ตอนที่ 164 ถามไถ่

ชายาเคียงหทัย

หานหมิงซีนั่งเงียบๆ อยู่ที่มุมหนึ่ง มองดูหญิงสาวที่นั่งสบายๆ ฟังความเห็นของผู้บัญชาการทหารทุกคนอย่างตั้งใจ การประชุมที่มีแต่เรื่องการทหารนี้ เขาย่อมพูดสอดแทรกอันใดไม่ได้ ทำได้เพียงนั่งฟังเงียบๆ มองดูใบหน้างามของเยี่ยหลีที่ระบายยิ้มบางๆ และคอยแสดงความเข้าใจและความคิดเห็นของตนบ้างเป็นระยะๆ

 

 

ไม่รู้ด้วยเหตุใด ความคิดของหานหมิงซีค่อยๆ เลื่อนลอยไปถึงยามที่เพิ่งได้พบเยี่ยหลีเมื่อในอดีต ภาพนางที่แต่งกายเป็นเด็กหนุ่ม ค่อยๆ เคลื่อนทับกับภาพนางตรงหน้าที่กำลังควบคุมทหารหลายแสนนายอยู่ในมือ แล้วจู่ๆ หานหมิงซีก็รู้สึกปวดแปลบขึ้นในใจอย่างมิอาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ หากในคราแรก… ความคิดบางอย่างผุดขึ้นในใจ หานหมิงซียิ้มขื่นๆ ส่ายหัวสลัดความคิดนั้นออกไป ต่อให้พวกเขารู้จักกันเร็วกว่านี้ จวินเหวยก็ไม่มีทางเลือกเขา…

 

 

“หมิงซี?”

 

 

หานหมิงซีเรียกสติกลับมาได้ เขากะพริบตาอยู่สองสามทีถึงได้รู้สึกตัวว่า เสียงภายในห้องหนังสือที่เคยเซ็งแซ่นั้นเงียบลงเสียแล้ว ผู้บัญชาการทหารที่หารือธุระกันเสร็จเรียบร้อย ต่างพากันออกไปหมดแล้ว เหลือเพียงจั๋วจิ้งและเว่ยลิ่นที่นั่งจัดการม้วนกระดาษอยู่ในฟากหนึ่งของห้องโถง

 

 

เยี่ยหลีอมยิ้มมองสำรวจเขา “กำลังคิดสิ่งใดหรือ ไม่ค่อยเห็นท่านใจลอยเช่นนี้เลย”

 

 

หานหมิงซีคลี่ยิ้ม มองนางขึ้นลงอยู่สองสามที “อีกไม่นานก็ต้องออกไปรบแล้ว ยามนี้เจ้าไม่เหมือนเช่นแต่ก่อน คงไม่มีปัญหาอันใดกระมัง”

 

 

เยี่ยหลีอึ้งไป ยกมือขึ้นลูกหน้าท้องที่ยังคงแบนราบเบาๆ โดยไม่รู้ตัว นางยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “เฟิ่งซานบอกเจ้าหรือ”

 

 

หานหมิงซีพยักหน้า เอ่ยถามว่า “ข้ารู้ไม่ได้หรือ”

 

 

เยี่ยหลีส่ายหน้า “ก็มิใช่ความลับอันใด เพียงแต่ยามนี้กองทัพทั้งสองฝ่ายกำลังสู้รบกัน หากข่าวแพร่ออกไปคงจะไม่ดีนัก ท่านไม่ต้องเป็นห่วง สุขภาพข้าแข็งแรงดีมาก อีกอย่างยามนี้ข้าก็มิได้จำเป็นต้องออกไปกรำศึกสู้รบเองเสียหน่อย”

 

 

หานหมิงซีปรายตามองนาง “เจ้าในยามนี้ยังคิดจะออกไปกรำศึกอีกหรือ เฟิ่งซานคงได้หัวใจวายตาย”

 

 

ที่ม่อซิวเหยาให้เฟิ่งจือเหยาอยู่ที่นี่ มิใช่เพื่อเพราะให้คอยช่วยเหลือเยี่ยหลีทำศึกเท่านั้น ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ เฟิ่งจือเหยาถือได้ว่าเป็นคนที่ม่อซิวเหยาไว้วางใจ เหตุผลที่ให้เขาอยู่ที่นี่กว่าครึ่งก็เพื่อเพราะความปลอดภัยของเยี่ยหลี

 

 

เยี่ยหลีคลี่ยิ้ม ระบายลมหายใจออกเบาๆ “หวังว่าศึกในครานี้จะสิ้นสุดลงโดยเร็ว”

 

 

หานหมิงซีเอ่ยว่า “ข้าก็ช่วยอันใดเจ้าไม่ได้มาก หากมีเรื่องอันใดก็เอ่ยปากมาได้เลย”

 

 

เยี่ยหลีมองเขา เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ข้ามีเรื่องอยากให้เจ้าช่วยสักหน่อยจริงๆ” พูดจบนางก็หันไปหยิบกระดาษม้วนหนึ่งออกมาจากชั้นหนังสือทางด้านหลัง ยื่นส่งให้หานหมิงซี พร้อมเอ่ยว่า “เจ้ากับเหลิ่งเฮ่าอวี่ไม่อยู่ทั้งสองคน เดิมทีแผนนี้ทำได้เพียงยืดเวลาออกไปก่อน แต่ในเมื่อเจ้ามาที่นี่พอดี เจ้าเอาไปดูก่อนก็แล้วกัน”

 

 

หานหมิงซีรับม้วนกระดาษที่ปิดผนึกอยู่ออกเปิดดู ก่อนเงยหน้าขึ้นถามเสียงขรึมว่า “เจ้าทำเพื่อม่อซิวเหยามากมายเพียงนี้ คุ้มกันหรือ”

 

 

เยี่ยหลียิ้มบาๆง เอ่ยว่า “ข้าเป็นชายาติ้งอ๋อง รุ่งเรืองก็รุ่งเรืองไปด้วยกัน ย่อยยับก็ย่อยยับไปพร้อมกัน จะว่าทำเพื่อเขาได้อย่างไร”

 

 

สีหน้าหานหมิงซีเปลี่ยนไปมา ครู่หนึ่งถึงได้เอ่ยพร้อมถอนใจออกมาว่า “ข้ารู้แล้ว ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง เรื่องนี้ก็เป็นผลดีกับตระกูลหานมิใช่หรือ”

 

 

เยี่ยหลียิ้มบางๆ “ลำบากเจ้าแล้ว”

 

 

“ข้ายังคิดว่าเราเป็นสหายกันเสียอีก”

 

 

เยี่ยหลีคลี่ยิ้ม “แน่นอน พวกเราเป็นสหายกัน”

 

 

 

 

ต้นเดือนสิบ เจิ้นหนานอ๋องนำทัพทหารสองแสนนายบุกโจมตีเมืองหงโจวด้วยตนเอง กองทัพตระกูลม่อก็ตั้งรับอย่างเต็มกำลัง การรบในซีเป่ยตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงยามนี้กินเวลาเกือบสามเดือนแล้ว แต่นี่เป็นคราแรกที่ทั้งฝ่ายต่างเข้าห้ำหั่นสู้รบกันอย่างเอาเป็นเอาตาย และได้ทำให้ทหารซีหลิงได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า ทหารต้าฉู่มิได้อ่อนแอและไร้ประโยชน์อย่างที่พวกเขาจินตนาการไว้ในคราแรก กองทัพตระกูลม่อที่คุ้มครองแผ่นดินต้าฉู่มาเป็นร้อยปี ยังคงใช้ดาบอันคมกริบดื่มเลือดสดๆ ของศัตรู

 

 

เดิมทีจำนวนทหารของทั้งสองฝ่ายมิได้ต่างกันมากนัก แต่ต่างกันที่ทหารของซีหลิงระดมกำลังทหารบุกโจมตีเพียงสถานที่เดียว แต่กองทัพตระกูลม่อต้องประจำการอยู่ทั่วทั้งซีเป่ย ดังนั้นในเรื่องจำนวนทหารแล้วทางด้านซีหลิงจึงได้เปรียบมากกว่า ถึงแม้กองทัพของซีหลิงจะเคลื่อนพลได้ช้า แต่ก็สามารถเคลื่อนพลขึ้นหน้ามาได้เรื่อยๆ และค่อยๆ เคลื่อนเข้ามากดดันเมืองหงโจว

 

 

เมืองหงโจวที่เคยสงบเรียบร้อย ก็ดูเหมือนจะเริ่มไม่สงบด้วยเพราะภัยที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามา พ่อค้าคหบดีและชาวบ้านจำนวนไม่น้อยก็ทยอยอพยพกันออกไปจากเมืองหงโจวเข้าไปลี้ภียภายในด่าน ภายในเมืองจึงไม่มีเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจเช่นเมื่อหลายวันก่อนอีก บรรยากาศมีแต่ความหนักอึ้งและอึมครึมอย่างก่อนจะเกิดสงครามครั้งใหญ่

 

 

บนกำแพงเมือง เยี่ยหลีนั่งพิงกำแพงเมืองอยู่เงียบๆ แสงอาทิตย์อันอบอุ่นในต้นฤดูหนาวสาดกระทบลงมาบนเสื้อคลุ่มสีอ่อน ทำให้ดูเคลิบเคลิ้มสบายตา ตรงหน้าเยี่ยหลีมีกระดานหมากรุกวางอยู่ ในมือมีหมากสีดำอยู่ตัวหนึ่ง ค่อยๆ ใช้ความคิดไป ทหารที่รักษาการอยู่บนกำแพงเมืองมองอยู่ไกลๆ รู้สึกเพียงจิตใจที่นิ่งสงบ

 

 

หานหมิงเย่ว์ก้าวขึ้นบนกำแพงเมือง มองหญิงสาวที่นั่งพิงกำแพงนิ่งอยู่โดยมิได้พูดอันใด

 

 

เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นอมยิ้มมองเขา “คุณชายหมิงเย่ว์มีธุระอันใดหรือ”

 

 

หานหมิงเย่ว์เดินมานั่งลงตรงข้ามนางนิ่งๆ จับจ้องกระดานหมากรุกอยู่พักใหญ่ ถึงได้เอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านมีแผนการเช่นไร”

 

 

เยี่ยหลีเหลือบตาขึ้น เอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ “มีแผนเช่นไร?”

 

 

หานหมิงเย่ว์ขมวดคิ้ว “ทหารสองแสนนายของเจิ้นหนานอ๋องบุกเข้ามาประชิดเมืองหงโจว อย่าบอกนะว่าท่านไม่รู้!”

 

 

เยี่ยหลีมองหานหมิงเย่ว์ที่น้อยครั้งนักจะโกรธจนลืมระวังกิริยาเช่นนี้ แล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “คุณชายหมิงเย่ว์โปรดวางใจเถิด ต่อให้เมืองหงโจวถูกตีแตก ข้าก็จะให้คนไปส่งท่านกับคุณหนูซูออกไปจากที่นี่ก่อนแน่นอน”

 

 

หานหมิงเย่ว์จ้องมองเยี่ยหลีก่อนเอ่ยเสียงขรึมว่า “ท่านคาดการณ์ไว้แล้วว่าเมืองหงโจวจะถูกตีแตก?”

 

 

เยี่ยหลีส่ายหน้า “ไม่ เมืองหงโจวไม่มีทางถูกตีแตก เมืองหงโจวเป็นเมืองสุดท้ายในเขตซีเป่ยก่อนถึงเมืองหน้าด่าน ด้านหลังเป็นพื้นที่ราบโล่งขนาดใหญ่…และยังมีทหารกองทัพตระกูลม่ออยู่อีกหลายแสนนาย ต่อให้ทหารกองทัพตระกูลม่อทั้งสองแสนนายในเขตซีเป่ยต้องมาตายในการศึก เมืองหงโจวก็ไม่มีทางตกอยู่ในมือของคนซีหลิง”

 

 

เมื่อใดก็ตามที่เมืองหงโจวหลุดมือไป นั่นหมายความว่า พวกเขาจะส่งกองทัพตระกูลม่ออีกหลายแสนนายไปสู้กับทัพซีหลิง ผลจะเป็นเช่นไรคงยากจะคาดเดา

 

 

คิ้วเข้มของหานหมิงเย่ว์เลิกขึ้น มองสตรีที่ยังคงนั่งอย่างสงบตรงหน้าด้วยความสงสัย ถึงแม้เขาจะมีความรู้เรื่องการรบและการทหารไม่มากนัก แต่คนที่วิเคราะห์ข่าวได้แม่นยำอย่างเขานั้นพอมองอันใดออกอยู่บ้าง

 

 

“หากเจ้าไม่อยากเสียเมืองหงโจวไป เหตุใดถึงปล่อยให้ทัพซีหลินเคลื่อนพลขึ้นหน้ามาเช่นนั้นเล่า ถึงแม้กองทัพตระกูลม่อจะพยายามบั่นทอนกำลังของทัพซีหลิงมาโดยตลอด แต่ก็มิได้ทำอย่างเต็มกำลัง ท่านไม่จำเป็นต้องปิดบังข้า ถึงแม้ก่อนหน้านี้เทียนอี้เก๋อจะไม่เคยมีส่วนร่วมในการรบของแต่ละแคว้นมาก่อน แต่มิได้หมายความว่าจะไม่เคยศึกษาเรื่องเหล่านี้”

 

 

ที่กองทัพตระกูลม่อสามารถเขย่าขวัญทุกแว่นแคว้นได้เช่นนี้ มิได้อาศัยเพียงการจัดสรรทหารประหนึ่งเทพของติ้งอ๋องทุกยุคทุกสมัยเท่านั้น แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ นายทหารของกองทัพตระกูลม่อทุกคนต่างพุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างไม่กลัวตาย เคยมีการบันทึกวีรกรรมของกองทัพตระกูลม่อไว้ในประวัติศาสตร์มากมายที่ว่า เพื่อรักษาเมืองเล็กๆ ที่มิได้มีความสำคัญอันใดไว้แล้ว พวกเขายอมพลีชีพทหารทั้งหมด แต่จะไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว เพื่อให้ยึดครองเมืองหน้าด่านไว้ได้ พวกเขาสามารถบุกเข้าโจมตีได้ทั้งวันทั้งคืน ถึงแม้จะมีศพกองทับถมกันเป็นพะเนิน ก็ไม่นึกหวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย แต่กองทัพตระกูลม่อในยามนี้ บางทีในสายตาของคนนอก อาจเก่งกาจเกรียงไกรมากพอแล้ว แต่ยังไม่มีทางใช่มาตรฐานที่แท้จริงของพวกเขาอย่างแน่นอน

 

 

เยี่ยหลีโยนหมากในมือลง เท้าคางมองหน้าชายหนุ่มรูปงามตรงหน้าด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “นี่คุณชายหมิงเย่ว์กำลังเป็นกังวลแทนกองทัพตระกูลม่อหรือ”

 

 

หานหมิงเย่ว์ชะงักไป เอ่ยเรียบๆ ว่า “หมิงซีเป็นน้องชายของข้า ข้าย่อมอยากรู้ว่าที่เขาติดตามตำหนักติ้งอ๋องนั้นจะมีทางรอดหรือไม่”

 

 

เยี่ยหลีปรบมือพร้อมลุกยืนขึ้น ยิ้มน้อยๆ “คุณชายหมิงเย่ว์ไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้ ข้าย่อมมีแผยวางไว้ในใจ”

 

 

หานหมิงเย่ว์เอ่ยเสียงเย็นว่า “ข้ากลับมองไม่ออกว่าท่านมีแผนอันใดในใจ เห็นอยู่ว่ากองทัพตระกูลม่อมีความสามารถที่จะจำกัดกองทัพซีหลิงให้อยู่นอกเมืองหงโจวได้…”

 

 

“ไม่” เยี่ยหลีส่ายหน้า มองหานหมิงซีพร้อมเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ยามนี้กองทัพตระกูลม่อมีความสามารถในการกันทัพสองแสนนายของซีหลิงไว้ได้ชั่วคราวก็จริง แต่…ก็เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น คุณชายหมิงเย่ว์น่าจะรู้ว่า ที่ซีหลิงยกทัพมาบุกต้าฉู่ในครานี้ มีกำลังทหารทั้งหมดมิใช่เพียงประมาณห้าแสนนายเท่านั้น แต่กำลังทหารของซีหลิงมีมากกว่าหนึ่งล้านห้าแสนนาย คนซีหลิงมีจิตใจห้าวหาญ สามารถระดมกำลังพลเข้ากองทัพได้ตลอดเวลา และไม่จำเป็นต้องผ่านการฝึกที่มากมายนัก ภายในชั่วระยะเวลาสั้นๆ สามารถระดมกำลังได้อีกกว่าหนึ่งล้านนาย ถึงยามนั้น…ต่อให้ทหารกองทัพตระกูลม่อหนึ่งนายจะสู้กับทหารซีหลิงได้สิบนาย ก็คงไม่สามารถจัดการคนจำนวนมากเช่นนั้นได้ อีกอย่าง…คนซีหลิงมิใช่คนอ่อนแอ หลายวันมานี้ที่ทหารทั้งสองฝ่ายสู้รบกัน คนของเราสองคนอย่างมากก็สามารถจัดการคนของอีกฝ่ายได้เพียงสามคนเท่านั้น”

 

 

หานหมิงเย่ว์ขมวดคิ้ว “ถ้าเช่นนั้น การที่ท่านปล่อยให้พวกเขาเข้ามาในหงโจวจะไม่เป็นการชักศึกเข้าบ้านหรือ”

 

 

มุมปากเยี่ยหลีระบายออกเป็นเพียงรอยยิ้มบางๆ แต่เย็นเยียบ ประหนึ่งเกล็ดน้ำค้างในฤดูหนาว “เจิ้นหนานอ๋องไม่มีทางระดมพลมายังซีเป่ยในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน”

 

 

หานหมิงเย่ว์เลิกคิ้ว

 

 

“ยามนี้คนทั้งใต้หล้าต่างรู้ว่า…หัวหน้าผู้บัญชาการกองทัพตระกูลม่อในเขตซีเป่ยคือข้า สตรีที่อายุยังไม่เต็มสิบแปดปีดี หากเจิ้นหนานอ๋องยังระดมพลจากซีหลิงมาเสริมทัพที่นี่…ต่อให้เขาชนะ ชื่อเสียงแห่งวีรบุรุษที่เขาสั่งสมมาทั้งชีวิตก็เรียกได้ว่าคงเสียหายไม่มีเหลือ”

 

 

เทพสงครามแห่งซีหลิงที่กรำศึกอยู่ในสนามรบมาหลายสิบปี กับสตรีอายุสิบกว่าปีที่ไม่เคยอยู่ในสนามรบมาก่อน ในยามนี้จำนวนกำลังพลของทั้งสองฝ่ายใกล้เคียงกัน แต่หากเจิ้นหนานอ๋องยังระดมกำลังทหารมาอีก นั่นก็เท่ากับว่า เขายอมรับกับคนทั้งใต้หล้าว่า เขา เหลยเจิ้นถิงไม่เพียงด้อยกว่าม่อหลิวฟาง แต่แม้แต่ลูกสะใภ้ของม่อหลิวฟางก็ยังสู้ไม่ได้ และตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ชื่อเสียงของเจิ้นหนานอ๋อง คงกลายเป็นเพียงเรื่องที่น่าขันเท่านั้น

 

 

“ท่านคิดจะ…”

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของเยี่ยหลีค่อยๆ เลือนหายไป ผินหน้าไปมองทางป่ารกร้างที่ห่างไกล เอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้าต้องการจำกัดให้ทหารทั้งสองแสนนายของซีหลิงรั้งอยู่ที่ซีเป่ย!”

 

 

หานหมิงเย่ว์ถึงกับใจกระตุก เขารับรู้ได้ถึงรังสีสังหารและกลิ่นคาวเลือดในน้ำเสียงของเยี่ยหลีที่เปล่งออกมาโดยไม่ปิดบังได้อย่างชัดเจน

 

 

“ท่านคิดอยากให้ทหารทั้งสองแสนนายของซีหลิงรั้งอยู่ที่ซีเป่ย! ท่าน…ท่านกล้าคิดเช่นนี้ได้อย่างไร…” หานหมิงเย่ว์รับรู้ได้ถึงเสียงอันสั่นเทาของตน คิดจะกำจัดทหารทั้งสองแสนนายของซีหลิง หากเป็นเช่นนี้…สตรีที่ไม่เคยอยู่ในสนามรบผู้ใดเลยถึงกล้าพูดออกมาเช่นนี้ได้ ไม่สิ…บางทีอาจด้วยเพราะนางเป็นคนที่ไม่เคยอยู่ในสนามรบมาก่อน ถึงได้กล้าพูดสิ่งที่บ้าบิ่นเช่นนี้

 

 

เยี่ยหลีนั่งพิงผนังกำแพงเมืองมองเขายิ้มๆ “มีอันใดไม่กล้าหรือ หลายวันนี้ทัพใหญ่ซีหลิงทำศึกติดต่อกันหลายวัน จำนวนทหารที่มาถึงหงโจวได้อย่างมากไม่เกินหนึ่งแสนนาย เมืองแห่งนี้…จะกลายเป็นสถานที่สุดท้ายที่ฝังกลบพวกเขา”

 

 

หานหมิงเย่ว์ตัวสั่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว แต่ในใจกลับรู้สึกได้ถึงความร้อนจากเปลวไฟ หานหมิงซีมองเยี่ยหลีนิ่ง เอ่ยว่า “มายามนี้ข้าเข้าใจแล้วว่า เหตุใดซิวเหยาถึงได้ชอบพอท่าน”

 

 

เยี่ยหลีเลิกคิ้ว อมยิ้มมองเขา

 

 

หานหมิงเย่ว์เอ่ยด้วยความสงสัยว่า “ข้ายังจำได้ว่าในยามนั้น…ครั้งแรกที่ซิวเหยาออกไปทำศึก ดูเหมือนเขาจะมีอายุเพียงสิบสามปี เขาบอกว่า ขอเพียงให้เวลาเขาสักสามสี่ปี เขาจะต้องกวาดล้างหนานจ้าวได้สำเร็จ ให้ต้าฉู่ได้สงบร่มเย็นต่อไปอีกเป็นร้อยปี…น่าเสียดาย…”

 

 

เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนั้น เยี่ยหลีก็ดูจะอารมณ์ดีขึ้นมาก เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ดังนั้นข้าถึงได้เป็นชายาติ้งอ๋องอย่างไร…เจิ้นหนานอ๋องหรือ หลบซ่อนตัวมานานเช่นนี้ ข้าเองก็ชักรอคอยศึกครานี้แล้วเช่นกัน”