บทที่ 245 ไม่ทำให้ชื่นชมน้อยลง

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

เสียนหยางได้รับข่าวดีเช่นนี้ ในนครก็เต็มไปด้วยความครึกครื้น ผู้คนต่างเล่าสู่กันฟังตามถนนหนทางและโรงสุรา

จวินองค์ใหม่ครองราชย์ได้ไม่นานก็สามารถกวาดล้างรัฐบาลและได้รับชัยชนะยิ่งใหญ่ถึงสองครั้ง ครั้งแรกคือการเอาชนะศัตรูเช่นรัฐเว่ยโดยสมบูรณ์ ครั้งที่สองคือการเพิ่มอาณาเขตของฉินเป็นสองเท่า ด้วยวิธีการอันประณีตและทรงพลังนี้ได้สร้างพลังเชิงรุกแก่ทั่วทั้งรัฐฉิน แม้แต่ภายในจวนของซ่งชูอีก็รู้สึกได้ถึงความปิติไม่มากก็น้อย

หน้าประตูจวนที่ตามปกติแล้วไร้แขกเยี่ยมเยียนบัดนี้คราคร่ำไปด้วยรถม้าที่จอดอยู่ ส่วนใหญ่แวะมาคารวะซ่งชูอี ทว่าก็มีบางส่วนที่มาหาหญิงเจินอวี๋ผู้สูงศักดิ์

ตอนนั้นในหอชิงเฟิง วาจาของอิ๋งซื่อก็ได้พิสูจน์แล้วว่าซ่งชูอีมิใช่ผู้ที่ริเริ่มโค่นปาสู่ ทว่าก็ดูเหมือนปกป้องนางไม่มากก็น้อย แม้กระทั่งยกคฤหาสน์ให้นางเป็นที่พักอาศัย ไม่มีใครคิดออกว่าเป็นเพราะสาเหตุใดแต่สามารถมั่นใจได้ว่านางจะต้องเป็นผู้ได้รับแต่งตั้งใหม่ของรัฐฉินในอนาคตอย่างแน่นอน

ซ่งชูอีไม่มีเจตนาที่จะผูกพันกับผู้ใด จึงกันให้ทุกคนรออยู่ที่นอกประตู พาผู้เฝ้าจวนสองคนลอบออกไปจากประตูหัวมุม เพื่อไปนั่งฟังความครึกครื้นในโรงสุราแล้ว

หลังจากที่กู่จิงได้รับข้อความจากหนิงยาคราวก่อน ก็รีบร้อนด้วยความทุลักทุเล แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถสลัดตัวหลุดได้ กว่าจะหนีออกมาได้ด้วยความยากลำบากก็มารู้ว่าซ่งชูอีไปที่โรงสุราแล้ว จึงตามไปด้วยความรีบร้อน

“หลายวันนี้ข้าสลัดตัวไม่ได้เลย ท่านหาข้ามีเรื่องด่วนหรือ?” กู่จิงรับสุราที่ซ่งชูอียื่นมา เอ่ยถามอย่างร่าเริง

“ไม่รีบ ข้าก็แค่อยากถามว่าเจียนเรียนวิชากังฟูกับเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม

กู่จิงหัวเราะหึหึ “เรื่องที่ท่านไหว้วาน ข้าทำอย่างเต็มที่เลยนะ เจ้าเด็กคนนี้นิ่งๆ เงียบๆ ทว่าเรียนรู้ได้เร็วยิ่ง! ข้ายังแอบพี่ใหญ่สอนทักษะลับที่ไม่เปิดเผยให้คนนอกบางส่วนแก่เขาด้วย”

ซ่งชูอีโน้มตัวเข้ามาเขา เอ่ยว่า “เพื่อเป็นการขอบคุณน้ำใจของเจ้าเช่นนี้ ข้าตั้งใจจะสอนหนังสือเจ้า แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจทั้งร้อยสำนัก ทว่าอย่างน้อยข้าก็มีเกล็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ กว่าสิบสำนัก เจ้าสามารถเลือกเรื่องใดก็ได้ หากข้าไม่เข้าใจจะไปเรียนรู้ก่อนค่อยมาสอนเจ้า”

ดวงตาของกู่จิงเป็นประกาย มองซ่งชูอีด้วยใบหน้าเปี่ยมความซาบซึ้ง “ท่านนี่สุดยอดจริงๆ!”

ซ่งชูอีหัวเราะเอ่ย “ข้าสอนสำนักยุทธพิชัยเจ้าดีหรือไม่?”

กู่จิงส่ายหน้าพร้อมหัวเราะโง่ๆ “ข้าไม่เรียน”

ซ่งชูอีเอ่ยด้วยความงุนงง “เจ้าคิดว่าการรู้หนังสือมันสุดยอดมากไม่ใช่รึ? เหตุใดจึงไม่เรียน?”

“พอข้าเห็นแผ่นไผ่ก็ง่วงนอนแล้ว ถูกอาจารย์โบยตั้งหลายที จากนั้นเมื่อข้าได้เห็นแผ่นไผ่พวกนั้นก็ยิ่งง่วงนอนขึ้นไปอีก!” กู่จิงรู้สึกอึดอัดเมื่อนึกถึงแผ่นไผ่ เอื้อมมือดึงขากระต่ายย่างยัดเข้าปากไปคำหนึ่ง “แต่ว่า นี่ไม่ทำให้ข้าชื่นชมท่านน้อยลงเลย”

“ฮ่าฮ่า!” ซ่งชูอีมองใบหน้าเหี่ยวย่นของเขาที่ฝังอยู่ในเครา หัวเราะร่วนจนหายใจหอบ “เจ้าเป็นคนที่น่าสนใจมาก”

“ท่าน” กู่จิงหัวเราะพลางเช็ดปาก จากนั้นก็เอ่ยว่า “ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด เส้นลมปราณสองเส้นของเจียนเชื่อมต่อกัน นี่คือเรื่องที่พบเห็นได้ยากในการฝึกศิลปะการต่อสู้ ทว่าร่างกายของเขาอ่อนแอเกินไปแล้ว ไม่สามารถทนต่อการฝึกหนักได้ ไม่อย่างนั้นสามปีก็กลายเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งของใต้หล้าอย่างแน่นอน”

“จริงรึ?” ตอนนั้นที่ซ่งชูอีช่วยชีวิตเจียน เพราะอ่อนไหวกับเจตจำนงที่ต้องการจะมีชีวิตอยู่ของเขา ตั้งใจเลี้ยงไว้ให้เป็นคนรับใช้ที่จงรักภักดี ไม่ได้คาดหวังว่าจะพบขุมทรัพย์เลย

กู่จิงพยักหน้า “ทว่าท้องของซ่งเจียนอ่อนแอมาก กินเนื้อมากหน่อยก็อาเจียน ทว่าหากไม่กินเนื้อจะแข็งแรงได้เยี่ยงไร!”

“เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา ปรับสุขภาพให้ดีก็จะดีเอง” สิ่งที่ทำให้ซ่งชูอีลังเลก็คือ ในเมื่อเจียนเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านศิลปะการต่อสู้ที่หาได้ยาก เช่นนั้นหากติดตามกู่จิงเพื่อฝึกกังฟูแบบงูๆ ปลาๆ อีกไม่เป็นการเสียของหรอกหรือ? อย่างไรก็ดีหากต้องการฝึกกังฟูอย่างลึกซึ้งก็ต้องคารวะอาจารย์ มิฉะนั้นใครจะสอนให้เปล่าๆ เล่า?

ส่วนตัวของซ่งชูอีแล้ว นางไม่ต้องการให้เจียนมีอาจารย์ ทันทีที่มีอาจารย์ก็จะมีความรับผิดชอบอื่น อีกทั้งเขาก็เป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดี หากสำนักใดรับเขาแล้วจะต้องเห็นความสำคัญมากอย่างแน่นอน ครั้นถึงตอนนั้นก็จะเกิดความไม่สมัครใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“ท่าน…อาจารย์ข้ากล่าวว่า…หากท่านยินดี เขาก็จะรับซ่งเจียนเป็นศิษย์” กู่จิงหดคออย่างละอายใจ เหลือบมองสีหน้าของซ่งชูอีพลางกล่าวเสียงเบาว่า “ครั้งหนึ่งข้าพาเขาออกไปฝึกวิชา แล้วถูกอาจารย์จับได้”

“ให้ข้าคิดดูก่อน” ซ่งชูอีเอ่ย นางให้เจ้าอี่โหลวเข้าสำนักม่อแล้ว ครั้งนี้หากต้องการให้เจียนฝากตัวเป็นศิษย์อีกนางก็จะไม่พิจารณาสำนักม่อซ้ำสอง ทว่าก็คิดว่าจนถึงบัดนี้ยังไม่มีสำนักใดที่มีทักษะดาบและอาวุธลับโดดเด่นกว่าสำนักม่ออีกแล้ว แต่ก็มิได้กล่าวอะไรออกมา

“ท่านไม่โทษข้าหรือ?” กู่จิงเอ่ย

ซ่งชูอีตบเขาเบาๆ “ข้าปล่อยให้เจ้าสอนศิลปะการต่อสู้เจียนเป็นการส่วนตัวถือว่าทำไม่ถูกก่อน มิหนำซ้ำยังทำให้เจ้าถูกอาจารย์ตำหนิ เจ้าไม่โทษข้าก็ดีแล้ว”

กู่จิงเอ่ยอุทาน “นักปราชญ์มีเหตุผลจริงๆ”

กู่จิงเป็นเพียงศิษย์นอกสำนักม่อ เป็นเพราะรัฐฉินส่งเขาเข้าเรียนศิลปะของสำนักม่อด้วยราคามหาศาล เขาฟังคำสั่งของรัฐฉินหาใช่สำนักไม่ อีกทั้งเขาก็มิได้เรียนรู้ความลับของศิลปะการต่อสู้ที่แท้จริงของสำนักม่อด้วย อย่างไรก็ดีสำนักม่อเข้มงวดมาโดยตลอด หลายวันนี้กู่จิงไม่สามารถออกมาได้ คิดว่าจะต้องถูกลงโทษไม่น้อย ไม่ว่าจะด้านอารมณ์หรือเหตุผล ซ่งชูอีไม่ควรปล่อยให้กู่จิงแบกรับความรับผิดชอบเพียงลำพัง

“เด็กๆ! เอาพู่กันกับหมึกมา!” ซ่งชูอีกล่าวเสียงสูง

“เจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบรับ

ไม่นานก็มีหญิงสาววัยแรกแย้มหน้าตางดงามคนหนึ่งถือถาดเครื่องเขียนเข้ามา บนถาดมีผ้าไหมสีฟ้าอ่อนม้วนหนึ่ง กระบอกไม้ไผ่ม้วนหนึ่ง พู่กันและหมึกครบครัน

ซ่งชูอีหยิบผ้าไหมออกมา หยิบพู่กันเขียนเทียบแวะคารวะอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย พับใส่กระบอกไม่ไผ่แล้วยื่นให้กู่จิง “เอากลับไปให้ท่านอาจารย์”

“ขอรับ” กู่จิงเอามันใส่ในอก กินเนื้ออย่างรวดเร็วสองสามคำพลันรีบจากไปแล้ว

ซ่งชูอีนั่งอยู่ครู่หนึ่ง ลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องส่วนตัว นางคิดไว้สองสามวิธี ตั้งใจจะให้เจียนเลือกด้วยตัวเอง

ทันทีที่ขึ้นรถม้า ก็ได้ยินคนข้างนอกถามขึ้น “ใช่ซ่งจื่อหรือไม่?”

ซ่งชูอีเลิกผ่านไผ่ออก มองออกไปข้างนอก “พี่หลี่ว์นี่เอง บังเอิญจริง”

“นั่นสิ ข้าเพิ่งมาจากจวนของซ่งจื่อ เดิมทีนึกว่าวันนี้จะไม่เจอเสียแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะเจอในสถานที่เช่นนี้” หลี่ว์เต๋อเฉิงยิ้มเอ่ย

ซ่งชูอีหันไปเห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างหลี่ว์เต๋อเฉิง พยักหน้าน้อยๆ เป็นสัญญาณ แล้วลุกขึ้นลงจากรถม้า

“นี่คือสหายที่ดีที่สุดของข้า ซือหม่าหวยอี้” หลี่ว์เต๋อเฉิงแนะนำ

“ข้าน้อยซือหม่าหวยอี้คารวะท่าน” ซือหม่าหวยอี้อดที่จะสำรวจมองซ่งชูอีมิได้ ครั้นเห็นว่าไม่มีกิริยาขวยเขินของผู้หญิงในพฤติกรรมของนางเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังดูอิสระเสรีกว่าผู้ชายทั่วไปด้วยซ้ำ ความสงสัยในใจก็จางหายไปแปดถึงเก้าส่วน

“สหายซือหม่าไม่ต้องเกรงใจ” ซ่งชูอีมองสำรวจเขาอย่างเปิดเผยและละเอียดถี่ถ้วน หัวเราะอุทาน “สหายซือหม่าดูดียิ่งนัก! ไปๆ เข้าไปดื่มสักสองสามจอก ถึงอย่างไรกลับไปก็คงได้แต่อยู่ในจวนเท่านั้น”

“ท่านเจ้าคะ!”

หนิงยาวิ่งเข้ามาอย่างกระหืดหระหอบ “บ่าวตามหาท่านในโรงสุราสิบกว่าแห่งแล้ว ท่านช่างหลบเก่งจริงๆ! ท่านรีบกลับไปเถิดเจ้าค่ะ ฝ่าบาทต้องการพบ ขันทียังรออยู่ในจวนอยู่เลย!”

“เห็นทีต้องไว้เป็นวันหน้าแล้ว ข้ามีสุราชั้นดีอยู่ในบ้าน ไว้วันไหนข้าจะไปหาพี่หลี่ว์และสหายซือหม่าที่จวน” ซ่งชูอีประสานมือเอ่ยขอโทษ

“เรื่องหน้าที่สำคัญกว่า ซ่งจื่อรีบไปเถิด” หลี่ว์เต๋อเฉิงรีบเอ่ย

“ลาก่อน” ซ่งชูอีประสานมือเอ่ย ไม่ได้นั่งรถม้าอีก ปลดอานม้าตัวหนึ่งแล้วพลิกตัวขี่ม้ารีบกลับไป ผู้อารักขาสองนายรีบตามไปด้วย หนิงยาเดินอยู่ข้างหลังช้าๆ กับคนขับรถม้า

ซือหม่าหวยอี้มองดูเด็กหนุ่มรูปร่างผอมบางในชุดคลุมสีดำขี่ม้าจากไป ผ่านไปเนิ่นนานก็ยังไม่อาจละสายตา

“จ้องมองเช่นนี้ หรือว่าซ่งจื่อหน้าตาเหมือนคู่หมั้นเจ้าที่ล่วงลับ?” หลี่ว์เต๋อเฉิงเอ่ย