บทที่ 57 หลี่หมิง
บทที่ 57 หลี่หมิง

เมืองหมอกสน ตระกูลหลี่ ศาลาบรรพชน

ศาลาบรรพชนเป็นสถานที่เก็บรักษายอดเคล็ดวิชาของตระกูลหลี่ที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบันและยาเม็ดวิญญาณต่าง ๆ ที่ใช้ในการฝึกฝนบ่มเพาะ

ผู้ใดที่ถูกส่งตัวมายังศาลาบรรพชนจะได้รับการฝึกอันแสนโหดคล้ายกับการมีชีวิตอยู่เลวร้ายยิ่งกว่าความตาย

อย่างไรก็ตาม ในหัวใจของสมาชิกตระกูลหลี่ ศาลาบรรพชนยังคงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในตระกูลและเป็นสถานที่ฝึกฝนที่พวกเขาต้องการเข้ามามากที่สุด ตราบใดที่พวกเขาสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้ ความเจ็บปวดจะนับเป็นอะไรได้กัน?

น่าเสียดายที่ศาลาบรรพชนเป็นศูนย์กลางสำคัญของตระกูลหลี่ นอกจากสมาชิกตระกูลสายหลักที่มีพรสวรรค์โดดเด่นแล้ว คนอื่น ๆ ล้วนไม่อาจก้าวเข้าไปในศาลาบรรพชนในช่วงชีวิตของพวกเขา

วันนี้ประตูศาลาบรรพชนที่ปิดสนิทมาหลายเดือนค่อย ๆ เปิดออก

ตึก! ตึก! ตึก!

เสียงฝีเท้าที่มั่นคงและทรงพลังดังก้องมาตามทางเดินลึกอันเงียบสงบของศาลาบรรพชน หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ชายหนุ่มคนหนึ่งก็เดินออกจากความมืด ชายหนุ่มผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหลี่หมิง ลูกชายคนสุดท้องของผู้นำตระกูลหลี่!

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้หลี่หมิงดูไม่เหมือนคนเดิมแม้แต่น้อย เสื้อผ้าของเขามอมแมม ผมของเขาเป็นกระเซิงดูเหมือนไม่ได้อาบน้ำมาสองสามเดือนแล้ว ผิวขาวของเขาหยาบกร้านและคล้ำแดด นัยน์ตาสามเหลี่ยมที่เคยดูขี้เล่นของเขาแปรเปลี่ยนเป็นมืดมนและเฉียบคมราวกับเหยี่ยว

“ความรู้สึกของการแข็งแกร่งขึ้นนั้นช่างวิเศษจริง ๆ”

เขากำหมัดแน่น ฝ่ามือที่เคยเรียบเนียนของเขาตอนนี้กลับหยาบหนา กระดูกข้อมือใหญ่และดูแข็งแกร่ง เมื่อเขากำหมัดแน่น กลิ่นอายอันดุดันพวยพุ่งออกจากร่างกายของเขาในทันที

“นายน้อย ท่านผู้นำเรียกท่านเข้าพบ” หัตถ์เหล็กซึ่งซ่อนกายอยู่ในเงามืดเอ่ยด้วยเสียงที่เล็กแหลมและชั่วร้ายราวกับงูพิษที่สะบัดลิ้นของมันขณะซ่อนตัวอยู่ในเงามืด

“ลุงหัตถ์เหล็กได้โปรดนำทาง” หลี่หมิงกล่าวด้วยท่าทีเคารพ เมื่อเขามีความแข็งแกร่ง ในที่สุดเขาก็เข้าใจถึงความน่ากลัวของการฝึกฝนของหัตถ์เหล็กผู้เต็มใจที่จะเป็นเงาคอยติดตามพ่อของเขาตลอดเวลา

ห้องโถงใหญ่ตระกูลหลี่

หลี่อี้เจิ้นนั่งตัวตรงอยู่ในตำแหน่งตรงกลาง ทั้งสองข้างของเขามีเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลหลี่ ทุกคนต่างจ้องมองไปที่หลี่หมิงอย่างพร้อมเพรียงเมื่อเห็นเด็กหนุ่มเดินเข้ามา

หลี่หมิงรู้สึกได้ถึงอาการตกใจและความไม่เชื่อในสายตาของเหล่าผู้อาวุโส ‘ความรู้สึกนี้ช่างวิเศษเหลือเกิน…’ เขารู้สึกเบิกบานมากแต่ภายนอกยังคงท่าทีสงบ ฝีเท้าของเขาก้าวไปอย่างไม่เร่งรีบ หลังจากทำความเคารพและทักทายทุกคนแล้ว เขาก็นั่งลงอย่างเงียบ ๆ บนที่นั่งที่เป็นของเขา

“เวลาสามเดือนบรรลุถึงขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์จากขอบเขตสร้างรากฐาน ไม่เลว ไม่เลว”

ผู้อาวุโสใหญ่หลี่เฟิงถูกล่าวขึ้นก่อน สีหน้าของเขาเผยให้เห็นถึงความพึงพอใจขณะที่เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้หลี่ไฮว่ได้ติดตามคุณหนูซูเข้าสู่ดินแดนรกร้างใต้พิภพเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้ว ตอนนี้เขาคงได้พบที่พำนักของเซียนกระบี่เรียบร้อย ที่เหลือก็คือได้แต่หวังว่าเขาจะนำโชคใหญ่กลับมาสู่เรา อี้เจิ้นเจ้านำลูกชายสองคนที่ดีมาสู่ตระกูลเราจริง ๆ!”

“ผู้อาวุโสท่านชมเกินไปแล้ว” หลี่อี้เจิ้นมีความสุขอย่างยิ่งที่ได้รับคำชมจากผู้อาวุโสใหญ่

หลี่เฟิงถูยิ้ม แต่แล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง “ที่จริงแล้ว วันนี้ข้าได้เรียกทุกคนมาที่นี่ เพื่อที่จะลงมติเลือกผู้สืบทอดตระกูลหลี่ของเรา แม้ว่าหลี่หมิงจะไม่เลว แต่เขาก็ยังเด็กอยู่เล็กน้อยและค่อนข้างห่างเหินกับหลี่ไฮว่ ข้าจึงขอแนะนำให้หลี่ไฮว่เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลหลี่ในอนาคตของเรา ทุกคนคิดเห็นอย่างไร?”

“ผู้อาวุโสใหญ่ ความคิดของท่านนั้นบรรเจิดดุจดั่งคบเพลิงในความมืด หลี่ไฮว่ไม่เลวเลย ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์หรือสติปัญญาต่างก็โดดเด่นกว่าคนรุ่นเดียวกัน”

“ใช่ ข้าตกลงให้หลี่ไฮว่สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต”

“ฮ่า ๆ! แน่นอน มันควรจะเป็นหลี่ไฮว่ หลังจากที่เขากลับมาจากดินแดนรกร้างใต้พิภพในครั้งนี้ เขาอาจจะได้หัวใจของคุณหนูซูมาด้วยก็เป็นได้ ซึ่งนั่นจะช่วยทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลหลี่กับตระกูลซูดีขึ้น เมื่อพวกเขาแต่งงานกัน สถานะของตระกูลหลี่ก็จะทะยานสู่ฟ้าภายในพริบตา!”

ผู้อาวุโสทุกคนต่างเห็นด้วยกับความคิดเห็นของหลี่เฟิงถู

หลี่หมิงที่นั่งอยู่อย่างเงียบ ๆ รู้สึกอึดอัดใจอย่างมากเมื่อเห็นสิ่งนี้

ถ้าเป็นในอดีต เขาคงจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้เพราะเขาอ่อนแอเกินไป จึงไม่อาจเทียบได้กับอัจฉริยะอย่างหลี่ไฮว่ซึ่งได้รับความโปรดปรานจากเหล่าทวยเทพ

แต่ตอนนี้มันแตกต่างออกไป เขามีความแข็งแกร่งที่น่าเกรงขามแล้ว แม้ว่าตอนนี้จะยังด้อยกว่าหลี่ไฮว่ แต่ใครจะมั่นใจได้ว่าในอนาคตเขาจะไม่แซงหน้าพี่ชายตนเอง?

“ในเมื่อทุกคนเห็นด้วย…เช่นนั้นก็หลี่ไฮว่… หืม?” ผู้อาวุโสหลี่เฟิงถูยังพูดไม่ทันจบ ประตูห้องโถงใหญ่กลับถูกผลักเปิดออกอย่างหยาบคาย

ผู้ดูแลอู๋พุ่งเข้ามาอย่างเร่งร้อน สีหน้าของเขาดูตื่นตระหนกหวาดกลัว จากนั้นคุกเข่าลงบนพื้นก่อนจะตะโกนเสียงดัง “ผู้อาวุโส! ผู้อาวุโสทั้งหลาย! หายนะบังเกิดแล้ว! ตะเกียงวิญญาณชีวิตของนายน้อยหลี่ไฮว่… ดับลงแล้ว!”

เพล้ง!

ถ้วยน้ำชาในมือของหลี่อี้เจิ้นตกลงบนพื้นและแตกเป็นเสี่ยง ๆ

หลี่ไฮว่ตายแล้ว?

ใบหน้าของทุกคนมืดหม่นลง ทันใดนั้นบรรยากาศภายในห้องโถงใหญ่ก็เงียบสงัดราวกับป่าช้า

พวกเขาเรียกประชุมในครั้งนี้เพื่อยืนยันสถานะของหลี่ไฮว่ในฐานะผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลคนต่อไป แต่ยังไม่ทันได้ประกาศแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ ข่าวการตายของหลี่ไฮว่กลับมาถึงก่อน ใครบ้างจะสามารถยอมรับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันแบบนี้ได้?

“เป็นไปได้หรือไม่ว่าเกิดอุบัติเหตุขึ้นภายในดินแดนรกร้างใต้พิภพ?”

“มันจะเป็นไปได้อย่างไร? หลี่ไฮว่เดินทางไปกับคุณหนูซู และยังมีอีกสองสามคนที่มาจากขุมกำลังยิ่งใหญ่ของเมืองทะเลสาบมังกรร่วมกลุ่มไปด้วยกับพวกเขา หลี่ไฮว่จะประสบภัยพิบัติได้อย่างไร?”

“บัดซบที่สุด!! ถ้าข้ารู้ว่าใครฆ่าลูกชายของข้า ข้าจะทำลายล้างทั้งตระกูลของไอ้คนผู้นั้นอย่างแน่นอน!”

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เสียงตะโกนโกรธจัดก็ดังขึ้นภายในห้องโถงใหญ่

“หุบปาก!”

หลี่เฟิงถูตวาดลั่นและเมื่อเขาเห็นทุกคนหุบปากแล้ว ชายชราจึงพูดอย่างเย็นชาว่า “ทุกคนรู้ดีว่าการทดสอบดินแดนรกร้างใต้พิภพมีระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน ผู้บ่มเพาะทุกคนในนั้นจะถูกเคลื่อนย้ายออกมาและมีเพียงคนที่เข้าไปในที่พำนักของเซียนกระบี่เท่านั้นที่จะสามารถอยู่ในดินแดนรกร้างใต้พิภพได้ต่อไป”

“ดินแดนรกร้างใต้พิภพจะเปิดอีกครั้งก็คือสามปีต่อจากนี้ ดังนั้นต่อให้เราจะแค้นมากแค่ไหน เราก็ไม่สามารถเห็นตัวผู้สังหารหลี่ไฮว่ได้อีกสามปี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ การพูดถึงเรื่องนี้ในเวลานี้จะมีประโยชน์อันใด?”

“ผู้อาวุโสใหญ่ท่านหมายความว่าอย่างไร” หลี่อี้เจิ้นอดทนต่อความเศร้าโศกจากการสูญเสียลูกชายของเขาและเอ่ยถามกลับด้วยเสียงแหบต่ำ

“เรื่องเร่งด่วนในตอนนี้คือการเลือกผู้ที่จะสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต เนื่องจากหลี่ไฮว่ตกตายไปแล้ว ผู้ที่สมควรได้รับตำแหน่งนี้คนถัดมาก็คือหลี่หมิง” หลี่เฟิงถูหายใจเข้าลึกและพูดย้ำคำชัด “ทุกท่าน การสูญเสียสมาชิกตระกูลนั้นน่าเศร้า แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือเราทุกคนต้องไม่จมอยู่กับความเศร้าโศกจนละเลยเรื่องสำคัญและทำให้คนรอบข้างเราทุกข์ใจ รวมไปถึงการทำให้ศัตรูพึงพอใจ!”

“ใช่!” สีหน้าของทุกคนเคร่งขรึมเมื่อพวกเขาได้ยินประโยคนี้

หลี่หมิงรู้สึกไม่อยากจะเชื่อเล็กน้อยกับฉากที่เกิดขึ้นตรงหน้า ‘นี่ข้ากลายเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำคนตระกูลคนต่อไปง่ายดายแบบนี้เนี่ยนะ?’

เขาไม่ได้โศกเศร้าหรือมีความสุขเกี่ยวกับการตายของหลี่ไฮว่เพราะเขาอยู่ใต้เงาของหลี่ไฮว่มาตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้องจึงไม่ค่อยดีนัก

แต่เมื่อคิดว่าตนเองจะได้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำคนถัดไปเพราะการตายของหลี่ไฮว่ หลี่หมิงก็รู้สึกราวกับตนเองเพิ่งกินแมลงวันเข้าไป เขารู้สึกชิงชังอย่างยิ่ง

นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ!

หลี่หมิงคำรามในใจ ข้ามีความแข็งแกร่งอยู่แล้วและไม่ได้ด้อยกว่าหลี่ไฮว่ วันนั้นจะมาถึงเมื่อข้าพิสูจน์ให้ทุกคนเห็น!

“หลี่หมิง!”

เสียงของผู้อาวุโสใหญ่ดังเข้าหู ปลุกหลี่หมิงตื่นขึ้นจากห้วงความคิดที่วุ่นวาย จากนั้นเขาลุกขึ้นยืนและประสานมือ “ขอรับผู้อาวุโสใหญ่!”

“เจ้าอย่าคิดว่า วันนี้เจ้าได้รับเลือกให้สืบทอดตำแหน่งผู้นำคนถัดไปแล้วตำแหน่งของเจ้าจะมั่นคงตลอดกาล หลังจากนี้เจ้ายังต้องพิสูจน์ว่าตัวเองควรค่ากับตำแหน่งที่ได้รับด้วยความแข็งแกร่งของตัวเองให้ทุกคนในตระกูลได้ประจักษ์ มีเพียงการได้รับการยอมรับจากทุกคนเท่านั้นเจ้าจึงจะมีคุณสมบัติเพียงพอ!” ผู้อาวุโสใหญ่พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

สายตาของหลี่หมิงกวาดมองไปยังพ่อของเขาและผู้อาวุโสคนอื่น อารมณ์อันพลุ่งพล่านทำให้เขาพูดออกไปอย่างหนักแน่น “ท่านพ่อ ผู้อาวุโสทั้งหลาย ข้าจะไม่ทำให้พวกท่านทุกคนผิดหวังในตัวข้า!”

หลังจากพูดประโยคนี้ หลี่หมิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกัดฟันและพูดต่อ “พี่ชายของข้าล่วงลับไปแล้ว ดังนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปข้าได้ตัดสินใจที่จะแทนที่เขาไม่ใช่แค่สถานะของผู้นำตระกูลคนถัดไป แต่ข้ายังต้องการแต่งงานกับคุณหนูซูแห่งเมืองทะเลสาบมังกรด้วย!”

“โอ้ แล้วเจ้าวางแผนจะทำอย่างไรให้สำเร็จ?” ดวงตาของหลี่เฟิงถูฉายแววประหลาดใจชั่วครู่

“เนื่องจากตระกูลซูตกลงกับเราว่าตราบใดที่เราทำให้ตระกูลเฉินอับอายจนตกตายไปทั้งหมด พวกเขาจะยกคุณหนูซูให้กับตระกูลหลี่ของเรา ข้าจะเริ่มจากเรื่องนี้!”

หลี่หมิงตอบโดยไม่ลังเล “แน่นอน ถึงแม้แผนนี้จะไม่ได้ใหม่อะไรเพราะพี่หลี่ไฮว่ดำเนินการตามแผนนี้มาโดยตลอด แต่ได้โปรดสบายใจเถอะ ผู้อาวุโสใหญ่ ข้าจะโหดร้ายและดีกว่าพี่ชายของข้า ตราบใดที่มีใครยุ่งเกี่ยวกับตระกูลเฉิน ข้าจะไม่ปล่อยคนเหล่านั้นให้รอดไปสักคน!”

“เจ้ามีเป้าหมายแล้วหรือยัง?” หลี่เฟิงถูยังคงถามต่อไป

“ข้ามีแล้ว! เจ้าของร้านค้าตระกูลจางในเมืองหมอกสน นักสร้างยันต์ทั้งหมดที่อยู่ในสังกัดของเขาและเพื่อนบ้านทั้งหมดภายในรัศมีหนึ่งร้อยจั้งจากบ้านของเฉินซี”

ความบ้าคลั่งปรากฏขึ้นในดวงตาของหลี่หมิง “ข้าต้องการให้พวกเขาตายทั้งหมด! และข้าก็จะบอกทุกคนในเมืองหมอกสนว่าพวกเขาตายเพราะเฉินซี! ข้าต้องการให้ทุกคนรู้ว่าแม้พวกเขาจะมีความสัมพันธ์กับเฉินซีเพียงเล็กน้อย พวกเขาก็ต้องเผชิญกับความตายและการทำลายล้าง!”

ช่างเป็นนิสัยที่โหดเหี้ยมและรุนแรงยิ่งนัก!

เหล่าผู้อาวุโสต่างพากันอ้าปากค้าง พวกเขาอดไม่ได้ที่จะกังวลเมื่อมองไปที่หลี่หมิง คนอารมณ์เช่นนี้เหมาะหรือที่จะให้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูล?

“ดี!”

ผู้อาวุโสใหญ่หลี่เฟิงถูเงียบไปนานก่อนจะปรบมือและยกย่องอย่างไม่คาดฝัน “ผู้แพ้ผิดเสมอ มีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะได้รับการยกย่อง ตราบใดที่มันเป็นประโยชน์ต่อตระกูลหลี่ มันก็คุ้มค่าแม้ว่าวิธีการของเจ้าจะโหดร้ายกว่านี้ร้อยเท่า!”

ก่อนหน้านี้หลี่หมิงกังวลเหมือนกันว่าแผนการของเขาจะโหดเหี้ยมเกินไปจนผู้อาวุโสทั้งหลายรับไม่ได้ แต่ตอนนี้เขามีความสุขมากเมื่อได้รับการยอมรับจากผู้อาวุโสใหญ่ เขาประสานมือพร้อมกับโค้งกายเล็กน้อยและพูดว่า “ได้โปรดอย่ากังวลผู้อาวุโสใหญ่ แผนนี้ไม่ใช่แค่เพื่อประโยชน์ในการได้แต่งงานกับซูเจียว แต่รวมถึงการเพิ่มความน่าเกรงขามและการขยายอำนาจของตระกูลหลี่ในอนาคต ข้าจะจัดการกับเฉินซีจนกว่าตระกูลซูจะพอใจ!”

ขณะที่พูด ความเสียใจก็ผุดขึ้นในใจของหลี่หมิงเมื่อนึกถึงเรื่องที่เฉินฮ่าวได้ออกไปจากเมืองหมอกสนแล้ว ‘ฮึ่ม! รอดตัวไป ไม่อย่างนั้นข้าจะให้ไอ้สารเลวนั่นเห็นพี่ชายของมันค่อย ๆ ถูกข้าทรมานและทำให้อับอายจนตาย…’

“ตามที่ข้ารู้ เฉินซีได้ติดตามตู้ชิงซีเพื่อเข้าสู่ที่พำนักของเซียนกระบี่และเขาอาจจะไม่ปรากฏกายในอีกสามปีข้างหน้า ช่วงเวลานี้เราพอจะทำอะไรได้หลายอย่าง หลี่หมิง เจ้าเข้าใจที่ข้าหมายถึงหรือไม่?” หลี่เฟิงถูถาม

หลี่หมิงพยักหน้า

หลี่เฟิงถูพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ไป! หากเจ้าสามารถจัดการเรื่องนี้ได้อย่างเหมาะสมและทำให้ตระกูลซูพึงพอใจ ด้วยสถานะผู้อาวุโสใหญ่ของข้า ข้ารับประกันว่าตำแหน่งผู้นำตระกูลคนถัดไปจะต้องเป็นของเจ้าอย่างแน่นอน!”

“ขอรับ!”

หลี่หมิงสูดหายใจเข้าลึกแล้วหันหลังจากไป เขารู้ว่านี่เป็นการทดสอบสำหรับเขาและในขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับเขาที่จะเปลี่ยนชะตากรรมของตัวเอง