ฉินจิ้นมองไปยังสองทหารใต้บังคับบัญชา หลินมู่อวี่และฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนซึ่งเป็นทหารองครักษ์อันดับต้นๆ เรื่องพละกำลังและความจงรักภักดีไม่เป็นที่กังขา อีกทั้งยังสามารถจัดการกับกลุ่มสารวัตรทหารไม่ให้ก่อความวุ่นวายได้ ตราบใดที่เซี่ยงอวี้ไม่อยู่…กลุ่มก็จะขาดผู้นำ และการกำจัดผู้บัญชาการกองพันทั้งหลายออกไป แล้วแต่งตั้งคนใหม่เข้ามา กลุ่มสารวัตรทหารก็จะถึงคราวเปลี่ยนมือผู้ดูแลเสียที

ดูเหมือนหลินมู่อวี่จะมองความคิดของฉินจิ้นออก เขายิ้มและประสานมือคำนับ “เสด็จพ่อ…ข้ามีพลังแข็งแกร่งมากก็จริง ทว่าท่านผู้นำเหล่ยหงก็เพิ่งแต่งตั้งให้ข้าเป็นหนึ่งในผู้นำวิหารศักดิ์สิทธิ์ บวกกับตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์อินทรีที่ข้ามีอยู่แล้ว ข้าเกรงว่าจะไม่มีความสามารถมากพอจะรับตำแหน่งสำคัญอย่างผู้นำสารวัตรทหารเพิ่มได้อีก ข้าจึงอยากกราบเรียนเสด็จพ่อให้ลองหาผู้อื่นแทนขอรับ”

ฉินจิ้นยิ้มพลางกล่าว “เช่นนั้นอาอวี่ เจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นผู้บัญชาการ อย่างที่เสี่ยวอินเคยกล่าว…ตำแหน่งผู้บัญชาการสารวัตรทหารนั้นสำคัญมาก จึงต้องเป็นคนที่ข้าวางใจได้”

ถังเสี่ยวซียิ้ม “ข้าแต่ฝ่าพระบาท…พระองค์ทรงเชื่อพระทัยกระหม่อมหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

ฉินจิ้นหลุดหัวเราะ “เสี่ยวซีเป็นหญิงสาว…กลุ่มสารวัตรทหารมีแต่พวกผู้ชายหยาบกระด้าง มันจึงเป็นการไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยน เจ้าอยากเป็นผู้บัญชาการสารวัตรทหารหรือไม่?”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนตกใจ เริ่มลังเลกับสิ่งที่ได้รับเสนอ

“เหตุใดจึงลังเลเช่นนั้นเล่า? เจ้าไม่ต้องการรึ?”

ฉินจิ้นประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้ารู้หรือไม่…แม้กองสารวัตรทหารจะมีเพียงสองพันคน ทว่าก็มีอำนาจมากที่สุดในบรรดากองทัพทั้งหมดในจักรวรรดิ หากเจ้าได้เป็นผู้บัญชาการกลุ่มนี้สวัสดิการที่ได้รับจะเทียบเท่ากับแม่ทัพ ทั้งยังได้รับกองกำลังที่แข็งแกร่งกว่าหน่วยองครักษ์มังกรของเจ้าเสียอีก!”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนมีสัท่าเคร่งเครียด มองจักรพรรดิพลางประสานมือคำนับและกล่าว “ขอกราบทูลฝ่าพระบาทพ่ะย่ะค่ะ ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนอยากเป็นผู้บัญชาการ ทว่าไม่ใช่ของกลุ่มสารวัตรทหาร กระหม่อมอยากเป็นแม่ทัพที่ต่อสู้เพื่อองค์จักรพรรดิ หากพระองค์เชื่อพระทัยกระหม่อม ขอทรงโปรดประทานตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพเขาเหินให้แก่ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนผู้นี้ด้วย หากพระองค์ทรงกรุณากระหม่อมจะขอดื่มเลือดสาบานโดยไม่ลังเลเลยพ่ะย่ะค่ะ!”

“โอ้?”

ฉินจิ้นหัวเราะก่อนจะกล่าวด้วยความโล่งใจ “ไม่มีปัญหา! การดูแลทหารกว่าสามหมื่นนั้นหนักเกินไปสำหรับเฟิงจี้สิง อีกทั้งกองทัพเขาเหินทั้งหนึ่งหมื่นเจ็ดพันนายก็เป็นถึงทหารชั้นยอด เช่นนั้น…ข้าขอแต่งตั้งให้ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนเป็นผู้บัญชาการกองกำลังเขาเหินมีผลตั้งแต่บัดนี้ และให้ทำควบคู่ไปกับตำแหน่งผู้บัญชาการองครักษ์มังกร เจ้าเห็นด้วยหรือไม่?”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนทำการคารวะอย่างมีความสุข “เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งพ่ะย่ะค่ะ!”

ฉินจิ้นลูบเคราของตนพลางยิ้มและเอ่ยขึ้น “ในวันข้างหน้าเจ้าจำต้องซื่อสัตย์กับเสี่ยวอินให้มาก เพราะพวกเจ้าจะเป็นกำลังสำคัญของจักรวรรดิ”

“กระหม่อมน้อมรับคำบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”

ฉินอินเอ่ยขึ้นขึ้น “เสด็จพ่อ เรายังไม่ได้เลือกผู้บัญชาการกองสารวัตรทหารเลยนะเจ้าคะ!”

“จริงสิ…”

ฉินจิ้นเริ่มรู้สึกไม่สบายเล็กน้อย “มีคนที่ข้าเชื่อใจอยู่น้อยนัก…ผู้ที่กล้าหาญเพียงพอจะรับภาระอันหนักอึ้งนี้ เฟิงจี้สิงก็เป็นถึงผู้บัญชาการกององครักษ์สามหมื่นนาย มีหน้าที่คอยดูแลความสงบของเมืองหลวง ตามที่ฉินเหลยกล่าว…เขาเป็นคนซื่อตรงและเชื่อคนง่าย จึงไม่เหมาะกับตำแหน่งผู้บัญชาการกองสารวัตรทหาร เจ้ามีใครแนะนำอีกหรือไม่เสี่ยวอิน?”

ทุกคนต่างไม่คาดคิดว่าฉินอินจะเป็นหญิงที่กล้าหาญและน่านับถือเช่นนี้ นางยิ้มพลางกล่าวอย่างมั่นใจ “ลูกขอเสนอตัวรับตำแหน่งเจ้าค่ะ!”

“เจ้าว่ากระไรนะ?”

ฉินจิ้น หลินมู่อวี่ ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนและคนอื่นๆ ต่างตกตะลึงไปตามกัน

“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร เจ้าเป็นถึงเจ้าหญิงแห่งอาณาจักร…”

“เหตุใดจึงไม่ได้เจ้าคะ?”

ฉินอินมองหน้าพ่อของตนพลางยิ้ม “เพราะข้าเป็นเจ้าหญิงข้าจึงควรรู้เรื่องของทหารอวี้หลินให้มากขึ้น สารวัตรทหารนั้นรับผิดชอบควบคุมกฎของทหารแห่งอาณาจักร ดังนั้นตำแหน่งใดมีหน้าที่ใกล้เคียงกับจักรพรรดินีเช่นผู้บัญชาการสารวัตรอีกเล่า? หากเสี่ยวอินต้องดูแลทหารองครักษ์อวี้หลินทั้งหมด…ก็ให้การรับตำแหน่งนี้เป็นก้าวแรกเถิด เสี่ยวอินโตแล้วนะเจ้าคะ…ไม่ใช่ฉินอินผู้อ่อนแออีกแล้ว”

ฉินจิ้นขมวดคิ้วลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเงยหน้าถาม “อาอวี่ ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน กับผู้เฒ่าชวี พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร?”

หลินมู่อวี่คำนับก่อนจะเอ่ย “การที่เสี่ยวอินเสนอตัวเองนั้นช่างน่าตกใจยิ่งขอรับ ทว่าเมื่อลองตริตรองเหตุผลให้ดี หากพระองค์ส่งองครักษ์มังกรที่เก่งกาจจำนวนหนึ่งเข้าไปรับตำแหน่งสำคัญในกองสารวัตรทหารหลังเสี่ยวอินได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการแล้ว คงช่วยให้นางควบคุมสารวัตรทหารรวมไปถึงกองทัพอวี้หลินทั้งอาณาจักรได้ง่ายขึ้น ส่วนเรื่องความปลอดภัย…ข้าจะส่งองครักษ์อินทรียี่สิบคนไปเป็นองครักษ์ส่วนพระองค์ของเสี่ยวอินให้ขอรับ”

ฉินจิ้นกล่าว “เสี่ยวอินเป็นทายาทผู้สืบทอดบัลลังก์ ข้าหวังว่าความปลอดภัยของนางต้องมาเป็นอันดับแรกและห้ามมีการผิดพลาดใดๆ เกิดขึ้นเด็ดขาด!”

ชวีฉูที่อยู่ด้านข้างคำนับพลางยิ้ม “องค์จักรพรรดิ กระหม่อมเห็นชอบให้เป็นเช่นนี้ดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ…กระหม่อมจะคอยอารักขาพระองค์ในตำหนักเอง ดังนั้นพระองค์โปรดออกคำสั่งให้เหล่ยหงผู้นำแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์เข้ารับตำแหน่งรองผู้บัญชาการกองสารวัตรทหารเพื่อดูแลองค์หญิงฉินอิน ส่วนวิหารศักดิ์สิทธิ์…หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นก็อาอวี่ผู้มากประสบการณ์ดูแลในฐานะใต้เท้าดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

ฉินจิ้นหัวเราะ “ข้าเห็นชอบกับที่ผู้เฒ่าชวีกล่าว ทว่าด้วยอาอวี่ยังหนุ่มและไม่มีความอาวุโสมากพอ พ่อจึงแต่งตั้งให้เจ้าเป็นผู้นำไม่ได้ เช่นนั้นเจ้าจะสามารถทำหน้าที่ผู้นำในฐานะใต้เท้าแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์แทนได้หรือไม่?”

หลินมู่อวี่ยิ้มพลางประสานกำปั้นคำนับ “ตามเสด็จพ่อเห็นสมควรขอรับ…”

“เช่นนั้นก็ให้เป็นตามที่ข้าพูดก็แล้วกัน!”

ฉินจิ้นหัวเราะก่อนหันไปมองฉินอิน “เสี่ยวอิน หากมีปัญหาอันใดในการดูแลกองสารวัตรทหาร จงปรึกษาผู้นำเหล่ยหง…เข้าใจหรือไม่?”

“ทราบแล้วเจ้าค่ะเสด็จพ่อ ข้าจะไปเตรียมตัวเดี๋ยวนี้”

“พรุ่งนี้เช้าข้าจะขับไล่เซี่ยงอวี้ออกจากตำหนักพวกเจ้าจงมาร่วมเป็นสักขีพยานด้วย”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

หลังจบการหารือ หลินมู่อวี่จึงกลับไปยังวิหารศักดิ์สิทธิ์พร้อมพระราชกฤษฎีกาถึงเหล่ยหง ผู้เฒ่าเมื่อได้รับสาส์นก็หัวเราะทั้งน้ำตา “ข้าอายุปูนนี้แล้วยังต้องไปรับตำแหน่งรองผู้บัญชาการอีกหรือ…โอ้ เหล่ยหงผู้นี้ไม่เคยนึกถึงชื่อเสียงหรือโชคลาภใด ตลอดชีวิตที่ผ่านมาข้าไม่ได้อยากเป็นทหาร ตอนนี้ก็เช่นกัน…ข้าไม่อยากเป็นรองผู้บัญชาการ”

หลินมู่อวี่หัวเราะ “ท่านผู้นำ หน้าที่ของท่านเพียงติดตามคุ้มกันองค์หญิงในฐานะรองผู้บัญชาการ ไม่ได้มีสิ่งใดมากไปกว่านั้น โปรดเข้าใจเสียใหม่เถิดขอรับ”

“อืม”

เหล่ยหงวางสาส์นในมือลงก่อนจะจ้องหน้าหลินมู่อวี่ “อาอวี่ จากที่ข้าได้อ่านมีถ้อยกล่าวถึงการรับหน้าที่ผู้นำชั่วคราว อย่ากังวลไปวันข้างหน้าทุกอย่างในวิหารศักดิ์สิทธิ์จะถูกส่งมอบให้แก่เจ้า!”

หลินมู่อวี่กล่าวอย่างนอบน้อม “เช่นนั้นข้าควรระวังให้มาก เพื่อไม่ทำให้วิหารศักดิ์สิทธิ์ต้องล่มสลาย”

“อืม ข้าจะออกไปช่วงบ่าย” เหล่ยหงหันไปมองเกอหยางที่อยู่ไม่ไกล “ใต้เท้าเกอหยาง ช่วงที่ข้าไม่อยู่…หากเจ้าต้องการสิ่งใดจงกล่าวแก่ใต้เท้าหลิน และช่วยเหลือเขาทุกสิ่งอย่างสุดหัวใจ เข้าใจหรือไม่?”

เกอหยางยิ้มตอบ “เข้าใจขอรับ”

กระทั่งบ่ายคล้อย เหล่ยหงทำการเก็บข้าวของเตรียมย้ายไปกองสารวัตรทหาร ม้วนคัมภีร์มากมายที่เป็นสมบัติของเขาถูกขนติดตัวไปด้วย เหล่ยหงได้ร่ำเรียนวิทยายุทธ์มาทั้งชีวิตราวกับกระหายใฝ่รู้อยู่ตลอด หลินมู่อวี่พาฉินอิน เกอหยางและคนอื่นๆ ไปส่งเหล่ยหงด้านนอกวิหาร ระหว่างกลับเข้าด้านในเกอหยางยิ้มกล่าวอย่างอนบน้อม “อาอวี่ ข้าทำความสะอาดโถงประชุมที่เป็นห้องทำงานให้เจ้าแล้วไปดูก่อนเถิด แล้วข้าจะนำเอกสารที่ต้องตรวจสอบวันนี้ตามไปให้”

“อ้อ ขอบพระคุณมากขอรับ…”

หลินมู่อวี่รู้สึกประหม่า ก่อนหน้าเขากลับเข้ามาพร้อมเกอหยาง โถงประชุมมันเคยสกปรกเต็มไปด้วยฝุ่นมาก่อน ทว่าตอนนี้มันกลับถูกทำความสะอาดจนเรียบ โดยมีโต๊ะใหญ่ตัวหนึ่งวางอยู่ติดขอบหน้าต่างพร้อมกับนาฬิกาลูกตุ้มที่สลักตราวิหารศักดิ์สิทธิ์ไว้ หลินมู่อวี่เดินไปนั่งยังโต๊ะของตนอย่างพึงพอใจ เขาไม่เคยใช้โต๊ะทำงานเช่นนี้มาก่อน การถูกปฏิบัติในฐานะผู้นำนั้นช่างแตกต่าง…แม้เขาจะเป็นเพียงใต้เท้า

มีทหารยามสองคนเฝ้าอยู่ตรงประตู และข้ารับใช้อายุราวสี่สิบปีชื่อ “จิ๋นซาง” ทว่าหลินมู่อวี่ชอบเรียกเขาว่าลุงจิ๋นเสียมากกว่า

“ใต้เท้าหลิน บ่ายนี้รับเป็นชาดำหรือชาเขียวดีขอรับ?” จิ๋นซางเอ่ยถามอย่างนอบน้อม

หลินมู่อวี่มองชายรับใช้พลางยิ้ม “ข้าขอชาเขียว ขอบพระคุณมากขอรับลุงจิ๋น”

“อย่าสุภาพนักเลยขอรับ ข้าจะไปเตรียมชาให้เดี๋ยวนี้”

จิ๋นซางจากไปไม่นานเกอหยางก็เข้ามาพร้อมกับเอกสารกองใหญ่วางบนโต๊ะ “เอกสารพวกนี้คือสิ่งที่เจ้าต้องจัดการวันนี้ ลองดูก่อนเถิด หากไม่เข้าใจให้ถามข้า”

“ขอบพระคุณขอรับใต้เท้าเกอหยาง”

หลินมู่อวี่อ่านเอกสารชิ้นแรกที่เขียนไว้ว่า “การรับสมัคร โถงสอบสวนขาดองครักษ์สี่นาย รับสมัครยอดฝีมือขอบเขตมนุษย์ขั้นสองสี่คน ให้คนละห้าสิบเหรียญทอง รวมทั้งหมดสองร้อยเหรียญทอง”

ท้ายข้อความหลินมู่อวี่ลงชื่อตนเองพร้อมกับประทับตราผู้นำ

เอกสารชิ้นต่อไป “การซ่อมแซม ดาบยี่สิบสี่เล่มพังเมื่อสามวันก่อน ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมทั้งหมดหนึ่งร้อยสี่สิบเจ็ดเหรียญทอง ได้รับการชำระแล้วโดยคลังอาวุธ โปรดอนุมัติ”

หลินมู่อวี่ลงชื่อตนเองพร้อมกับประทับตราผู้นำ

เมื่อลองอ่านให้ดีเนื้อความเหล่านี้เป็นเพียงปัญหาเล็กน้อยเท่านั้น เหมือนงานเลี้ยงมื้อค่ำใช้ไก่และแกะไปทั้งหมดกี่ตัว หลินมู่อวี่แอบถอนหายใจ…งานของผู้นำวิหารศักดิ์สิทธิ์ช่างน่าปวดหัว ทั้งที่ยังไม่ถึงสิ้นเดือนแท้ๆ มิเช่นนั้นคงต้องนั่งเครียดกับค่าเงินเดือนปรมาจารย์และครูฝึกอีก

หลินมู่อวี่หารู้ไม่ว่าความปวดหัวกำลังมาเยือน เมื่อมีใครบางคนเคาะประตูพร้อมกับเสียงที่คุ้นเคย “ท่านแม่ทัพอยู่หรือไม่ขอรับ?”

“เข้ามา!” หลินมู่อวี่ตอบ

เว่ยโฉวเดินยิ้มเข้ามาพร้อมกับม้วนกระดาษเป็นกอง “ท่านแม่ทัพ นี่เป็นเอกสารที่รอการพิจารณาเดือนนี้ของหน่วยองครักษ์อินทรี ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการซ่อมแซมอาวุธ อาหารและงบประมาณต่างๆ ขอรับ กรุณาตรวจสอบและลงนามตอบรับ หากไม่มีลายมือของท่านทางศูนย์ใหญ่อวี้หลินจะไม่แจกจ่ายเสบียงให้เราขอรับ”

“ตอบรับอีกแล้ว…”

หลินมู่อวี่บ่นพึมพำขณะที่ปวดหัวจนแทบระเบิด เกอหยางที่อยู่ข้างๆ แอบหัวเราะกับท่าทีของเขา

กระทั่งใกล้พลบค่ำ ในที่สุดเอกสารทั้งหมดก็ถูกจัดการจนแล้วเสร็จ หลินมู่อวี่ถอนหายใจอย่างโล่งอก คืนนี้จะได้ฝึกวิชาสี่มิติเสียที ทว่าความคิดที่วาดฝันไว้ก็ถูกทำลายลงเมื่อจางเว่ยเข้ามาพร้อมกับเหยือกไวน์ พลางบ่นคิดถึงเพื่อนเก่าที่ได้พบกันและชวนดื่ม

คืนนี้คงไม่ต้องทำอะไรแล้ว…

เช้าต่อมา หลินมู่อวี่ตื่นขึ้นพร้อมกับอาการเมาค้าง ทันใดนั้นจิ๋นซางก็เคาะประตูเรียกจากด้านนอก “ใต้เท้าหลิน ท่านมีภาระงานต้องไปตำหนักเจ๋อเทียนเพื่อเคลื่อนย้ายนักโทษเซี่ยงอวี้ออกจากเมืองเช้านี้ขอรับ!”

“โอ้…”

หลินมู่อวี่พยุงร่างหนักอึ้งลุกขึ้นยืน ฉินจิ้นออกคำสั่งนี้ด้วยตนเอง เขาจะเพิกเฉยไม่ได้