ตอนที่ 113 กลับมาตอบแทนครอบครัว
หยุนเชวี่ยขานรับผู้เป็นแม่
เสี่ยวอู่รีบคว้ากระบวยตักน้ำจากอ่างไม้และส่งให้หยุนเชวี่ยทันที
“เจ้าวาดสิ่งใดอยู่รึ?” หยุนเชวี่ยถามพลางวักน้ำขึ้นล้างหน้า
“ตำราขงจื๊อ” เสี่ยวอู่เอ่ยตอบ
“เข้ามาใกล้ ๆ สิ” นางกระดกนิ้วเรียกเขาด้วยท่าทีแฝงเลศนัย
เสี่ยวอู่ยอมเดินเข้าไปหาแต่โดยดี
“ว่าแล้วเชียว เด็กน้อยเอ๋ย… เหตุใดจึงไม่ทำตัวไร้เดียงสาและตั้งคำถามให้มากเหมือนเด็กคนอื่นกัน?” หยุนเชวี่ยเบ้ปากเล็กน้อยด้วยอารมณ์เหนื่อยหน่าย
เสี่ยวอู่ไม่ปริปากเอ่ยคำใดขณะยื่นผ้าขนหนูให้หยุนเชวี่ยก่อนเทน้ำที่เหลือในอ่างรดลงสู่แปลงผัก
ระหว่างหยุนเชวี่ยกับเสี่ยวอู่ชักแยกไม่ออกเสียแล้วว่าใครที่ดูเป็นผู้ใหญ่กว่า
หยุนเชวี่ยตั้งใจจะบอกเสี่ยวอู่ว่าหากภายในสองวันนี้ตนสามารถขายบ๊วยดองจนหมดเกลี้ยง นางยินดีเจียดเงินบางส่วนเพื่อซื้อพู่กันสำหรับเขียนให้กับเขา แต่เมื่อเห็นท่าทางไม่ยินดียินร้ายเช่นนั้นแล้วจึงเปลี่ยนใจ
วันพรุ่งนี้หยุนเชวี่ยจะไปซื้อพู่กันมามอบเป็นของขวัญให้เสี่ยวอู่โดยไม่บอกกล่าวไว้ล่วงหน้า หากทำเช่นนั้นไม่แน่ว่าเสี่ยวอู่อาจประหลาดใจอยู่บ้าง
ห้องโถงใหญ่
อาหารมื้อเย็นวันนี้ยังคงมีลักษณะจืดจางและแข็งกระด้างไม่ชวนกินเช่นเดิม ในถ้วยยังคงเป็นซุปมะเขือยาวที่มีน้ำมันลอยเจิ่งอยู่บนผิวหน้า ส่วนเครื่องเคียงเป็นขนมปังซึ่งมีขนาดชิ้นเล็กกระจ้อยร่อย
“สะใภ้สาม ข้าจะอธิบายความเป็นตัวเจ้าให้สำเหนียกลงไปถึงแกนกระหม่อมเสียบ้าง เจ้าเองก็แต่งเข้าบ้านตระกูลหยุนมานานหลายปี หมูตัวเมียอวบอ้วนยังเกิดความคิดริจะปีนต้นไม้ ทว่าสตรีเช่นเจ้ากลับไม่คิดแม้แต่จะพัฒนาการปรุงอาหาร! ข้าช่างตามืดบอดเสียจริงที่คว้าบัวในตมเช่นเจ้ามาเป็นสะใภ้!” แม่เฒ่าจูตวาดดุด่าอย่างไม่สบอารมณ์ยิ่ง
แม่นางเฉินเพียงฉีกยิ้มอย่างไม่สะท้านสะเทือน “ท่านแม่โปรดสังเกตด้วย พี่สะใภ้ใหญ่และเยว่เอ๋อหยิบจับอาหารเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเพราะไม่ได้ทำงานบ้านมากสิ่ง ทว่าข้าเป็นผู้ทำงานในบ้านทั้งหมดแล้วเหตุใดจึงกินในปริมาณมากเพื่อชดเชยกันมิได้เล่า?”
“คนเช่นเจ้าไม่ต่างอะไรจากหมูที่นอนแน่นิ่งอยู่ในเล้า! หมูยังสามารถเชือดและนำเนื้อไปแล่ขายในวันตรุษได้ราคาดีกลับคืน แต่เจ้ากลับไร้ประโยชน์ยิ่งกว่าหมูเสียอีก! เช้าจรดเย็นข้าไม่เห็นเจ้าทำสิ่งใดนอกจากจ้องจะสวาปามเท่านั้น!” แม่เฒ่าจูพินิจรูปลักษณ์น่าอดสูของแม่นางเฉินแล้วให้นึกเจ็บแค้นยิ่ง
ในวันนั้นหากตระกูลเฉินไม่มีคารมคมคายที่ประเสริฐชวนฟังหรือเรียกสินสอดทองหมั้นมากกว่านี้เสียหน่อย แม่เฒ่าจูคงผลักไล่ไสส่งนางกลับไปแล้ว คงไม่ปล่อยให้สตรีที่ทั้งตะกละตะกลามและโง่เขลาเข้ามาทำให้วงศ์ตระกูลแปดเปื้อนเช่นนี้เป็นแน่
ไม่เพียงแม่นางเฉิน ทว่ายังเหมารวมถึงลูกสะใภ้อีกสองคนนั้นด้วย!
แม่นางจ้าวยินดีแต่งงานเข้าตระกูลหยุนเพียงเพราะหลงใหลในชื่อเสียงด้านบัณฑิตผู้เปี่ยมความรู้และมีอนาคตไกลเช่นบุตรชายคนโตของนางเท่านั้น ตระกูลของนางมิได้เรียกเอาสินสอดทองหมั้นตามประเพณีทว่ากลับลงทุนจ่ายทรัพย์สินเพื่อให้บุตรสาวได้เข้าพิธีแต่งงานกับหยุนลี่จงอย่างราบรื่น
ส่วนพ่อของแม่นางเหลียนเป็นผู้มาเจรจาสู่ขอหลังจากหยุนลี่จงแต่งงานได้ไม่นาน เวลานั้นหยุนลี่เต๋อลูกชายคนรองยังหนุ่มแน่นและหัวอ่อน แม่เฒ่าจูเกรงว่าหากปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้เขาอาจถูกรังแกจึงกัดฟันมอบเนื้อหมูตัวใหญ่ครึ่งตัวให้แก่ตระกูลเหลียนแทนสินสอด
เหตุการณ์ในวันนั้นเสียดแทงหัวอกของแม่เฒ่าจูทุกครั้งที่หวนนึกถึง ในบรรดาลูกสะใภ้ทั้งสาม นางต้องเสียทรัพย์สินเป็นสินสอดให้กับแม่นางเหลียนด้วยมูลค่าสูงที่สุด
เนื่องจากรับลูกสะใภ้ทั้งสามแต่งเข้าตระกูลหยุน แม่เฒ่าจูจึงต้องทุ่มเทเงินทองไปกับการเลี้ยงดูพวกนางมากขึ้น ทว่าพวกนางไม่อาจเป็นได้แม่แต่วัวและม้าที่คอยรับใช้เพื่อตอบแทนบุญคุณ!
ยิ่งคิดแม่เฒ่าจูก็ยิ่งโกรธเกรี้ยวเสียจนไม่อาจระงับโทสะไว้ได้
“กินข้าวเถิด” ผู้เฒ่าหยุนกล่าวเพื่อตัดบทก่อนหยิบตะเกียบขึ้น
เป็นเวลาสองวันแล้วที่ผู้เฒ่าหยุนผู้เคยมีร่างกายแข็งแกร่งกลับมีนัยน์ตาที่ไร้ซึ่งชีวิตชีวาและหม่นหมองลงทุกขณะ อารมณ์ขุ่นมัวตลอดทั้งวัน ทว่าไม่สบอารมณ์เพียงใดก็ได้แต่เก็บไว้ไม่ปริปากจนอัดอั้นเต็มกลืน
“ท่านพ่อ ข้าต้องการชิมรสสุราหมักเสียหน่อย ให้ข้ารินให้ท่านสักสองจอกดีหรือไม่?” หยุนลี่จงเอ่ยขึ้นด้วยต้องการเอาอกเอาใจ
“แล้วแต่เจ้าเถิด” ผู้เฒ่าหยุนโบกมือ
ทันทีที่หยุนลี่เซียวได้ยินเช่นนั้นจึงเกิดความโลภขึ้นมาบ้าง “พี่ใหญ่ โถสุรานั่นเป็นของพี่รอง ท่านลืมไปแล้วรึว่าเขาเคยกำชับนักหนาว่าจะเก็บไว้ดื่มภายหลัง ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถดื่มได้ทั้งนั้นแม้แต่พ่อของเขา!”
“เงียบปากแล้วกินข้าวซะ!” ผู้เฒ่าหยุนไม่ใส่ใจเก็บมาเป็นอารมณ์ ก่อนเลื่อนถ้วยตรงหน้าเข้าหาตัวและยกตะเกียบขึ้น
การกระทำเช่นนั้นเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกให้ทุกคนที่ร่วมโต๊ะเริ่มใช้ตะเกียบคีบอาหารได้
หยุนลี่จงตัดสินใจสงบคำไม่ต่อความยาว ด้วยในใจคาดหวังบางสิ่งบางอย่าง
ไม่นานมานี้ชายชราเพิ่งเจรจาขายที่ดินให้กับตระกูลกั๋วสำเร็จ แม้หยุนลี่จงยังไม่เห็นตัวเงินดังกล่าวแต่ยังเชื่อว่าผู้เป็นพ่อจะนำมันออกมาจัดการแบ่งแจกจ่ายให้ลูก ๆ ไม่ช้าก็เร็วอย่างแน่นอน
“จริงสิ ท่านแม่ ท่านได้ยินเรื่องราวเหล่านี้แล้วหรือยัง?” แม่นางจ้าวเกริ่นนำก่อนเอียงศีรษะไปทางแม่เฒ่าจูก่อนกล่าวต่อไปด้วยเสียงกระซิบ “เด็กเชวี่ยเอ๋อนั่น นางมีความสามารถทางการค้าที่น่าทึ่งนัก!”
“ข้าชราปานจะลงโลงอยู่แล้ว จะมีเวลานั่งอยู่ชิดขอบประตูนั่งฟังเสียงซุบซิบนินทาได้ทุกวี่วันเช่นเจ้าได้อย่างไร? รู้สิ่งใดก็เร่งพูดเข้า อย่ามัวเสียเวลาตีรอบพุ่มไม้!” แม่เฒ่าจูตะเบ็งเสียงใส่อีกฝ่ายอย่างนึกรำคาญ
“หยุนเชวี่ยเจ้าค่ะ นางและเด็กเหอยาโถวซึ่งอยู่ในกระท่อมท้ายหมู่บ้าน รวมถึงเหลียวชีจินและเผยเสี่ยวส้วยซึ่งเป็นเด็กในหมู่บ้านของเราเข้าไปในตัวเมืองอันผิงเพื่อทำการค้าขาย เพียงวันเดียวสามารถกอบโกยรายได้มากกว่าหลายร้อยเหรียญ!”
เสียงของแม่นางจ้าวไม่ดังนัก ทว่ามีหรือที่ผู้คนซึ่งนั่งอยู่ในห้องและบริเวณใกล้เคียงจะไม่ได้ยิน
“อะไรกัน?!” หยุนลี่เซียวเป็นคนแรกที่วางตะเกียบลงดังโครมด้วยความตกตะลึง “ภายในวันเดียว เด็กนั่นหาเงินได้หลายร้อยเหรียญอย่างนั้นหรือ?!”
แม่นางจ้าวพยักหน้า “ถูกแล้ว ข่าวนี้เล่าขานกันปากต่อปากกระจายไปทั้งหมู่บ้าน”
“นังเด็กเมื่อวานซืนนั่นมีความสามารถถึงเพียงนี้เลยเชียวรึ?” หยุนชิ่วเอ๋อกลอกตาครั้งหนึ่งด้วยไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เมื่อคิดถึงใบหน้าอีกฝ่ายก็อดขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความชิงชังไม่ได้
“แม่หม้ายเหลียวโพนทะนาใหญ่ว่าชีจินลูกชายของนางวิ่งกลับไปที่บ้านพร้อมด้วยเงินเหรียญเต็มถุงผ้า ทั้งยังซื้อซาลาเปาเนื้ออย่างดีกลับมาฝากนางอีกด้วย” แม่นางจ้าวยังคงเพิ่มเชื้อไฟต่อไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
ทันทีที่แม่นางเฉินได้ยินเรื่องนี้จึงเงยหน้าขึ้นทั้งที่มุมปากยังมีคราบน้ำมันจากอาหารเลอะทั่ว “นังเด็กไม่รักดีผู้นี้! ครั้งที่แล้วข้าเพียงขอให้นางแบ่งปันบ๊วยดองนางกลับเรียกร้องจะเอาเงินจากข้า ทว่ากลับแบ่งเงินให้แก่คนนอกตระกูลอย่างนั้นรึ?”
“แล้วใครว่าจะเป็นเช่นนั้นไปไม่ได้…” แม่นางจ้าวผู้รวบผมเป็นมวยตึงกล่าวพร้อมถอนหายใจ “ครอบครัวของพี่รองแยกตัวออกไปจากเราแล้ว เห็นทีพวกเขาคงไม่เห็นเราอยู่ในสายตาแล้วกระมัง”
“ต่อให้แยกครอบครัวออกไปแล้วอย่างไร? พวกเขายังใช้แซ่หยุนเช่นเดิม กล้าดีอย่างไรจึงค้าขายหาเงินและรวบรวมเงินไว้แต่เพียงผู้เดียว?!” หยุนชิ่วเอ๋อโยนขนมปังรังนกที่เพิ่งกัดกินเข้าไปเพียงครึ่งลงถังขยะ
“เขาสามารถหาเงินได้หลายร้อยเหรียญต่อวัน เช่นนั้นหากค้าขายติดต่อกันหนึ่งเดือนอาจมีเงินมากถึงหลายสิบตำลึง พวกเราจะร่ำรวยกันแล้ว!” หยุนลี่เซียวตบต้นขาของตนเสียงดัง “ท่านพ่อ เรียกพี่รองมาพูดคุยเสียหน่อยเป็นไร!”
ผู้เฒ่าหยุนเพียงขมวดคิ้วและไม่ปริปากเอ่ยคำใด
“ท่านพ่อ เหตุใดยังไม่เรียกพี่รองมาถามไถ่เล่า?” หยุนลี่เซียวเริ่มตะเบ็งเสียง
“เขาแยกครอบครัวออกไปแล้ว ดังนั้นเงินทุกเหรียญที่เขาสามารถเสาะหามาได้ทั้งหมดล้วนเป็นของเขา” ผู้เฒ่าหยุนตำหนิลูกชายคนที่สามอย่างไม่เห็นด้วย
ตามจริงแล้วหากชีวิตครอบครัวของลูกชายรุ่งเรืองตนควรแสดงความยินดี แต่ครั้งนี้ผู้เฒ่าหยุนกลับไร้ซึ่งความสุขกระทั่งริมฝีปากขมปร่าอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
หากผู้เฒ่าหยุนไม่ตัดสินใจแยกครอบครัวลูกชายคนรองออกไป สถานการณ์ในบ้านคงไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
“เฮ้อ…” ผู้เฒ่าหยุนผ่อนลมหายใจยาว
“นังเด็กเนรคุณ! อุตส่าห์มีหัวการค้าแต่กลับเอาเงินที่ได้มาปรนเปรอแก่คนนอกแทนมอบให้ตระกูลของตน ช่างน่ารังเกียจนัก!” หยุนชิ่วเอ๋อผุดลุกขึ้นยืนและกระทืบเท้าจากไป
“เจ้าจะทำสิ่งใด?!” ผู้เฒ่าหยุนคำรามลั่น
“ข้าจะไปเอาเรื่องนังเด็กนั่นให้แบ่งเงินให้กับตระกูลของเรา!”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! ทุกวันนี้ยังกระทำนิสัยทรามน่าอับอายไม่พออีกหรืออย่างไร?! แค่ก… แค่ก!” ผู้เฒ่าหยุนออกแรงทุบโต๊ะเสียงดัง
“ท่านพ่อ!” หยุนชิ่วเอ๋อกระทืบเท้าเร่า ๆ
ตัวหยุนชิ่วเอ๋อยังไม่มีชีวิตที่ดีพร้อมและเฉิดฉายให้เป็นที่น่าอิจฉาแก่คนรอบข้าง แล้วจะให้ทนเห็นเด็กผู้หญิงคนนั้นและครอบครัวกะโหลกกะลาของมันได้ดีไปก่อนตนได้อย่างไร?!
“กลับมานั่งที่เดิมซะ! หากกล้าขัดคำสั่งและออกไปจากห้องนี้ ต่อไปอย่าได้เรียกข้าว่าพ่ออีก!”
ครั้นได้ยินคำประกาศิตเช่นนั้นหยุนชิ่วเอ๋อจึงทำเพียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโกรธเคือง
ผู้เฒ่าหยุนไม่มีทางกลืนน้ำลายตนเองให้อับอายขายหน้า เขาเพิ่งเชิญครอบครัวของหยุนลี่เต๋อให้แยกครอบครัวออกไปด้วยตนเอง วันนี้เมื่อเห็นว่าลูกชายคนรองมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี หากคิดดึงหยุนลี่เต๋อกลับเข้ามาดังเดิมและขอเงินเหล่านั้นไว้บ้าง เมื่อผู้ใดรู้ข่าวและนำไปเล่าต่อจนเป็นที่โจษจันแล้วตนจะไม่ถูกจิกกัดลับหลังหรอกหรือ?
“ท่านพ่ออย่างโกรธน้องสาวไปเลย นางเพียงต้องหารผดุงความยุติธรรมที่ควรจะเป็นเท่านั้น” หยุนลี่จงสะบัดชายแขนเสื้อก่อนกล่าวต่อ “ไม่ว่าอย่างไรพวกเราล้วนแล้วแต่เป็นครอบครัวเดียวกัน กระดูกและเส้นเอ็นย่อมผสานเชื่อมเป็นหนึ่ง สิ่งที่น้องรองและครอบครัวทำอยู่นับว่าผิดมหันต์… ถึงแม้เขาจะมีช่องทางทำมาหากินทว่าควรบอกกล่าวพวกเราก่อนสักนิด ไม่อาจเก็บซ่อนเป็นความลับกระทั่งเรามารู้เอาภายหลังจากคนนอกเช่นนี้ แต่ถึงพูดไปก็คงเปล่าประโยชน์เสียแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าเคยให้คำมั่นว่าหากสอบรับราชการสำเร็จจะเลี้ยงดูพวกเขาอย่างดีมิให้บกพร่อง ทว่าสิ่งที่พวกเขาทำช่างเยือกเย็นยิ่ง… ท่านพ่อ พวกเราไม่ได้ไร้เหตุผลไปเสียทีเดียว ทั้งยังไม่ต้องการเงินจากเขา เพียงแค่ต้องการรูู้กลวิธีค้าขายจากเขาเท่านั้น ไม่แน่ว่าครอบครัวของเราอาจมีช่องทางการสร้างรายได้อื่นเพิ่มเติม ว่าอย่างไรขอรับ?”
แม่นางจ้าวนิ่งฟังและรีบพยักหน้าสนับสนุนเขาทันที “ท่านพ่อ ที่สามีข้ากล่าวล้วนเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล อย่างไรเขาก็ควรบอกกล่าวให้พวกเรารับรู้เสียหน่อย”
ส่วนหยุนลี่เซียวเพียงทำปากยื่นยาวพลางพ่นลมหายใจแรงอย่างเย็นชา “พี่รองร่ำรวยแล้ว ถึงเวลาที่เขาควรทำหน้าที่ลูกชายผู้กตัญญูและปรนนิบัติเลี้ยงดูท่านพ่อและท่านแม่อย่างเหมาะสม!”