เล่มที่ 10 บทที่ 274 ปรึกษาความลับในคุกใต้ดิน

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

บางทีอาจเพราะหลินเมิ้งหยาอนุญาตให้หลินจงอวี้กลับไปยังเมืองเลี่ยหยุนแล้ว บรรยากาศจึงผ่อนคลายค่อนข้างมาก

เสี่ยวอวี้มิได้มีท่าทางหนักใจอีกต่อไป รอยยิ้มบนใบหน้าไร้ซึ่งความอึดอัด หลินเมิ้งหยาถอนหายใจแผ่วเบา ในที่สุดนางก็ตัดสินใจอย่างถูกต้อง

เลี่ยหยุนแล้วอย่างไรเล่า? หากเสี่ยวอวี้ตกอยู่ในอันตรายจริงๆ แล้วล่ะก็ ต่อให้ไกลถึงพันลี้นางก็จะไปช่วยเขาให้ได้

“นี่คือเหยี่ยวที่ท่านอ๋องตั้งใจหามาให้พวกเราเป็นพิเศษ ได้ยินว่ามันฉลาดมากเลยทีเดียว เจ้าจงนำมันกลับไปยังเมืองเลี่ยหยุนด้วยเถิด เท่านี้ไม่ว่าเจ้าอยู่ที่ใด พี่สาวก็จะสามารถส่งจดหมายหาเจ้าได้”

เห็นได้ชัดว่าสาวใช้ทั้งสี่ไม่เคยเห็นเหยี่ยวมาก่อน พวกนางจึงเข้าไปห้อมล้อมกรงเหยี่ยวเอาไว้

แม้จะเป็นเหยี่ยวตัวเล็กๆ ทว่ามันชูคอขึ้นด้วยท่าทางหยิ่งทะนง ราวกับว่ามิเห็นคนกลุ่มนี้อยู่ในสายตา เหล่าสาวใช้จึงนึกสนุกขอร้องให้หลินเมิ้งหยาปล่อยมันออกมา

“นายหญิง นายหญิง เจ้านี่น่ารักเหลือเกิน รีบปล่อยมันออกมาเถิดเจ้าค่ะ”

ป๋ายจื่อมีอุปนิสัยเหมือนเด็กที่สุด นางปรบมือเร่งเร้า

หลินเมิ้งหยาหัวเราะ หันหน้ากลับไปทางหลงเทียนอวี้ ดวงตาเปล่งประกายฉายแวววิงวอน

หลงเทียนอวี้พยักหน้า เขารีบเปิดประตูกรงออก

“พรึบ พรึบ” เสี่ยวจินโบยบินขึ้นไปบนอากาศ

“หวีด….” หลงเทียนอวี้ผิวปาก เสี่ยวจินรีบบินถลาลงมาเกาะบนแขนของเขา

ท่าทางของเสี่ยวจินมิได้น่ารักอีกต่อไป มันขึงขังขึ้นมา ดวงตาคมกริบจ้องกลุ่มคนตรงหน้าเขม็ง

จู่ๆ ร่างสีขาวสองร่างพลันโผล่พรวดออกมาจากทางด้านหลังของหลินเมิ้งหยา หลินเมิ้งหยาที่ไม่ทันระวังเกือบล้มเพราะถูกพวกมันกระโจนเข้าใส่

“เสี่ยวป๋าย เสือน้อย พวกเจ้าเป็นอะไรไป? นี่คือเพื่อนใหม่ของพวกเจ้าอย่างไรเล่า ห้ามกัดมันนะ!”

สัญชาตญาณนักล่าระหว่างเหยี่ยวกับสัตว์ป่ามิอาจเปลี่ยนแปลงได้เพียงเพราะคำพูดของหลินเมิ้งหยา แต่ถึงกระนั้นเสี่ยวป๋ายและเสือน้อยก็ยังรู้สึกแปลกใจเมื่อได้เห็นเพื่อนตัวใหม่ตัวนี้

เข้าไปห้อมล้อมหลงเทียนอวี้ ทั้งกระโดดทั้งส่งเสียงร้อง ดวงตากลมโตของพวกมันจ้องมองเสี่ยวจินด้วยความประหลาดใจ

ครู่ต่อมา ตำหนักหลิวซินก็มิต่างอันใดจากสวนสัตว์

“เจ้านี่ช่างมีไหวพริบยิ่งนัก พี่สาวจะมอบมันให้ข้าหรือ?”

ดวงตาของเสี่ยวอวี้เปล่งประกายไปด้วยความคาดหวัง

“นี่คือสิ่งที่ต้องการมอบให้กับเจ้า หากเจ้ากลับไปยังเมืองเลี่ยหยุน พวกเรายังสามารถส่งสารถึงกันได้”

แม้จะอนุญาตแล้ว แต่ถึงกระนั้นหลินเมิ้งหยาก็ยังรู้สึกมิอาจทำใจแยกจากได้ เพียงแค่นางเก็บซ่อนความเสียใจเอาไว้

ขอเพียงเสี่ยวอวี้มีชีวิตที่ดี ไม่ว่าอยู่ที่ใดก็ไม่สำคัญ

เล่นสนุกอยู่นาน ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปพักผ่อน

มีเพียงป๋ายซูที่อยู่ข้างกายหลินเมิ้งหยา

“เจ้าไม่ต้องลำบากหรอก มานี่สิ พวกเรามาคุยกันเถิด”

เสี่ยวอวี้สั่งเอาไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าป๋ายซูจะต้องอยู่รับใช้หลินเมิ้งหยา ฉะนั้น คราวนี้ป๋ายซูจะต้องแยกจากเพื่อนพ้องของนางตลอดกาล

แม้สีหน้าของป๋ายซูจะเรียบเฉย ทว่าหลินเมิ้งหยามองออกว่านางมีเรื่องให้ต้องคิดมาก

“นายหญิงอย่าห่วงข้าเลยเจ้าค่ะ นับตั้งแต่วันที่ท่านอาจารย์เลี้ยงข้าจนเติบโต โชคชะตาของข้าก็ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว เพื่อนายท่าน เพื่อนายน้อย ต่อให้ตาย ข้าก็ยอม ยิ่งไปกว่านั้น ข้ายังได้อยู่ที่นี่กับนายหญิงและพี่น้องทั้งสาม นี่เป็นเรื่องดีเสียยิ่งกว่าการกลับไปเข่นฆ่าศัตรูที่เมืองเลี่ยหยุนอีกเจ้าค่ะ”

ป๋ายซูหัวเราะ ใบหน้าที่เคยเย็นชาเจือไว้ซึ่งความอบอุ่น แต่หลินเมิ้งหยาสัมผัสได้ว่านางกำลังฝืนยิ้ม

บางทีอาจเพราะเรื่องที่หลินจงอวี้ต้องจากไป ดังนั้นทุกคนจึงรู้สึกโศกเศร้า

เวลาล่วงเลยไปหลายวัน เสี่ยวอวี้เล่าว่าเรื่องที่เขาจะต้องกลับไปถูกจัดการเอาไว้หมดแล้ว หลงเทียนอวี้มอบป้ายประจำตัวให้พวกเขาเป็นกรณีพิเศษ หากถูกตรวจสอบ พวกเขาจะกลับไปได้อย่างปลอดภัย

สิ่งของที่ต้องใช้สำหรับงานปีใหม่ได้ตระเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นหลินเมิ้งหยาจึงพอมีเวลาว่าง

ราชสำนักในเวลานี้กำลังร้อนระอุเพราะเรื่องที่เหล่าขุนนางต้องการหาหมอจากภายนอกเพื่อรักษาพระอาการประชวรของฮ่องเต้

หลงเทียนอวี้ย่อมมีเรื่องให้ต้องจัดการมากขึ้น เขาออกไปแต่เช้าและกลับมาอีกครั้งในช่วงเย็น เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว หลินเมิ้งหยาที่พักผ่อนจนเริ่มรู้สึกเบื่อจึงไปเรียนวิชาแพทย์พิษกับป๋ายหลี่รุ่ย

“นังหนู ดูเหมือนวันนี้เจ้าจะเหม่อลอยเป็นพิเศษ”

คิ้วของป๋ายหลี่รุ่ยขมวดเข้าหากันขณะมองหลินเมิ้งหยาที่ทำลายหม้อยาของเขาจนพังอย่างไม่ตั้งใจ

ปกติเด็กคนนี้เป็นคนฉลาดและมีไหวพริบ เหตุใดวันนี้จึงเสมือนคนไร้ชีวิตจิตใจ หรือนางจะมีเรื่องให้ต้องคิดมาก?

“ขออภัยเจ้าค่ะท่านอาจารย์ ช่วงนี้จิตใจของข้าไม่สงบเท่าที่ควร ข้าจะหาซื้อหม้อยาให้ท่านใหม่นะเจ้าคะ”

ช่วงนี้หลินเมิ้งหยามักรู้สึกจิตใจไม่สงบ ราวกับว่ากำลังจะมีเรื่องใหญ่บางอย่างเกิดขึ้น สมองของนางมักประมวลเรื่องราวหลังจากที่ข้ามภพมาอยู่เสมอ นางพยายามหาจุดบกพร่องของเรื่องราวทั้งหมด แต่นางกลับไม่เจอสิ่งใด

ดังนั้นนางจึงรู้สึกหดหู่

“ยาพิษที่เสียไปนั่นเรื่องเล็ก นังหนู เจ้ามีเรื่องให้ต้องคิดมากอย่างนั้นหรือ?”

ป๋ายหลี่รุ่ยหยุดงานในมือ แม้เขาจะเจ็บปวดใจที่เห็นยาพิษเสียหายต่อหน้าต่อตา แต่ถึงกระนั้นหลินเมิ้งหยาก็เป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียว ยิ่งไปกว่านั้น แต่ไหนแต่ไรมานางมิเคยแสดงออกถึงท่าทีโกรธเกลียดชมชอบแต่อย่างใด ทว่าวันนี้จิตใจของนางกลับไม่อยู่กับร่องกับรอย ดูเหมือนจะต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

“ท่านอาจารย์ ข้ามักใช้วิธีคิดนอกกรอบในการแก้ไขปัญหาเสมอ ถึงจะเป็นเช่นนั้น ข้าก็ต้องคำนึงถึงทุกอย่างให้รอบคอบ แต่ช่วงนี้จิตใจของข้าว้าวุ่นนัก ข้ารู้สึกเหมือนมีจุดบกพร่องบางอย่างเกิดขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นมันยังอยู่นอกเหนือการควบคุมของข้า ฉะนั้นข้าจึงรู้สึกหนักใจ ไม่รู้ว่าควรจัดการสิ่งเหล่านี้เช่นไร”

ป๋ายหลี่รุ่นพยักหน้า ลูกศิษย์ของเขาคนนี้เป็นคนมีพรสวรรค์ ไม่เพียงหน้าตาที่งดงามโดดเด่น แต่ยังฉลาดเฉลียวและมีไหวพริบ ทว่าสุดท้ายแล้วนางก็ยังเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง จิตใจของนางยังไม่สงบนิ่ง

“นังหนู เจ้าคิดหรือว่าจะควบคุมเรื่องทั้งหมดบนโลกใบนี้ได้? เช่นนั้นเจ้าลองบอกข้าหน่อยเถิดว่ายาสมุนไพรต้นเล็กๆ ในห้องของข้าจะเติบโตเป็นยาสมุนไพรที่สามารถใช้การได้เพราะเหตุใด? พวกเราแท้จริงสามารถควบคุมมันได้หรือไม่?”

หลินเมิ้งหยาหันหน้าไปมองอาจารย์ ก่อนจะได้เห็นต้นยาสมุนไพรที่ขึ้นอยู่ทั่วทั้งห้อง ยาสมุนไพรเหล่านี้ล้วนมีช่วงเวลาเติบโตของมัน สิ่งที่ท่านอาจารย์ให้นางทำคือการรดน้ำพรวนดินแต่เพียงเท่านั้น

จู่ๆ ดวงตาของนางเปล่งประกาย ดูเหมือนนางจะคิดบางอย่างกระจ่างแล้ว

“ท่านอาจารย์หมายความว่าเรื่องบางเรื่องมิอาจเป็นไปตามความคาดหวังของข้า แต่สิ่งที่ข้าควรทำคือคอยผสมโรงบ่มเพาะทีละเล็กละน้อยเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เรื่องราวจะเป็นไปตามทิศทางที่ข้าหวังไว้ใช่หรือไม่?”

ป๋ายหลี่รุ่ยพยักหน้า ดูเหมือนลูกศิษย์ของเขาจะมิใช่คนโง่

ในที่สุดหลินเมิ้งหยาก็เข้าใจว่าเพราะเหตุใดช่วงนี้จิตใจของนางจึงไม่สงบอย่างที่ควรจะเป็น นางมักจะกำปัญหาทุกอย่างเอาไว้ในมือของตนเองเสมอ เมื่อเรื่องราวไม่เป็นไปตามที่นางคาดหวัง หัวใจของนางจึงไม่เป็นสุข

ฉะนั้นสิ่งที่นางควรทำคือจัดการสะสางเรื่องราวทีละเล็กละน้อย ไม่จำเป็นต้องควบคุมทุกอย่างเอาไว้เบ็ดเสร็จ นางต้องทำดั่งเช่นท่านอาจารย์ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เรื่องราวก็จะเป็นไปตามความตั้งใจเอง

“ท่านอาจารย์ ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”

จิตใจกลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง หลินเมิ้งหยาเป็นคนฉลาด ใบหน้าของนางประดับไว้ด้วยรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยน

ป๋ายหลี่รุ่ยมองหน้าลูกศิษย์ด้วยสีหน้าแววตายินดี

หากอู๋เฉินเป็นเหมือนเด็กคนนี้ เขาก็คงไม่พบจุดจบเช่นนั้น

“ท่านอาจารย์ ข้าขอโทษเจ้าค่ะ ข้าทำร้ายป๋ายหลี่อู๋เฉิน ท่าน…ได้โปรดลงโทษข้าด้วยเถิด”

นางติดค้างคำอธิบายเรื่องป๋ายหลี่อู๋เฉินกับท่านอาจารย์อยู่ เพียงแต่ท่านอาจารย์ไม่เคยเอ่ยถึงมันเลยแม้แต่น้อย ส่วนนางเองก็ไม่เคยเอ่ยออกมาเช่นเดียวกัน

“เฮ้อ…อู๋เฉินทำตัวของเขาเอง เรื่องนี้มิอาจโทษใครได้หรอก”

ป๋ายหลี่รุ่ยถอนหายใจ ในเวลานี้เขาดูแก่ลงมาก ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้า หลินเมิ้งหยารู้ได้ทันทีว่าท่านอาจารย์กำลังกังวล

“อันที่จริงหากเขาตาย ข้าคงไม่จำเป็นต้องรู้สึกกังวลมากถึงเพียงนี้ เจ้าไม่รู้หรอกว่าอู๋เฉินเป็นคนเก็บความลับเก่งมากตั้งแต่เด็ก เรื่องที่ทรยศอ๋องอวี้นั้นยังไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าหากเขาแปรพักตร์ไปอยู่กับศัตรูของอ๋องอวี้ขึ้นมา เกรงว่าเมื่อถึงเวลานั้นแม้แต่ข้าหรือเจ้าก็คงหยุดเขาเอาไว้ไม่ได้”

ป๋ายหลี่รุ่ยถอนหายใจ

สิ่งนี้ต่างหากที่ทำให้ป๋ายหลี่รุ่ยเป็นกังวล อู๋เฉินดีพร้อมทุกอย่าง แต่เขาเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น เขายังจำได้ว่าครั้นสมัยอู๋เฉินยังเด็ก มีเพื่อนเล่นในวัยเดียวกันบอกว่าเขาเหมือนผู้หญิง

เขาทำทุกวิถีทางเพื่อแก้แค้นจนเด็กคนนั้นกลายเป็นชายที่มิอาจสืบพันธุ์ได้

ทั้งที่ตอนนั้นอู๋เฉินอายุเพียงสิบเอ็ดสิบสองปีเท่านั้น

ทว่าหลินเมิ้งหยาทำลายดวงตาของเขาข้างหนึ่ง หลงเทียนอวี้ยังขับไล่เขาออกจากจวน เช่นนี้จะไม่ทำให้อู๋เฉินโกรธแค้นหลงเทียนอวี้และหลินเมิ้งหยาได้อย่างไร

“ท่านอาจารย์อย่ากังวลไปเลยเจ้าค่ะ ข้าเชื่อว่าอ๋องอวี้จะต้องหาวิธีรับมือเอาไว้แล้ว เขาเป็นคนอนุญาตให้ป๋ายหลี่อู๋เฉินหนีไปเอง เช่นนั้นเขาจะต้องเตรียมการรับมือเอาไว้แล้วอย่างแน่นอน”

แม้หลินเมิ้งหยาเองก็รู้สึกกังวลเรื่องเดียวกันกับป๋ายหลี่รุ่ย แต่หลงเทียนอวี้หาใช่คนธรรมดา เขาไม่มีทางปล่อยให้ป๋ายหลี่อู๋เฉินทำลายงานที่สร้างมาอย่างแน่นอน

“ไม่ นังหนู ข้ารู้จักอู๋เฉินดี เขามักเก็บงำความลับบางอย่างเอาไว้เสมอ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังชอบทำอะไรที่เราคิดไม่ถึงเสมอ การที่เจ้าทำร้ายเขาในคราวนี้ จะต้องส่งผลให้เขาโกรธแค้นเจ้ามาก แม้ตัวเขาจะตาย แต่เขาจะต้องวางแผนเพื่อเอาชีวิตเจ้าให้ตายตกตามกันไปอย่างแน่นอน”

คำพูดของป๋ายหลี่รุ่ยทำให้หลินเมิ้งหยาตกตะลึงเล็กน้อย

ใช่แล้ว ป๋ายหลี่อู๋เฉินสามารถพูดจาโน้มน้าวคนของหลงเทียนอวี้ได้แม้เขาจะถูกขังอยู่ในคุกใต้ดิน

เช่นนั้นเขาจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อล้างแค้นนางกับหลงเทียนอวี้อย่างแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น ชายคนนี้ยังเป็นคนบ้าบิ่น เขาเกลียดนางจนสามารถทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายนางให้ได้

เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาอาจจะลงมือกับคนรอบตัวนางด้วย!

“ท่านอาจารย์ ขอบคุณที่ท่านชี้แนะ ข้ายังมีเรื่องให้ต้องทำ ขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”

หลินเมิ้งหยาไม่พูดพร่ำทำเพลง นางรีบออกจากประตูคุกใต้ดินไปอย่างรวดเร็ว

หลายวันมานี้ป๋ายจีและป๋ายซ่าวล้วนยุ่งอยู่กับงานในจวน พวกนางต้องเดินทางเข้าออกจวนอยู่เสมอ แม้จะมีผอจื่อและองครักษ์คอยติดตาม แต่ถึงอย่างไรก็ยังคงอันตรายมากอยู่ดี!