อะไรกันเนี่ย คงไม่ใช่ของปลอมหรอกนะ ทำไมฉันถึงไม่รู้สึกถึงอะไรเลยล่ะ?” เธอบ่นเบาๆ

 

เปรี้ยง!!

 

ทันใดนั้นเอง เคียวยาวก็เริ่มสั่นสะท้านอย่างรุนแรง

 

หมอกดำทะมึนเล็ดลอยออกมาจากตัวเคียว และเริ่มเข้าห่อหุ้มเคียวทั้งหมดอย่างรวดเร็ว

 

ลวดลายเปลวไฟสีแดงบนใบมีดหายไป

 

แต่กลับปรากฏถึงเปลวไฟสีดำที่ลุกไหม้ขึ้นมาแทนที่อย่างเงียบๆ

 

อำนาจอันน่าตื่นตาพรั่งพรูออกมาจากเปลวไฟสีดำ คล้ายกับว่าตราบใดที่แอนนาเริ่มโจมตีออกไป อำนาจเหล่านั้นก็จะถูกปลดปล่อยออกมาทันที

 

บนด้ามยาวตลอดทั้งตัวเคียว ปรากฏถึงชั้นอักษรรูนสีดำลึกลับสลักทับถมกันอย่างหนาแน่น หัวกะโหลกตรงสุดปลายเคียวบัดนี้ได้หายไป แต่ถูกแทนที่ด้วยอัญมณีสีดำขึ้นมาแทน

 

ในช่วงเวลานี้ ตลอดทั้งอาวุธเคียวได้ปลดปล่อยกลิ่นอายที่ให้ความรู้สึกถึงความน่าครั่นคร้ามและหนาวเหน็บออกมา

 

หมอกสีดำไม่ได้กระจายตัวหายไป มันกลายเป็นลมทะมึนที่คอยโคจรอยู่รอบด้ามจับเคียว และจะเกิดการกระชากกันขึ้นบ้างเป็นครั้งคราว

 

แอนนากลายเป็นโง่งม

 

เพราะเคียวนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากความสามารถพิเศษของตัวเธอเอง แล้วมันจะเปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตาไปได้อย่างไร?

 

เธอกุมเคียวยาว และลองโบกสะบัดมันเบาๆ

 

ขอบใบมีดที่ลุกไหม้ด้วยไฟสีดำตัดผ่านอากาศไป

 

ท่ามกลางความโกลาหล หมอกสีเหลืองอ่อนพลันปะทุออกมาจากในความว่างเปล่าที่ถูกเปิดออกเบื้องหน้าแอนนา

 

‘นั่นมันกระแสมิติอันเชี่ยวกราด … ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วจู่ๆตัวเองสามารถฉีกมิติได้อย่างไร?“‘

 

แอนนากล่าวด้วยความสับสน

 

อีกด้านหนึ่ง

 

ลึกเข้าไปในโบสถ์ของคริสตจักร

 

เทพสุนัขได้มายังที่นี่

 

มันจ้องมองไปยังรูปปั้นเทพขนาดใหญ่

 

ในมือของรูปปั้นเทพ มีอีกาที่ตลอดทั้งตัวเป็นสีดำเกาะอยู่

 

อีกาดำและเทพสุนัข

 

ทั้งสองเป็นผู้รับใช้ของเทพแห่งความตายที่กำลังหลับไหล

 

พวกเขากำลังลอยคุยกันเรื่องของแอนนา

 

“เจ้ามอมแอนนาน้อยจนเมาแล้วใช่ไหม?” อีกาดำเอ่ยถาม

 

“ใช่ มันไม่ง่ายเลยที่จะมอมเธอ แต่หากเทียบกับวิธีการอื่นๆ กลยุทธ์นี้นับว่าง่ายและได้ผลดีที่สุดแล้ว” เทพสุนัขตอบกลับด้วยความกระสับกระส่าย “ว่าแต่ผลการทำนายเป็นอย่างไรบ้าง?”

 

“ข้าพึ่งไปถามเจ้าเก้าชีวิตมา มันบอกว่าผลการทำนายได้เปลี่ยนแปลงไปในที่สุด แอนนาน้อยจะไม่ไปอัลเบอัส และจะไม่ถูกควบคุมชีวิตโดยระบบของราชามาร”

 

“งั้นก็ดี เพราะข้าเองก็ไม่ต้องการที่จะให้เธอกลายเป็นวิญญาณชั่วร้าย – เพราะวิญญาณชั่วร้ายในโบสถ์น่ะมีจำนวนมากเกินพอแล้ว” เทพสุนัขโล่งใจ

 

“นั่นสินะ แอนนาน้อยเป็นคนของเรา และเธอไม่ควรที่จะถูกพรากจากไปโดยระบบของราชามาร” อีกาดำเห็นด้วย

 

“ระบบของราชามาร … ทางมันเองก็เร่งลงมือแล้ว เช่นนั้นทางฝั่งเราสมควรทำอย่างไรดี?”

 

“ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา ระบบทั้งหมดยังคงซ่อนตัวอยู่ในความมืดมิด พวกเราเฝ้ารอควรดูอย่างเงียบๆจึงจะสมควรกว่า”

 

“เข้าใจแล้ว … ”

 

….