ตอนที่ 280 วีรบุรุษช่วยหญิงไม่มีอยู่จริง

ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม

“รีบมาช่วยหน่อยเถอะ ต้นไม้นี่หยั่งรากลึกเหลือเกิน!”

อันหลินใช้แรงทั้งหมดที่มีแล้ว แต่ก็ยังถอนไม่ออก จึงขอความช่วยเหลือทันที

เจ้าอัปลักษณ์กับต้าไป๋ได้ยินก็วิ่งเข้ามาคว้าต้นเลือดเพลิงด้วย

“หนึ่ง สอง สาม…ถอน!”

อันหลินตะโกนลั่น หนึ่งสุนัขและหนึ่งวานรออกแรงพร้อมกัน

ครืน… แม้แต่พื้นก็เริ่มสั่นสะเทือน แผ่นดินสีชาดปูดโปนขึ้นมาเป็นหลายทาง

จากนั้น ดินโคลนก็ปลิวกระจาย รากสีแดงลอยขึ้นจากพื้น

พวกอันหลินตะลึงงัน รากของต้นไม้ต้นนี้แผ่คลุมพื้นดินในรัศมีร่วมร้อยจั้ง ถึงว่าถอนยากขนาดนี้

เวลากระชั้นชิด อันหลินไม่มีเวลาตรวจสอบสินค้า เก็บต้นเลือดเพลิงใส่แหวนมิติอย่างรีบร้อนแล้วเริ่มล่าถอย

ขณะนั้นเอง เสียงของผู้หญิงก็ดังมาจากม่านแสงสีน้ำเงินอีกครั้ง “ขอร้องเจ้าช่วยพวกเราออกไปด้วยเถอะ ที่นี่มีแผนที่ขุมทรัพย์ของสนามรบโบราณแห่งนี้ ขอแค่เจ้าช่วยข้าออกไป สมบัติก็จะเป็นของเจ้า!”

ฝีเท้าของอันหลินชะงัก หันมองม่านแสงสีน้ำเงิน เห็นใบหน้าเศร้าสร้อยของหญิงสาวคนนั้น ใบหน้าขาวผุดผ่องเปื้อนคราบน้ำตา ในมือมีม้วนหนังแกะเก่าแก่

ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาใจอ่อนแล้ว

“ก็ได้ ข้าจะเสี่ยงอันตรายช่วยเจ้าแล้วกัน!”

“ต๋าอี ต๋าเอ้อร์ ปล่อยสนามแรงโน้มถ่วงใส่ศัตรู! หญิงสาวทั้งสามเป็นพันธมิตร!”

ครืน! ม่านสีม่วงเริ่มแผ่ขยาย ปล่อยแรงกดดันที่น่ากลัวอย่างยิ่งออกมา กดทับภูตผีรอบข้างกับผิวดิน

“รีบหนีเร็ว!” อันหลินตะโกนบอกหญิงสาวสามคนภายในม่านแสง

หยินอวี่ตอบสนองฉับไว ยกเลิกม่านแสง พาหญิงรับใช้สองคนพุ่งไปหาอันหลิน

สนามแรงโน้มถ่วงที่ทรงพลังกินเวลาแค่ช่วงสั้นๆ ตอนที่หยินอวี่วิ่งไปหยุดตรงหน้าอันหลิน สนามแรงโน้มถ่วงก็เริ่มจางหาย

ตอนนี้เป้าหมายของภูตผีมืดฟ้ามัวดินกลายเป็นทิศทางเดียว แรงกดดันของพวกอันหลินเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในพริบตา

ภูตผีนับไม่ถ้วนถาโถมมาทางอันหลินปานลูกคลื่น

พวกมันมีกรงเล็บดำที่แหลมคม แยกเขี้ยวคมกริบ แผดเสียงโหยหวนวิเวกวังเวง ท่าทางดุร้าย ปราดเปรียวว่องไว เร็วกว่าหญิงสาวสามคนอยู่หลายขุม

หยินอวี่อยู่ในระดับแปลงจิตขั้นปลาย ก็พอมีความสามารถอยู่บ้าง แต่การใช้พลังสายฟ้าผลาญพลังปราณของนางไปมหาศาล จึงเป็นคนที่วิ่งช้าที่สุดและเป็นตัวถ่วงที่สุด

ทุกคนวิ่งออกจากแผ่นดินสีชาดได้อย่างหวุดหวิด ภูตผีเหล่านั้นลอยล่องตามแนวชายแดนแผ่นดินสีชาด ไม่ตามออกมา ราวกับว่าพื้นดินที่มีสีต่างกันเป็นเส้นแบ่งเขตของสองแดนดิน

“ฟู่ๆ ๆ…น่ากลัวมากจริงๆ…ตวัดกระบี่ไม่หยุดจนเมื่อยมือแล้ว…” อันหลินบิดแขนเล็กน้อย เหงื่อไหลไคลย้อย

เพราะกันดั้มสองตัวอยู่ในโหมดต่อสู้อย่างทรงพลัง พลังงานแทบจะเหือดแห้ง จึงกลับเข้าไปเติมพลังในแหวนมิติ

“ขอบคุณเจ้าที่ช่วยพวกเราไว้” หยินอวี่นำสาวใช้สองคนเดินมาหาอันหลิน เอ่ยขอบคุณแล้วโค้งตัว

นางผ่านการออกกำลังกายที่หนักหน่วง เส้นผมดำขลับหลายเส้นลู่ไปตามใบหน้าที่ขาวผ่องเลือดฝาดเพราะเม็ดเหงื่อ เกิดความเย้ายวนใจไปอีกแบบ

“ไม่ต้องขอบคุณหรอก ข้ายินดี” อันหลินโบกมืออย่างเป็นธรรมชาติและกล้าหาญ จากนั้นก็ยื่นมือออกมา

เห็นฝ่ามือที่แบออกเล็กน้อยของอันหลิน มุมปากของหยินอวี่กระตุก สุดท้ายก็ลบล้างความรู้สึกดีที่มีต่อชายคนตรงหน้าตนเพียงน้อยนิดไป นางส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอ ยื่นแผนที่ขุมทรัพย์ให้อันหลิน

อันหลินก็ไม่เกรงใจ ดูบัดนั้นทันที

“อ้อ มีขุมทรัพย์สิบสองแห่งหรือ แม่นยำหรือไม่”

หยินอวี่กลอกตา ฮึดฮัดในลำคอเบาๆ “นี่เป็นภูมิประเทศที่เจ้าพิธีของเผ่าพันธุ์ข้าผนึกสนามบรรพกาล การเคลื่อนไหวและการกระจายตัวของพลังงาน รวมถึงการกระจายตัวของสิ่งมีชีวิต แน่นอนว่าพิกัดของการเกิดสมบัติที่ผ่านการวิวัฒนาการแม่นยำอย่างยิ่ง…”

เหมือนนางจะนึกอะไรขึ้นมาได้ หน้าขึ้นสี พูดต่อว่า “เพียงแต่ว่าบางครั้ง การคาดเดาของอันตรายอาจไม่เพียงพอ อย่างเช่นครั้งนี้ พวกเราเผลอไปสัมผัสค่ายกลของแดนหมื่นผีเข้า…”

อันหลินพยักหน้าแล้วพูดต่อว่า “งั้นตอนนี้พวกเจ้าได้สมบัติบนแผนที่ไปเท่าใดแล้ว”

หยินอวี่ได้ฟังก็เหมือนมีมีดปักที่หัวใจ พูดน้ำตาคลอว่า “มีประคำเม็ดหนึ่งถูกพี่ชื่ออู่เอาไปแล้ว ตอนแรกต้นไม้ต้นนี้เป็นของข้า จากนั้นก็ถูกพวกเจ้าเอาไป…”

อันหลินดีใจยิ่งนัก เหมือนยกภูเขาออกจากอก พูดยิ้มๆ ว่า “งั้นยังมีอีกสิบจุด ไม่เลว…”

หยินอวี่แน่นหน้าอก คิดในใจอย่างเคียดแค้นว่า ‘ให้ตายสิ! ข้าอนาถขนาดนี้แล้ว ชายคนนี้ไม่รู้จักสงสารผู้หญิงเลยหรือ’

“หึ หากพี่ชื่ออูของข้ามาช่วยข้าได้ทัน จะถูกเจ้ารังแกได้อย่างไร…” หยินอวี่บ่นเบาๆ

เสียงแผ่วเบา แต่อันหลินก็ได้ยินอยู่ดี

เขาขำเบาๆ “พี่ชื่ออู ชายผมสีแดงคนนั้นใช่ไหม”

หยินอวี่ชะงักไป แต่ก็พยักหน้า

“ข้าเจอเขาตรงทางออกของม่านแบ่งแดน ดูเหมือนเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาช่วยเจ้า แต่เตรียมตัวจะออกจากม่านแบ่งแดนนะ…” อันหลินกล่าว

ร่างอรชรของหญิงชุดขาวเสียการทรงตัว ราวกับข้อสันนิษฐานบางอย่างในใจได้รับการยืนยัน แต่นางยังคงยืนกรานอย่างดื้อรั้นว่า “ข้าไม่เชื่อ! เจ้าหลอกข้า! พี่ข้าจะทิ้งข้าไว้โดยไม่สนใจใยดีได้อย่างไร”

อันหลินยักไหล่ “ข้าหลอกเจ้าแล้วข้าจะมีข้าวกินหรือ อีกอย่าง หากข้าไม่เคยเจอพี่ชายเจ้าที่ทางออกม่านแบ่งแดน ข้าจะรู้หรือว่าพี่เจ้ามีผมสีแดง เจ้าโง่หรือไง”

ได้รับการกระทบกระเทือนจากสมบัติ จากการถูกทอดทิ้ง ตามมาด้วยทางสติปัญญา

ภายใต้การกระทบกระเทือนทั้งสามอย่าง ในที่สุดน้ำตาขององค์หญิงหยินอวี่ก็ทะลักออกมา

“ฮือๆ ๆ…พวกเจ้าใจร้าย พวกเจ้าทุกคนรังแกข้า ฮือ…”

นัยน์ตาของนางแดงก่ำ ร้องไห้ดุจดอกสาลี่ต้องน้ำฝน

สาวใช้สองคนรีบเข้าไปปลอบประโลมนางทันที แต่เปล่าประโยชน์ นางร้องไห้หนักกว่าเดิม

นางอ่อนต่อโลกเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หาได้เคยพบเจอคนที่เฉยชา ถูกญาติมิตรทอดทิ้ง เกือบเอาตัวไม่รอดเช่นนี้ สมบัติก็ไม่เหลือ สติปัญญาก็อาจจะมีปัญหา…นางยิ่งคิดก็ยิ่งอยากร้องไห้

อันหลินไม่มีความคิดสงสารเห็นใจผู้หญิง นางอยากร้องไห้ก็ปล่อยให้นางร้อง เราอ่านตำราของเราไป

เขาถือม้วนหนังแกะ มองพิกัดสมบัติเหล่านั้นที่ปรากฏบนแผ่นที่

พิกัดล้วนถูกคาดเดาโดยเจ้าพิธีแห่งเผ่าพันธุ์มังกร มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะมีวัตถุล้ำค่าบังเกิด ถึงขั้นว่าระบุความอันตรายคร่าวๆ ไว้ด้วยซ้ำ

หญ้าสงัดที่เขาได้มาก่อนหน้านี้มีคุณภาพเลิศล้ำ แต่กลับไม่ปรากฏอยู่ด้านบน เห็นได้ชัดว่าเจ้าพิธีก็มีผิดพลาดเช่นกัน ทุกๆ หนึ่งพันปี เผ่าพันธุ์มังกรจะส่งคนเข้ามาค้นหาสมบัติที่ก่อตัวขึ้นจากธรรมชาติ นี่เป็นทั้งการฝึกฝนและเป็นโอกาสอย่างหนึ่งด้วย

ความโชคดีที่มีพันปีต่อครั้ง ไม่คิดเลยว่าตกมาอยู่ที่ตน อันหลินคิดๆ ดูแล้วก็รู้สึกปลื้มใจ

ทางด้านองค์ชายชื่ออู ไม่พูดถึงม้วนหนังแกะที่มีเพียงฉบับเดียว ต่อให้เขารู้พิกัดของสมบัติ นิสัยรักตัวกลัวตายอย่างเขา หากไม่มีตัวรับกระสุนเหล่านั้นไปด้วย ไหนเล่าจะกล้าเสี่ยงอันตรายด้วยตัวเอง

ด้วยเหตุนี้อันหลินจึงไม่กลัวว่าเขาจะชิงตัดหน้า แต่ตั้งใจว่าจะชิงเถาวัลย์ม่วงกับเลือดอิงหลงมาให้ได้ก่อน จากนั้นค่อยไปล่าขุมทรัพย์อื่นๆ

“ไป เคลื่อนไหวได้แล้ว!” อันหลินลุกขึ้น

ทุกคนหยุดพักครู่หนึ่ง พลังฟื้นฟูกลับมาแล้ว

“พวกเราจะไปค้นหาสมบัติชิ้นไหนก่อน” หยินอวี่ถามอย่างสงสัย

อันหลินเหลือบมองนางแวบหนึ่ง องค์หญิงน้อยที่เพิ่งร่ำไห้ไปเมื่อครู่ได้ยินว่า ทางออกม่านแบ่งแดนปิดลงชั่วคราว จึงตั้งใจว่าจะเกาะเขาไม่ไปไหนแล้ว แม้อันหลินจะรู้ว่าตัวเองจะพึ่งพาได้มาก แต่เอาตัวถ่วงไปด้วยคงไม่ใช่เรื่องที่ดี

“หากเจ้าระเบิดพลัง มีพลังถึงระดับแปลงจิตหรือไม่” อันหลินโพล่งถามขึ้นมา

หยินอวี่ชะงัก จากนั้นก็ตอบอย่างจริงจังว่า “น่าจะ…มีความสามารถราวๆ กึ่งแปลงจิตกระมัง”

จากนั้นนางก็เห็นสายตาดูแคลนของอันหลิน

นางไม่พอใจขึ้นมาทันที “เจ้า…ระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณ ระเบิดพลังกึ่งแปลงจิตได้นับว่าสุดยอดแล้วไหมเล่า!”

“นั่นสิ…” อันหลินพยักหน้า “ข้าเคยสังหารระดับแปลงจิตไปหลายชีวิตตั้งแต่อยู่ในระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นต้น ตอนนี้ขั้นปลายแล้ว ระดับแปลงจิตขั้นกลางน่าจะต้านทานกระบี่ของข้าไม่ได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว…”

หยินอวี่อึ้งไป

นางเหม่อมองอันหลิน มองสายตาที่เต็มไปด้วยความดูถูก รวมถึงอากัปกิริยาที่ดูไม่เหมือนกำลังโป้ปดของอันหลิน…

ในที่สุดนางก็ตระหนักได้ว่า อาจจะไม่ได้มีปัญหาด้านสติปัญญาเพียงอย่างเดียว อาจเป็นเพียงไก่อ่อนตัวหนึ่งด้วย…

สาวใช้ทั้งสองเข้าใจจุดประสงค์ที่อันหลินถามเช่นนี้แล้ว จึงตอบทันทีว่า “ข้ายอมมอบชีวิตของตัวเองให้แก่องค์หญิงเมื่อถึงคราวคับขัน!”

อันหลินพยักหน้า ความเข้าใจสาวใช้ระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นกลางทั้งสองสูงมากทีเดียว

หยินอวี่กึ่งแปลงจิต…ก็ไม่นับว่าเป็นตัวถ่วงแล้ว

สุดท้ายเขาก็ยอมให้หยินอวี่ติดตาม

“ไปกันเถอะ พวกเราไปตามหาเถาวัลย์ม่วงกับเลือดอิงหลงกันก่อน!”