ตอนที่ 267 เกิดเรื่อง

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

หลี่ซื่อได้ยินแล้วก็ดีใจแทนโจวชูจิ่นเป็นอย่างยิ่ง “…เป่าติ้งอยู่ไม่ไกลจากจิงเฉิง ถึงตอนนั้นเจ้าคงได้กลับมาเยี่ยมบ้านเดิมบ่อยๆ แล้ว”

โจวเสาจิ่นไม่ได้กล่าวอะไร รอจนกระทั่งตอนที่เดินไปห้องทางการ[1]เป็นเพื่อนโจวชูจิ่นถึงได้กระซิบถามพี่สาวว่า “เกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรที่ตระกูลเลี่ยวหรือเจ้าคะ นี่ช่างไม่เหมือนกับสิ่งที่เคยคุยกับพวกเราเอาไว้ก่อนหน้านี้เลยสักนิด”

นอกจากนี้ก็ไม่เหมือนกับชาติก่อนด้วยเช่นกัน

ชาติก่อนหลังจากที่พี่เขยล้มเหลวจากการสอบในครั้งนี้ ฟางซื่อก็มีเรื่องกับคนของตระกูลเลี่ยวครั้งหนึ่ง ถึงกับต้องขออาศัยกำลังของตระกูลเฉิงถึงทำให้เลี่ยวเส้าถังได้ไปศึกษาอยู่ในสำนักศึกษาหลวงและพาโจวชูจิ่นตามไปอยู่ที่จิงเฉิงด้วย เลี่ยวเส้าถังและโจวชูจิ่นอาศัยอยู่ในบ้านของตระกูลเลี่ยวที่จิงเฉิงโดยตลอด กระทั่งโจวเสาจิ่นย้อนเวลากลับมา พวกเขาก็ไม่ได้ไปอยู่ที่อื่น

ผู้หนึ่งเป็นมารดาเลี้ยง ผู้หนึ่งเป็นป้าสะใภ้ จะเทียบกับน้องสาวที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตั้งแต่เด็กได้อย่างไร นอกจากนี้น้องสาวผู้นี้ก็มิใช่คนที่รับผิดชอบภาระอะไรไม่ได้อย่างเมื่อก่อนแล้ว อยู่ต่อหน้ามารดาเลี้ยงกับป้าสะใภ้โจวชูจิ่นแจ้งแต่เรื่องน่ายินดีไม่แจ้งเรื่องที่น่าเป็นกังวล แต่อยู่ต่อหน้าน้องสาวของตัวเองนางไม่จำเป็นต้องปิดบังเอาไว้

“พ่อสามีลอบเอาเงินจากคลังกองกลางออกไปทำการค้ากับผู้อื่น แต่ใครจะรู้ว่าคนผู้นั้นกลับหอบเงินหนีไป ตระกูลเลี่ยวไม่กล้าเปิดเผยออกไป ได้แต่ตามหาคนอย่างเงียบๆ ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้เบาะแสอะไรเลย” หัวคิ้วของโจวชูจิ่นขมวดมุ่นเป็นปมน้อยๆ ใช้สบู่ถั่วขัดมือไปด้วย กดเสียงลงต่ำกล่าวเสียงเบาไปด้วยว่า “หากมิใช่เพราะมีงานแต่งงานของข้ากับพี่เขยของเจ้าในครั้งนี้ เกรงว่าตระกูลเลี่ยวหลายบ้านคงมีปากเสียงกันอย่างเปิดเผยไปนานแล้ว แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ จะเร็วจะช้าเรื่องนี้ก็ต้องระเบิดออกมาสักวันหนึ่งอยู่ดี ความหมายของแม่สามีข้าก็คือ ต่อให้สามีของข้าจะไม่มีหวังแล้ว แต่ก็ไม่อาจลากข้ากับพี่เขยของเจ้าเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ให้พวกข้าไปอยู่ที่จิงเฉิงเสียแต่เนิ่นๆ ต่อไปเรื่องของตระกูลเลี่ยวที่เจิ้นเจียงก็ให้ทำเสมือนว่าไม่รู้เรื่องไปเสีย”

ไม่ว่าจะเป็นชาติก่อนหรือชาตินี้ นี่นับเป็นครั้งแรกที่โจวเสาจิ่นได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้

ถึงว่าชาติก่อนตระกูลเลี่ยวไม่พึงพอใจในตัวพี่เขยมาโดยตลอด ทุกครั้งที่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็จะเอะอะขึ้นมาว่าต้องการเปลี่ยนตัวทายาทผู้สืบสกุล

“แล้วพวกท่านจะไปอยู่ที่ไหนหรือเจ้าคะ” นางรีบกล่าว “เกรงว่าพี่เขยอาจจะต้องสอบอีกครั้งหนึ่ง แล้วเรื่องค่าใช้จ่ายจะทำอย่างไร”

ชาติก่อน บ้านของตระกูลเลี่ยวที่จิงเฉิงล้วนต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากพี่เขยและพี่สาวทั้งสิ้น สถานะทางการเงินของพวกเขาจึงไม่ค่อยดีนัก พี่สาวถึงกับเคยขายเครื่องประดับมาก่อน

โจวชูจิ่นได้ยินแล้วสีหน้าเปลี่ยน กล่าวขึ้นว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าการสอบครั้งนี้พี่เขยเจ้าจะสอบไม่ผ่าน”

โจวเสาจิ่นอยากจะปิดปากของตัวเองให้แน่นยิ่งนัก

คุ้นชินกับการที่ไม่ว่าอยากพูดอะไรก็พูดได้กับท่านน้าฉือไปแล้ว พอมาอยู่ต่อหน้าคนที่ทำให้นางรู้สึกเชื่อใจและพึ่งพาได้เหมือนกันอย่างพี่สาว เวลาพูดจานางจึงลืมระวังตัวอย่างที่ทำเป็นประจำไปเสีย

โชคดีที่ช่วงนี้นางได้พบพานกับเรื่องราวมามากมายหลายเรื่อง ความสามารถจึงค่อยๆ เปลี่ยนไปบ้างแล้ว

“ตระกูลเลี่ยวเกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ พี่เขยจะมีแก่ใจอ่านตำราอย่างสงบได้อย่างไร” โจวเสาจิ่นกล่าว “ข้าเพียงแต่รู้สึกว่าในเมื่อท่านพี่กับพี่เขยต้องไปอยู่จิงเฉิง เรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ ก็น่าจะต้องคำนวณเผื่อเอาไว้ให้มาก”

โจวชูจิ่นโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง แต่หลังจากนั้นหัวคิ้วก็ขมวดเป็นปมขึ้นมาอีกครั้ง

สภาพจิตใจของสามีเป็นอย่างไรนางรู้ดี

นางเองก็กังวลใจเหมือนกับโจวเสาจิ่น และรู้สึกว่าการสอบขุนนางในครั้งนี้ของสามีไม่ค่อยราบรื่นแปดถึงเก้าในสิบส่วน

“พวกข้าตั้งใจไว้ว่าจะพักอยู่ในบ้านที่แม่สามีมอบให้พวกข้าหลังนั้น” โจวชูจิ่นกล่าว “เช่นนี้ค่าใช้จ่ายต่างๆ ก็น่าจะน้อยลงบ้างเล็กน้อย”

โจวเสาจิ่นพยักหน้า ยังอยากจะเสนอความคิดเห็นให้พี่สาวอีกสักสองสามข้อ ทว่ามีบ่าวสูงวัยอยู่ด้านหน้ากล่าวกับพวกนางยิ้มๆ ว่า “ต้ากูไหน่ไน[2] คุณหนูรอง งานเลี้ยงใกล้จะเริ่มแล้วเจ้าค่ะ”

สองพี่น้องจำต้องจบบทสนทนาลง

หลังจากกราบไหว้บรรพชนของตระกูลโจวเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกนางไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากวนที่ซอยจิ่วหรู

เมื่อตระกูลเฉิงจวนหลัก จวนรอง จวนสาม และจวนห้าทราบเรื่อง ไม่เพียงส่งของขวัญมาให้ ยังพากันมาเชิญเลี่ยวเส้าถังไปกินข้าวตามๆ กันด้วยคนแล้วคนเล่า

นี่เป็นการให้หน้าแก่เลี่ยวเส้าถัง แล้วก็เป็นการให้หน้าแก่จวนสี่และตระกูลโจวด้วย เลี่ยวเส้าถังย่อมไม่อาจปฏิเสธได้

ถัดจากนั้นอีกหลายวันโจวชูจิ่นและเลี่ยวเส้าถังต่างเข้าๆ ออกๆ หลายจวนที่ซอยจิ่วหรู แม้แต่โจวเสาจิ่นและหลี่ซื่อก็ได้ตามเข้าไปที่ซอยจิ่วหรูด้วยหลายครั้ง

แต่โจวเสาจิ่นล้วนไม่ได้เจอเฉิงฉือ

งานเลี้ยงของจวนหลัก เป็นฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่ออกหน้ามาต้อนรับ

ท่านน้าฉือไปทำอะไรอีกแล้วนะ

ไม่รู้ว่านางจะหยิบเอาเรื่องนี้มาพูด ให้เฉิงฉือรับปากนางอีกหนึ่งเรื่องได้หรือไม่

เช่นนี้ยามมีเรื่องอะไรนางก็จะได้ดึงเอาธงคำว่า ‘คำสัญญา’ นี้ออกมาโบกได้

โจวเสาจิ่นครุ่นคิดอยู่ในใจ

โดยไม่ได้ไปคิดอย่างถี่ถ้วนว่าเหตุใดตนถึงได้คาดหวังให้เฉิงฉือให้คำสัญญากับตัวเองอีกหนึ่งครั้งไปทำไม

รู้แต่ว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ โจวชูจิ่นและเลี่ยวเส้าถังจึงไม่อาจกลับเจิ้นเจียงตามกำหนดได้

โจวชูจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่เป็นไร! ตระกูลเลี่ยวปรารถนาให้พวกข้ากับตระกูลเฉิงใกล้ชิดกันให้มากยิ่งขึ้น”

โจวเสาจิ่นเห็นท่าทางราวกับได้รับเกียรติของบรรดาสาวใช้ บ่าวสตรีแต่งงานแล้ว บ่าวสูงวัย และพวกพ่อบ้านของตระกูลเลี่ยวที่ตามมารับใช้เหล่านั้นแล้ว ก็รู้ว่าไม่ผิดไปจากสิ่งที่พี่สาวกล่าวเลย จึงวางใจลงมาได้

กระทั่งพบปะกับญาติมิตรฝั่งตระกูลเฉิงเรียบร้อยแล้ว โจวชูจิ่นและเลี่ยวเส้าถังก็จัดเก็บหีบสัมภาระ เตรียมตัวกลับเจิ้นเจียง

นับตั้งแต่ย้อนเวลากลับมา นี่เป็นครั้งแรกที่โจวเสาจิ่นได้พบกับเลี่ยวเส้าถังผู้เป็นพี่เขย

รูปร่างผอมสูง ดวงหน้าฉลาดเฉลียว มารยาทเรียบร้อย ท่าทางจริงจังและสงบเสงี่ยม เปรียบเทียบกับเลี่ยวเส้าถังในความทรงจำแล้ว ดูอ่อยวัยกว่า และสุขุมน้อยกว่า

โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นหัวเราะอย่างห้ามไม่อยู่

เลี่ยวเส้าถังไม่รู้ว่าน้องสาวภรรยาหัวเราะอะไร ดวงหน้ามีความขัดเขินสายหนึ่งวาบผ่าน คุยกับโจวเสาจิ่นไปเพียงไม่กี่ประโยคก็เดินจากไปอย่างอึดอัด

โจวชูจิ่นหยิกแก้มของโจวเสาจิ่น กล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าหัวเราะอะไร”

“ไม่ได้หัวเราะอะไรเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นหลบมือของพี่สาว กล่าวขึ้นว่า “ข้าได้เจอพี่เขย ก็เลยรู้สึกดีใจเจ้าค่ะ!”

โจวชูจิ่นหน้าขึ้นสีแดงเรื่อ กล่าวเสียงเบาว่า “เขา…เขาดีกับข้ามากจริงๆ”

โจวเสาจิ่นทราบดีอยู่แล้ว ฉะนั้นจึงไม่ได้ถามโจวชูจิ่นว่าชีวิตหลังแต่งงานเป็นอย่างไรบ้าง

โจวชูจิ่นกลับกังวลใจเรื่องอนาคตของโจวเสาจิ่น “เจ้าตั้งใจจะตามฮูหยินกลับเมืองเป่าติ้งหรือ”

โจวเสาจิ่นถึงได้มีโอกาสเล่าเรื่องที่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนต้องการให้นางรั้งอยู่ที่นี่ต่อให้พี่สาวฟัง แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดกลับปิดบังเรื่องที่เฉิงฉือจะให้นางย้ายเข้าไปอยู่จวนหลักเอาไว้ไม่บอกพี่สาว

โจวชูจิ่นไม่ไว้ใจหลี่ซื่อมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว พอได้ยินแล้วก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ต่อไปหากข้าอยากส่งอะไรมาก็เพียงวานพ่อบ้านของตระกูลเฉิงก็ได้แล้ว”

โจวเสาจิ่นกลับรู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นถ้าท่านไปจิงเฉิงแล้วเอาขนมหวานของจิงเฉิงกลับมาฝากข้าสักหน่อยนะเจ้าคะ! ข้าได้ยินมาตั้งนานแล้วว่าขนมหวานของจิงเฉิงรสเลิศยิ่งนัก ข้ายังไม่เคยได้กินมาก่อนเลยเจ้าค่ะ!”

โจวชูจิ่นกำลังเสียใจเรื่องที่ต่อไปจะไม่ได้พบน้องสาวอีกเป็นเวลานาน แต่คิดไม่ถึงว่าในใจของน้องสาวกลับเปลี่ยนไปคะนึงถึงเรื่องของกินไปเสียแล้ว

นางหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “ตั้งแต่เช้ายันค่ำเจ้าก็ห่วงแต่เรื่องกิน!”

โจวเสาจิ่นหัวเราะร่า

โจวชูจิ่นไม่อาจไม่ยอมรับว่า เมื่อเห็นท่าทางร่าเริงและมีชีวิตชีวาของน้องสาวแล้ว ความกังวลใจของนางก็พลันมลายจางหายไปด้วย

ตกกลางคืน โจวชูจิ่นพักอยู่ที่ห้องของโจวเสาจิ่น สองพี่น้องพูดคุยกันทั้งคืน กระทั่งท้องฟ้าเริ่มสว่างแล้วถึงได้ไปงีบครู่หนึ่ง

กระทั่งรับมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองพี่น้องต่างพากันหาวตามๆ กัน

ฉือเซียงที่รับใช้อยู่ข้างๆ ขบขันไม่หยุด กล่าวขึ้นว่า “สะใภ้ใหญ่ ท่านอดทนอีกนิด เมื่อขึ้นเรือท่านก็จะได้นอนดีๆ สักตื่นหนึ่งแล้วเจ้าค่ะ”

ฉือเซียงเป็นเหมือนกับชาติก่อน เมื่อกลับไปแล้วจะได้หมั้นหมายกับหลี่ซื่อสี่บ่าวข้างกายของเลี่ยวเส้าถัง

ส่วนตงหว่านจะได้แต่งกับหม่าชื่อ

นึกถึงความเอาใจใส่ดูแลของสามีภรรยาทั้งสองคู่ที่มีต่อตัวเองแล้ว นางจึงมอบปิ่นทองให้ฉือเซียงและตงหว่านคนละหนึ่งคู่และเงินอีกสามสิบหลี่ยงเป็นรางวัล บอกว่าตอนที่พวกนางแต่งงานนั้นตนคงไม่ได้ไปร่วมงานเลี้ยง จึงมอบให้เป็นสินติดตัวของพวกนาง

ฉือเซียงและตงหว่านหน้าแกงก่ำจนเลือดเกือบจะหยดออกมาแล้ว รับของรางวัลมาอย่างขัดเขิน

ภรรยาของหม่าฟู่ซานเข้ามาแจ้งว่าขนหีบสัมภาระขึ้นเรือเรียบร้อยแล้ว “…ท่านบุตรเขยรอต้ากูไหน่ไนออกเดินทางอยู่เจ้าค่ะ”

ทันใดนั้นโจวชูจิ่นที่เมื่อครู่ยังร่าเริงอยู่ดีๆ ก็พลันมีน้ำตาร่วงลงมา

โจวเสาจิ่นเห็นแล้วก็ปวดใจ ขอบตาก็รื้นชื้นตามขึ้นมาด้วย

หลี่ซื่อที่เร่งตามมาส่งโจวชูจิ่นด้วยรีบเอ่ยขึ้นว่า “ต้ากูไหน่ไน คุณหนูรอง ท่านบุตรเขยยังรออยู่ที่ด้านนอก! อย่าร้องไห้จนใบหน้าเลอะไปหมดเช่นนี้เลย เจิ้นเจียงกับจินหลิงใช้เวลาเดินทางเพียงสามวันเท่านั้น ส่วนเป่าติ้งกับจิงเฉิงก็ยิ่งใกล้กัน วันนี้จากกันเพียงชั่วคราวเท่านั้น ต่อไปหากอยากพบหน้า ยังมีโอกาสอีกมาก อย่าร้องไห้อีกเลย!”

เนื่องจากโจวชูจิ่นมีนิสัยเข้มแข็งกว่าโจวเสาจิ่น จึงเช็ดน้ำตาที่หางตาอย่างรวดเร็ว เผยรอยยิ้มออกมา “เสาจิ่น เจ้ามีเรื่องอะไรก็อย่าลืมเขียนจดหมายมาบอกพี่สาว หรือไม่ก็ให้หม่าฟู่ซานไปจัดการให้ เขาฉลาดมีความสามารถ และซื่อสัตย์เชื่อถือได้ เป็นผู้ที่พึ่งพาได้ผู้หนึ่ง”

โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึก ไปส่งโจวชูจิ่นด้วยน้ำตาคลอจนถึงหัวสะพานเจียงเป่ย กระทั่งมองไม่เห็นเรือของโจวชูจิ่นแล้ว ถึงได้ร้องไห้ออกมาเบาๆ

ชุนหว่านกับปี้เถาปลอบโยนนางอยู่นาน นางถึงได้หยุดร้องไห้ และกลับถนนผิงเฉียว

หลี่ซื่อไม่ได้เจอหน้าบุตรสาวมาสามเดือนกว่าแล้ว คิดถึงบุตรสาวจนปวดใจไปหมด ปรารถนาจะจัดเก็บหีบสัมภาระแล้วกลับเมืองเป่าติ้งในทันที แต่เรื่องของโจวเสาจิ่นยังไม่เรียบร้อย ทางด้านซอยจิ่วหรูก็ยังไม่มีข่าวคราวอะไรมา นางพลันร้อนใจจนราวกับถูกแผดเผา

โจวเสาจิ่นเองก็รู้สึกแปลกเล็กน้อย

จากความคิดของนางแล้ว พอพี่สาวจากไป ซอยจิ่วหรูก็น่าจะส่งคนมารับนางแล้วถึงจะถูก เหตุใดถึงยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรอีกนะ

นางให้ชุนหว่านนำผ้าโพกศีรษะสองชิ้นที่นางเย็บให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเมื่อหลายวันก่อนไปส่งที่เรือนเจียซู่

ชุนหว่านกลับมาด้วยสีหน้าแปลกประหลาดเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง คุณชายรองอี้ถูกนายท่านใหญ่เหมี่ยนทำโทษ จนถึงวันนี้ก็ยังนอนขยับตัวไม่ได้อยู่บนเตียงเจ้าค่ะ! ข้าฟังจากน้ำเสียงนั้นของซื่อเอ๋อร์แล้ว นายหญิงผู้เฒ่าอยากจะรอให้คุณชายรองอี้ลุกจากเตียงได้ก่อนแล้วค่อยมารับท่านกลับไปเจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นตกใจเป็นอย่างมาก รีบเอ่ยขึ้นว่า “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดคุณชายรองอี้ถึงถูกทำโทษ แล้วอาการของเขาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”

ชุนหว่านกระซิบบอกนางว่า “เห็นว่าแม่นางจี๋อิ๋งได้รับคำสั่งจากนายท่านสี่ให้นำความไปแจ้งนายหญิงผู้เฒ่า ระหว่างทางได้พบกับคุณชายรองอี้ ไม่รู้ว่าคุณชายรองอี้ไปพูดอะไรกับนาง แม่นางจี๋อิ๋งผู้นั้น…พลันกรุ่นโกรธขึ้นมาในทันที กระทำการก้าวล่วงผู้เป็นนาย ถีบคุณชายรองอี้ไปกองกับพื้น…

…คุณชายรองอี้โกรธเป็นอย่างมาก รวบรวมบ่าวชายหมายจะไปคิดบัญชีกับแม่นางจี๋อิ๋ง…

…นายท่านใหญ่เหมี่ยนได้ยินแล้วโมโหจนเกือบจะเป็นลมล้มพับลงไป จับตัวคุณชายรองอี้กดไว้บนโต๊ะแล้วโบยไปห้าสิบที กล่าวว่าคุณชายรองอี้เป็นคุณชายผู้หนึ่ง ถูกสตรีตีลงไปกองกับพื้นยังไม่รู้จักละอาย สุดท้ายยังจะพาคนไปตีกลับอีก…เป็นบุรุษไม่อาจเป็นเช่นนี้ได้ จะต้องสั่งสอนคุณชายรองอี้ให้หลาบจำสักครั้งเจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นอ้าปากค้าง ไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไรออกมาดี

กระทั่งตกกลางคืนถึงได้นึกขึ้นได้ว่าควรจะส่งของจำพวกยาต่างๆ ไปให้เฉิงอี้ ก่อนเข้านอนจึงสั่งการให้ชุนหว่านไปเปิดห้องเก็บของ ห่อยาสมุนไพรจำพวกตังกุยและเทียนหมาเตรียมเอาไว้สำหรับส่งไปให้เฉิงอี้พรุ่งนี้

ใครจะรู้ว่านางยังไม่ได้ส่งของไปเลย ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ส่งคนมารับนางเข้าจวน บอกว่า “ฤกษ์แต่งของคุณหนูเซิงถูกกำหนดลงมาแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าต้องการเชิญคุณหนูรองเข้าจวนไปชี้แนะช่างปักปักฉากกั้นให้คุณหนูเซิงสองบานพับ”

โจวเสาจิ่นให้ชุนหว่านนำยาสมุนไพรตามนางไปที่เรือนหานปี้ซานด้วยกัน

ที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเงียบเชียบ ไม่แตกต่างไปจากยามปกติ

ปี้อวี้เห็นนางแล้วถึงกับหันมาขยิบตาให้นาง

โจวเสาจิ่นไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร ปี้อวี้ก็เลิกผ้าม่านขึ้นเชิญนางเข้าไปก่อนแล้ว

นางเข้าไปในเรือนหลักอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำลังเปลี่ยนชุด โจวเสาจิ่นนั่งรออยู่ในห้องรับรองครู่หนึ่ง

กระทั่งฮูหยินผู้เฒ่ากัวออกมา จับมือของนางเอาไว้เดินตรงไปยังด้านนอก “ได้ยินว่าอี้เกอเอ๋อร์อาการไม่ค่อยดี ไหนๆ เจ้าก็มาแล้ว คงจะกังวลใจไม่น้อยกระมัง เช่นนั้นก็ไปดูพร้อมข้าเลยก็แล้วกัน”

……………………..