บทที่ 283 กักบริเวณ

คู่ชะตาบันดาลรัก

ฮ่องเต้กำลังสนทนากับผู้อื่นอย่างสนุกสนาน พระองค์เห็นทหารรักษาพระองค์รีบวิ่งมาทางนี้ เมื่อเข้ามาใกล้ก็รีบลงจากหลังม้าเข้ามารายงานทันที

“ฝ่าบาท! อันอ๋องตกน้ำพ่ะย่ะค่ะ!”

ฮ่องเต้ตกใจพระองค์ถามกลับไป “ช่วยไว้ได้หรือไม่”

“ช่วยไว้ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

พระองค์พยักหน้าด้วยจิตใจที่สงบลง “พาเขากลับมาก็พอแล้วตื่นตระหนกตกใจเป็นการใหญ่กันทำไม” ทหารลังเลที่จะพูด

ฮ่องเต้เลิกคิ้ว “มีอะไรก็พูดมามัวแต่ลังเลอยู่ได้!”

ทหารมีสีหน้าลำบากใจ “ทูลฝ่าบาท พวกเราไม่สามารถพากลับมาได้ คุณชายสามตระกูลหยางอยู่ที่นั่นด้วยกำลังทะเลาะกับอันอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” ทุกคนรู้สึกสับสน

อะไรนะ คุณชายสามตระกูลหยางทะเลาะกับอันอ๋องงั้นหรือ แล้วเรื่องที่ตกน้ำนั่น…

เรื่องในอดีตของทั้งสอง คนที่ทราบเรื่องนี้มีไม่น้อย

ดูท่าแล้วเป็นแค่การทะเลาะวิวาทใช่หรือไม่ เด็กจากตระกูลอันดับหนึ่งในราชวงศ์นี้ไม่รู้เลยหรือว่าที่นี่เป็นงานอะไร

อ้อ จริงสิ ครั้งนี้ต้องหาสะใภ้ให้แก่พวกเขามาทะเลาะวิวาทกันเช่นนี้ผู้ใดจะกล้าแต่งงานด้วยกัน

ฮ่องเต้ขมวดคิ้วแล้วออกคำสั่งทหาร “เรื่องนี้ทำไม่ถูกต้องแล้วยังหวังให้มาคุ้มครองความปลอดภัยของเจิ้นได้อยู่หรือ ไปให้พ้นหน้าเจิ้นแล้วพาเด็กสองคนนั้นมาที่นี่!” ทหารได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

พวกเขาทำอะไรไม่ถูกจริงๆ หรือ แน่นอนว่าไม่ใช่ แต่เป็นเพราะจัดการสองคนนั้นไม่ไหวต่างหาก! ตอนนี้ฝ่าบาทออกคำสั่งแล้วพวกเขาจึงใช้กำลังบังคับได้

“พ่ะย่ะค่ะ” ทหารรีบไปรายงานพวกเขาตั้งกองกำลังรักษาพระองค์แล้วรีบมุ่งหน้าไปที่ลำธาร

หลังจากนั้นไม่นานอันอ๋องที่เปียกโชก และหยางชูที่ตัวเปื้อนฝุ่นก็ปรากฏตัวต่อหน้าฮ่องเต้

สีหน้าฮ่องเต้เขียวคล้ำด้วยความโกรธ “พวกเจ้าสองคนนับวันยิ่งกำเริบ! เทศกาลชิวเลี่ยพวกเจ้ายังกล้ามาทะเลาะวิวาทกันอีก เจิ้นไม่อยู่ในสายตาพวกเจ้าเลยใช่หรือไม่”

อันอ๋องต้องการอธิบาย “เสด็จพ่อ…”

“หุบปาก!” น่าเสียดายที่ถูกฮ่องเต้ขัดไว้พระองค์ตรัสด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ดูเจ้าสิ ทำตัวสมกับเป็นองค์ชายหรือไม่”

สีหน้าอันอ๋องเหมือนอยากร้องไห้คร่ำครวญ เขารู้ว่าต้องเป็นเช่นนี้! แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเขากันเป็นแค่การตีสนิทมิใช่หรือ ยังไม่ทันที่เขาจะทำอะไรกับสาวงาม เจ้าหยางซานผู้นั้นก็โผล่มาโจมตีเขาและโยนเขาลงน้ำเสียแล้ว

เขาเป็นองค์ชาย เป็นชินอ๋อง! โดนกลั่นแกล้งเช่นนี้กลับไปเขาจะเอาหน้าไปไว้ไหน ไม่สามารถโต้กลับหรือด่ากลับได้เลยใช่หรือไม่

เมื่อต่อว่าอันอ๋องเสร็จพระองค์ก็หันไปมองหยางชู “ข้าเพิ่งบอกว่าช่วงนี้เจ้าเงียบสงบขึ้นเยอะ ดูเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ตอนนี้กลับก่อเรื่องเสียได้ ตอนเด็กยังก่อเรื่องไม่พออีกหรือ ได้! เจิ้นเห็นว่าพวกเจ้ายังได้รับบทลงโทษไม่พอ! ไปให้พ้นหน้าเจิ้นซะ ต่อไปนี้เทศกาลชิวเลี่ยก็ไม่ต้องเข้าร่วมพวกเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ก้าวออกจากกระโจมก่อนเดินทางกลับ!”

ในเวลานี้หยางชูยังคงยิ้มซ้ำยังทำความเคารพอย่างสุภาพนอบน้อม “รับทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ” แล้วเขาก็เหลือบมองอันอ๋องแล้วแค่นหัวเราะแล้วเงยหน้ายืดอกรับโทษ ผู้ที่ไม่รู้คงคิดว่าเขาเป็นผู้ชนะในสนามรบ

อันอ๋องโกรธมาก เขารับโทษอย่างเชื่อฟังซึ่งตนเองทำได้เพียงยอมรับเท่านั้น ไม่เช่นนั้นเสด็จพ่อจะทรงกริ้วหนัก

ซึ่งมันไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลย!

…………

เจี่ยงเหวินเฟิงคำนวณในใจตอนนี้ฟ้าคงมืดแล้วใช่หรือไม่

แต่หูกลับได้ยินเชี่ยนเหนียงพูดว่า “ตอนนี้เวลาค่ำแล้วเจ้าค่ะ ด้านนอกห้องลับมีคนคอยคุ้มกัน แต่ท่านพี่คุยกับข้าได้นะเจ้าคะ พูดเสียงเบาข้างนอกคงไม่ได้ยิน”

เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้าแล้วพูดเสียงเบา “เรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อน สิ่งที่อาจารย์ฟู่เตรียมนั้นไม่ได้มีไว้สำหรับข้าแน่นอน ดูเหมือนเขาจะคาดหวังว่าวันหนึ่งจะมีคนค้นพบตราประทับนี้”

เขาชะงักและพูดใหม่ว่า “หรือมีคนค้นพบห้องลับของเขา”

เชี่ยนเหนียงสงสัย “เขาคิดจะทำอะไรกันแน่เจ้าคะ ตราประทับนั่นมีกลไกอะไรกัน”

เจี่ยงเหวินเฟิงไม่เคยปิดบังอะไรนาง เขาพูดอย่างตรงไปตรงมา “นั่นเป็นตราประทับส่วนตัวของซือฮว๋ายไท่จื่อ”

“ซือฮว๋ายไท่จื่อ…” เชี่ยนเหนียงนึกอย่างยากลำบาก “ท่านพี่หมายถึงไท่จื่อของฮ่องเต้องค์ก่อนหรือเจ้าคะ”

“ใช่แล้ว” เจี่ยงเหวินเฟิงตอบเสียงเบา “เมื่อครู่ข้านึกถึงชีวิตของอาจารย์ฟู่ พบว่าน่าสนใจมาก”

“อย่างไรหรือเจ้าคะ”

“อาจารย์ฟู่ฝากตัวเป็นศิษย์กับอาจารย์หลายท่าน และหนึ่งในนั้นเป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แซ่กู้…”

เชี่ยนเหนียงตอบสนองทันที “ท่านพี่หมายถึงกู้เหวินต๋าหรือเจ้าคะ”

เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้า “ใช่ นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้มีชื่อเสียงในราชวงศ์ก่อน แต่ในราชวงศ์นี้ฮ่องเต้ไท่จู่เชิญเขาให้ดำรงตำแหน่งราชครูเป็นอาจารย์สอนซือฮว๋ายไท่จื่อ”

“หมายความว่า อาจารย์ฟู่กับซือฮว๋ายไท่จื่อเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน!”

“ใช่!”

เมื่อได้ข้อสรุปนี้ทั้งคู่ก็เงียบไปเรื่องนี้ค่อนข้างน่าตกใจเป็นอย่างมาก!

ผ่านไปสักพักเชี่ยนเหนียงพูดว่า “ท่านพี่ เหตุผลที่ท่านมาที่สถานศึกษาซานไถเป็นเพราะแม่นางหมิงไหว้วานมา นางบอกว่าเป็นคดีฆาตกรรม วันที่สิบเดือนสี่เมื่อสามปีก่อน อาจารย์ฆ่าคน…”

เจี่ยงเหวินเฟิงส่ายหน้ารัว “เป็นไปไม่ได้ ชีวิตคนที่แม่นางหมิงพูดมานั้นข้าคิดว่ามีความหมายอื่น เพราะฉะนั้นข้าเลยบอกว่าเบื้องหลังเรื่องนี้ค่อนข้างน่ากลัว แต่ทำไมถึงได้พูดถึงตราประทับนี้กัน ตราประทับนี้มีความสำคัญมาก ถ้าไม่จำเป็นอาจารย์คงไม่นำออกมา หมายความว่าคดีนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับซือฮว๋ายไท่จื่อ…”

เชี่ยนเหนียงคิดในใจที่แม่นางหมิงกล่าวมาก่อนหน้านี้ คดีนี้เกี่ยวพันกันมากเกินไป ช่างทำให้ผู้คนหวาดกลัวจริงๆ

“เชี่ยนเหนียง” เจี่ยงเหวินเฟิงเรียก “ข้าคิดว่าอาจารย์ฟู่ไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าข้า อย่าเพิ่งรีบร้อน เราตรวจสอบคำพูดของเขาก่อน”

เชี่ยนเหนียงรู้สึกกังวลเล็กน้อย “หากเกิดอะไรขึ้นมาจะทำอย่างไรเจ้าคะ เขาเคยฆ่าคนมาก่อน”

“แต่เขาไม่ฆ่าข้าใช่หรือไม่ ข้าถามเขาไปเช่นนั้นแต่เขากลับเดินออกไป” เจี่ยงเหวินเฟิงครุ่นคิดช้าๆ

“ข้าคิดว่านี่อาจเป็นโอกาสหนึ่ง เขาเก็บตราประทับนั่นมาหลายปี จู่ๆ มาแสดงตัวต่อหน้าคนเมื่อสามปีก่อน แน่นอนว่าเขาต้องมีเหตุผลของเขา บางทีอาจเป็นความลับที่ยาวนาน คนเก็บความลับมาหลายปี แต่ไม่มีผู้ใดให้พูดด้วยได้คงต้องเหงามาก ยิ่งกว่านั้นซือฮว๋ายไท่จื่อสิ้นพระชนม์แล้วจึงไม่จำเป็นต้องยืนกรานในหลายๆ เรื่องเลย บางทีข้าอาจจะต้องลองง้างปากเขาดู!”

เชี่ยนเหนียงไม่ได้คาดหวังอะไรมาก นางรู้ว่าเมื่อสามีได้ตัดสินใจแล้ว นางต้องไม่หวั่นไหวจึงพูดได้เพียงว่า “อย่างน้อยอีกหนึ่งวัน เขาไม่ให้อาหารท่านเช่นนี้ ถ้าท่านอดทนต่ออีกวันร่างกายอาจอ่อนแรงและไม่สามารถหนีพ้นได้นะเจ้าคะ”

เจี่ยงเหวินเฟิงยิ้ม “ได้ ข้าจะลองอีกครั้ง วันรุ่งขึ้นหากเขาไม่มา พวกเราค่อยคิดหาวิธีหนีโดยไม่ต้องสนใจผลลัพธ์แล้ว”

พวกเขารอจนกระทั่งเวลาเที่ยงของวันที่สอง เจี่ยงเหวินเฟิงที่กำลังหิวได้กลิ่นหอมของอาหาร

เขาได้ยินเสียงคนเข้ามาเชี่ยนเหนียงพูดข้างหูว่า “เป็นอาจารย์ฟู่เจ้าค่ะ”

เสียงเก้าอี้เคลื่อนไหวดังขึ้น และในไม่ช้าข้าวหนึ่งช้อนก็ถูกส่งไปที่ปากของเจี่ยงเหวินเฟิง เขายิ่งมั่นใจมากขึ้นไปอีกว่าอาจารย์ฟู่ไม่ได้ต้องการฆ่าเขาจริงๆ

เจี่ยงเหวินเฟิงไม่พูดอะไร เขาทานข้าวไปเรื่อยๆ จนหมดชาม

เจี่ยงเหวินเฟิงที่ทานอิ่มท้องแล้วตั้งใจจะพูดว่า “อาจารย์ ท่านคิดจะปล่อยข้าไปหรือไม่” ฟู่จินไม่ตอบอะไร

เขาพูดอีกว่า “ท่านกำลังคิดเกี่ยวกับวิธีจัดการกับข้าอยู่ใช่หรือไม่”

ชามและตะเกียบถูกนำไปวางอยู่บนโต๊ะอย่างแรง

…………..