เมื่อกลุ่มนักบู๊คุ้มกันมู่หรงยานเอ๋อร์ออกจากเขาหลิงอู่ และกลับไปยังที่ต่างๆ โลกฝึกบู๊ทั้งหมดก็ตื่นตัวไปเลย

หอเทียนจีได้จัดเรียงรายชื่อปรมาจารย์ขึ้นมาใหม่ และชื่อเสียงของเฉินไต้ซือก็ถือกำเนิดขึ้น พุ่งเข้าเป็นอันดับที่สามสิบของรายชื่อปรมาจารย์โดยตรง

สิ่งที่น่าตกใจที่สุดคือ เฉินไต้ซือผู้นี้ มีอายุเพียงสิบแปดปี

ถ้าไม่ใช่เพราะว่าหอเทียนจีรับผิดชอบการจัดอันดับต่างๆ ในโลกฝึกบู๊มาโดยตลอด และน่าเชื่อถือได้อย่างยิ่ง เกรงว่าจะไม่มีใครเชื่อว่าหัวเซี่ยจะมีปรมาจารย์ที่เป็นเด็กอายุสิบแปดปีออกมาได้

ในชั่วข้ามคืน ชื่อเสียงของเฉินไต้ซือ ก็โด่งดังไปทั่วโลกฝึกบู๊

วันที่สี่ที่เฉินโม่ออกจากอู่โจว

เมืองอู่โจว ร้านอาหารของเจี่ยงหยาว

พ่อแม่ของเจี่ยงหยาวนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทางกังวล มองดูเจี่ยงหยาวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง

ข้างตัวเธอ จางหู่พาลูกน้องสองคน ก็มองไปที่เจี่ยงหยาวอย่างกังวลใจ

เจี่ยงหยาวที่สวยขึ้นเรื่อยๆ วางโทรศัพท์มือถือของเธอลงอย่างไม่เต็มใจ และส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง “โทรศัพท์มือถือของพี่เฉินโม่ยังคงโทรไม่ติด ฉันโทรหาจ้าวกางเพื่อนของเขา และก็ไม่รู้ว่าพี่ไปที่ไหน”

หลังจากพูดจบบนใบหน้าของเจี่ยงหยาวก็เต็มไปด้วยความคับแค้นใจ รูปลัหษณ์แบบนั้น ฉันเห็นแล้วก็รู้สึกสงสารมากจริงๆ เลย!

แม่ของเจี่ยงหยาวก็ดูวิตกกังวลขึ้นมาในทันที “ตอนนี้เราควรทำอย่างไร? หวงเจิ้นคนนั้นจะพาคนเข้ามาในช่วงเย็นนี้แล้ว ถ้าหาเฉินโม่ไม่เจอ พวกเราก็ต้องย้ายออกอย่างเดียว!”

จางหู่ที่อยู่ข้างๆ เขาถอนหายใจ และดูเศร้าโศก “หวงเจิ้นคนนั้นไม่รู้ว่าใช้ช่องทางจากคนไหน แล้วไปลี้ภัยอยู่ภายใต้ไอ้มีดลูกน้องของฉู่เหวินสงเจ้าสัวอู่โจว พี่น้องของเราก็ถูกเขาบังคับและล่อลวงไปส่วนใหญ่ ผมเคยพาคนต่อสู้กับเขาสองสามครั้ง และทุกครั้งก็ถูกทำร้ายอย่างรุนแรง จนไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อีกต่อไป”

“ผมจางหู่เองที่เป็นผู้ไร้ความสามารถ ไม่สามารถปกป้องพวกคุณได้ และละเลยต่อการมอบหมายจากคุณเฉิน!”

บนใบหน้าของจางหู่ ยังมีรอยแผลเป็น จุดที่เห็นได้อย่างชัดเจนที่สุดคือมุมของตาซ้ายของเขา หากเอียงไปอีกเล็กน้อย จางหู่ก็จะตาบอดไปข้างหนึ่งเลยทีเดียว

พ่อของเจี่ยงหยาวรีบพูดว่า “น้องจางหู่อย่าพูดอย่างนั้นเลย ครอบครัวของเราต้องขอบคุณที่คุณดูแลเราในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ และหวงเจิ้นมีอำนาจมากเกินไป คุณก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าคุณไปเจรจากับเขา เกรงว่าเราคงถูกไล่ออกไปนานแล้ว คุณคือผู้มีบุญคุณต่อทั้งครอบครัวของเรา!”

หลังจากพูดแล้ว พ่อของเจี่ยงหยาวก็โค้งคำนับให้จางหู่

จางหู่รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อประคองตัวพ่อของเจี่ยงหยาวขึ้นมา “พี่เจี่ยงพูดเกินไปแล้ว นี่คุณกำลังจะทำให้อายุฉันสั้นหรือ?”

ประคองตัวพ่อของเจี่ยงหยาวลุกขึ้น จางหู่กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ในเมื่อไม่สามารถติดต่อคุณเฉินได้ งั้นก็รอให้หวงเจิ้นมาถึงในช่วงกลางคืน ผมก็ต่อสู้กับเขาอีกครั้ง หากเรายังแพ้ งั้นพวกเราก็ต้องยอมรับมันไปก่อนชั่วขณะ และรอคุณเฉินกลับมาแล้ว ค่อยไปแก้แค้นกับหวงเจิ้น”

ครอบครัวของเจี่ยงหยาวมองหน้ากัน และพยักหน้า “ก็ดีเหมือนกัน”

เวลาหกโมงเย็น ชายหนุ่มที่มีผมสีเหลือง พาลูกน้องอีกสิบกว่าคน ก็ปรากฏตัวอยู่ที่ประตูร้านอาหารของเจี่ยงหยาว

จางหู่ที่รอมาเป็นเวลานานพาลูกน้องห้าหกคนซึ่งเป็นเพื่อนตายของเขา เข้ามาทักทาย

ทั้งครอบครัวของเจี่ยงหยาว ยืนอยู่ในร้านอาหาร มองไปที่จางหู่และคนอื่นๆ อย่างกังวล หากพวกเขาแพ้ นั่นก็หมายความว่าครอบครัวของเจี่ยงหยาวจะถูกไล่ออกไป

หวงเจิ้นมองไปที่จางหู่ และยิ้มอย่างดูถูกและกล่าวว่า “พี่เสือ พวกพี่น้องของพี่ล่ะ? ทำไมถึงมีคนแค่นี้?”

จางหู่พูดอย่างโกรธเคืองว่า “หวงเจิ้น ถนนสายนี้ฉันก็มอบให้แกไปหมดแล้ว ทำไมแกถึงไม่ปล่อยทางให้กับตระกูลเจี่ยงล่ะ?”

หวงเจิ้นเยาะเย้ยและพูดว่า “พี่เสือ ทำไมพี่ถึงยังไม่เข้าใจ? นี่ฉันกำลังเชือดไก่ให้ลิงดูอยู่! ถ้ากระดูกแข็งดั่งตระกูลเจี่ยงถูกกำจัดออกไป ผู้คนบนถนนสายนี้ถึงจะสามารถเชื่อฟังฉันได้อย่างแท้จริง”

ลูกน้องน้องคนหนึ่งของหวงเจิ้นยิ้มและพูดว่า “พี่เสือ พี่รู้ไหมว่าทำไมพี่น้องของพี่ถึงทรยศพี่? ก็เป็นเพราะว่าพี่ตกใจกลัวกับนักเรียนมัธยมปลายคนนึง และสูญเสียความแข็งแกร่งในอดีตของพี่ไปแล้ว ก็เหมือนเสือที่แก่ตัวจนฟันหลุดออกหมด และสูญเสียพลังการโจมตีไปแล้ว เหล่าพี่น้องรู้สึกว่าการติดตามพี่ไม่มีอนาคตอะไรแล้ว เลยต้องหาทางออกอื่น”