บทที่ 270: ห้ากองทัพไร้เทียมทาน

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 270: ห้ากองทัพไร้เทียมทาน

อาร์ทิสมองฉินเย่ด้วยสายตาเหลือเชื่อ จินตนาการของเจ้าจะสูงส่งเกินไปแล้ว ถ้ามันทำเช่นนั้นได้ข้าจะบอกให้เจ้าแย่งดวงวิญญาณของโนบูนางะมาทำไม ?

จากนั้นนางจึงเอ่ยขึ้นว่า “แน่นอนว่าไม่ ดวงวิญญาณของเยว่เฟย หรือที่รู้จักกันในนาม ‘เยว่หวู่มู่’ ในตอนนี้อยู่ที่ญี่ปุ่น ข้าเพียงใช้ชื่อของเขาเป็นตัวอย่างเท่านั้น… เหตุใดเจ้าต้องถอนหายใจเช่นนั้นด้วย ?!”

ฉินเย่กลอกตา

เยว่เฟยเป็นชายผู้ที่มีความมุ่งมั่นมากเสียจนบางทีก็กลายเป็นความเอาแต่ใจ ด้วยความทะเยอทะยานที่เอื่อยเฉื่อยในการขึ้นครองบัลลังก์ของฉินเย่ นิสัยส่วนตัวของอีกฝ่ายจึงตรงข้ามกับเขาโดยสมบูรณ์ และมันอาจจะจบลงด้วยการสร้างความยากลำบากให้เขาก็เป็นได้ ผู้ใดจะไปรู้ ฉินเย่อาจจะต้องใช้พระราชสาส์นทองคำ 12 ฉบับอีกครั้งก็เป็นได้…

อ้าว ? ท่านยังมีชีวิตอยู่อีกหรือ ? โอเค… ข้าจะมอบพระราชสาส์นทองคำอีก 12 ฉบับให้ท่านเพื่อส่งท่านไปยังโลกหลังความตาย… [1]

อาร์ทิสรับรู้ถึงความคิดของฉินเย่ได้ทันที และนางก็สบถออกมาเบา ๆ ข่มความคิดที่จะฆ่าอีกฝ่ายทิ้งและเอ่ยเสียงเย็น “ถึงแม้ว่าดวงวิญญาณของเยว่เฟยอาจจะขึ้นสวรรค์ไปพร้อมกับพระกษิติครรภโพธิสัตว์แล้ว แต่เราก็สามารถเรียกกองกำลังที่อยู่ภายใต้การบังคับการของเขาจากความช่วยเหลือของสมุดแห่งความเป็นตายได้ และสิ่งนี้ก็จะทำให้เราเรียกพวกเขากลับมาเข้าร่วมกลุ่มกับยมโลกอีกครั้ง แต่มันจำกัดเฉพาะนายทหารขั้นธรรมดาเท่านั้น ไม่สามารถเรียกผู้บังคับบัญชาหรือแม่ทัพกลับมาได้”

“กองทัพตระกูลเยว่ ?” ฉินเย่เอียงศีรษะ ใบหน้าของเขาสดใสขึ้นมาทันที

“หากพูดให้ถูกต้องก็คือข้ากำลังพูดถึงหน่วยทหารม้าเป่ยเว่ย” อาร์ทิสอธิบาย “ในประวัติศาสตร์ของจีนมีกองกำลังอยู่ทั้งสิ้นห้ากลุ่มที่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ซึ่งได้แก่กองทัพเป๋ยฟู หน่วยทหารม้าเป่ยเว่ย กองกำลังเคชิก ทัพเกราะทมิฬ และกองกำลังทหารม้าอี้ติง กองกำลังทั้งห้านี้คือกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของจีน และเป็นที่รู้จักในชื่อของห้ากองทัพไร้เทียมทานในประวัติศาสตร์ รายชื่อของกองกำลังทั้งหมดเองก็ถูกบันทึกอยู่ในนี้เช่นกัน”

ฉินเย่อ้าปากค้าง

ชาวจีนหลายคนต่างเคยได้ยินชื่อกองกำลังทั้งห้านี้มาบ้างไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง หากพูดกันตามความจริง พวกเขาทรงพลังมากจนเทียบได้กับตัวแทนของแต่ละราชวงศ์ในสมัยนั้นเลยก็ว่าได้ ตัวแทนของยุคสมัยแห่งความรุ่งโรจน์ของประวัติศาสตร์จีน !

ดังนั้นมันจะดีแค่ไหนหากพวกเขาสามารถเรียกกองกำลังพวกนี้กลับมาเพื่อช่วยคุ้มกันยมโลกที่กำลังไร้ซึ่งเกราะป้องกันได้ ?!

หากมองในมุมแคบ ในที่สุด… ยมโลกก็มีกองกำลังพิเศษที่จะสามารถส่งออกไปเพื่อแย่งชิงดวงวิญญาณของผู้มีพรสวรรค์ได้เสียที !

ต้องยอมรับเลยว่าในทุกวันนี้… ผู้ที่มีพรสวรรค์ส่วนใหญ่มักจะปรากฏตัวขึ้นที่แถวอูโซเนีย ในอดีต การแย่งชิงดวงวิญญาณจากอูโซเนียนั้นเป็นไปไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว แต่ด้วยกองกำลังเหล่านี้ การส่งเจ้าหน้าที่ไปยังสถานที่แห่งนั้นก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป !

เมื่อเทียบกับวิญญาณทั่วไปที่อยู่ในยมโลกตอนนี้ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยนอกจากกิน ดื่ม ก่อกบฏ กองกำลังเหล่านี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นกลุ่มขนนกทมิฬโดยกำเนิด ! อย่างมากที่สุด… พวกเขาก็แค่ต้องผ่านการฝึกฝนเล็กน้อยก่อนที่จะพร้อมใช้งาน !

และในมุมกว้าง…

เขายังสามารถคิดเรื่องการทำสงครามได้ด้วย !

ไม่ใช่สงครามขนาดใหญ่อย่างการยึดครองอาณาเขต แต่เป็นสงครามขนาดเล็ก อย่างเช่น… การลงประชาทัณฑ์ราชาผีทั้งสามที่เหลืออยู่ !

หลังจากที่ได้เห็นการต่อสู้ที่ช่องแคบสึชิมะ ฉินเย่ก็เข้าใจทันทีว่ามันยังเร็วเกินไปที่จะพิจารณาถึงการทำสงครามระหว่างโลกใต้พิภพด้วยกัน แต่ถึงกระนั้น ด้วยกองกำลังที่สนับสนุนเขาพวกนี้ อย่างน้อยเขาก็พอมีโอกาสที่จะสามารถจัดการราชาผีทั้งสามในจีนได้

“มันยังเหลือเวลาอีกปีครึ่งกว่าหน้าที่อาจารย์ผู้สอนของเราที่สำนักฝึกตนแห่งแรกจะสิ้นสุดลง ไม่สิ อันที่จริง เราจะเริ่มเข้าสู่ภาคปฏิบัติในอีกไม่ถึงหกเดือน แต่เราก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะได้รับคำสั่งย้ายหรือให้ไปประจำการที่ไหน ด้วยความสามารถของเราในตอนนี้ มันมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะได้รับมอบหมายให้ไปยังสถานที่ซึ่งมีการแพร่ระบาดที่รุนแรงที่สุด และหากเป็นอย่างนั้น เราก็จะกลายเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาหนึ่งในสามราชาผีด้วยตัวเอง” ฉินเย่ลูบคางของตัวเองด้วยดวงตาที่เป็นประกาย

มันคงใช้เวลาอีกไม่นานก่อนที่เขาจะได้เผชิญหน้ากับราชาผีตนแรก…

การพัฒนาตนเองในปีนี้นำประโยชน์มากมายมาสู่เขา อย่างน้อยที่สุด การหนีก็ไม่ใช่ตัวเลือกเดียวของเขาในตอนนี้อีกต่อไป หากกองกำลังของเชาโยวเต๋าและเจ้าตัวปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขาอีกครั้งในตอนนี้ ต่อให้อีกฝ่ายจะรวบรวมวิญญาณทุกตนในเมืองเป่าอันมา ฉินเย่ก็สามารถหยุดการจลาจลได้ทันทีด้วยหน่วยทหารม้าเป่ยเว่ย

กฎหมายจำเป็นต้องมีการบังคับใช้ และมันจะเป็นตอนที่เขามีกองกำลังที่รุนแรงแล้วเท่านั้นที่เขาจะสามารถยืดหลังตรงและเอ่ยออกไปอย่างวางอำนาจได้

ผู้ที่ไม่เชื่อฟังจะต้องถูกลงโทษ !

เขาลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้นและผลักอาร์ทิสออกไปขณะที่เริ่มพลิกหน้ากระดาษของสมุดแห่งความเป็นตายด้วยตัวเอง “ถ้าเช่นนั้น… ครั้งหนึ่งเราสามารถเรียกมาได้เท่าไหร่ ? 5 หมื่น ? 1 แสน ? ท่านคิดว่าเราจะสามารถยึดครองสิงหปุระ มาลายา และสยามด้วยกองกำลังกลุ่มใหม่ของเราได้หรือไม่ ? ท่านเคยพูดไม่ใช่หรือว่าการทำสงครามคือทางที่ดีที่สุดในการพัฒนายมโลก ? เรา… มาลองดูกันเลยดีหรือไม่ ?”

อาร์ทิสค่อนข้างไม่พอใจกับการที่ฉินเย่ผลักตนออกมา นางจึงตอบออกไปด้วยคำพูดที่ดับความหวังของอีกฝ่าย “เจ้ากล้าปรารถนาที่จะยึดครองสิงหปุระ มาลายา และสยามโดยที่มีแค่กองกำลังของโนบูนางะอยู่ภายใต้บังคับบัญชาน่ะหรือ ? มองโลกตามความเป็นจริงเสียบ้าง อย่างน้อยเจ้าก็ควรจะมีกองกำลังที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากันอีกสักห้ากลุ่มก่อนที่จะคิดไปหาเรื่องชาติอื่น ๆ แม่ทัพเพียงตนเดียวไม่สามารถรับมือกับการจัดการและวางกำลังพลได้ อ่าา… ใช่แล้ว เจ้ายังไม่ได้แต่งตั้งแม่ทัพขึ้นมาอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำนี่ แล้ว… คิดจริง ๆ น่ะหรือ ? เจ้าคิดจริง ๆ น่ะหรือที่จะยึดครองดินแดนของสิงหปุระ มาลายา และสยาม ?”

จากนั้น ราวกับนึกเรื่องสำคัญบางอย่างขึ้นมาได้ อาร์ทิสรีบเดินไปหยุดอยู่ข้างฉินเย่ ผลักอีกฝ่ายออกก่อนจะทำสัญลักษณ์มือมากมาย และสมุดแห่งความเป็นตายก็เปล่งประกายด้วยแสงสีขาวดำก่อนจะหายไปต่อหน้าต่อตาของเด็กหนุ่ม ฉินเย่ที่เห็นเช่นนั้นก็มองนางด้วยความไม่เข้าใจที่เจือไปด้วยคำต่อว่า

ท่านมันใจร้าย ! เผด็จการ ! และเอาแต่ใจที่สุด !

อาร์ทิสปาดเหงื่อที่ไม่มีอยู่จริงของตัวเองออก มือของนางสั่นเทาเล็กน้อยขณะที่นางหัวเราะแห้ง ๆ “เอาล่ะ ทั้งหมดก็เท่านั้น ตอนนี้เราควรจะพูดคุยเกี่ยวกับรูปแบบของกองกำลังของเราอย่างละเอียดมากกว่า”

ฉินเย่มองอาร์ทิสอย่างไม่ไว้ใจ การตั้งใจเปลี่ยนหัวข้อของนางมันดูผิดปกติเกินไป มันยังมีความลับอะไรที่ซุกซ่อนอยู่ภายในสมุดแห่งความเป็นตายอีกกันแน่ ?

หรือว่า… มีบางอย่างที่นางไม่ต้องการให้เขาเห็น ?

แต่นั่นก็ไม่ถูกอยู่ดี ! ไม่ใช่ว่าจ้าวนรกควรจะเป็นคนแรกที่ต้องรับผิดชอบสมุดแห่งความเป็นตายหรอกหรือ ? เขาคือว่าที่จ้าวนรกแห่งยมโลก ! หากเขาไม่มีของสิ่งนี้อยู่ในครอบครอง ผู้ใดจะสามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ใช้มันต่อต้านเขาในอนาคต ?

เขากะพริบตาและชี้นิ้วไปที่อาร์ทิส หญิงสาวตรงหน้าก็รีบจับนิ้วของเขาไว้ทันที ฉินเย่มองนางอย่างไม่เข้าใจนัก “มันไม่สามารถเรียกห้ากองทัพไร้เทียมทานมาพร้อมกันในคราวเดียวได้สินะ ?”

“มันจะสามารถทำเช่นนั้นได้อย่างไรกัน ?” อาร์ทิสแย้มยิ้มขณะที่นางจับมือของฉินเย่ยัดเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของเขาตามเดิม “ด้วยระดับพลังหยินของยมโลกในตอนนี้ อย่างมากที่สุดเราก็สามารถเรียกทหารกองกำลังพิเศษได้เพียงแค่ 2,000 นายเท่านั้น ข้าขอแนะนำว่าไม่ต้องไปสนใจหน่วยทหารม้าเป่ยเว่ย กองกำลังทหารม้าอี้ติง รวมถึงกองกำลังเคชิก หากข้าจำไม่ผิด พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นทหารม้าทั้งสิ้น ยมโลกแห่งใหม่ของเราในตอนนี้ยังไม่ได้พัฒนาไปถึงจุดที่มีอสูรวิญญาณปรากฏตัวขึ้น…”

ฉินเย่รู้สึกอยากจะตบหน้าตัวเองแรง ๆ สักที เขารู้อยู่แล้วว่าเขากำลังปล่อยให้อีกฝ่ายเบี่ยงเบนความสนใจของตนเอง แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะไหลไปตามบทสนทนานี้ “กองกำลังทหารม้าจะต้องรอจนกว่าอสูรวิญญาณปรากฏตัวขึ้นในยมโลก ? แล้วมันเมื่อไหร่กัน ? เมื่อยมโลกมีขนาดเท่าเมือง ? หรือนคร ?”

“อย่างน้อยก็ต้องมีขนาดเท่านคร” อาร์ทิสเดินออกจากห้องด้วยท่วงท่าที่สง่างามก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “จะอย่างไรก็ตาม พักผ่อนซะ ข้าได้กลิ่นว่าเพื่อนของเจ้ากำลังจะมาหาเจ้าในเร็ว ๆ นี้ See you”

คลิ๊ก ประตูถูกปิดลง

แต่ก่อนที่นางจะได้ถอนหายใจออกมาโล่งอกที่ตนสามารถหลีกเลี่ยงหัวข้อสนทนาได้สำเร็จ นางก็ต้องตกใจกับชายร่างใหญ่ตรงหน้า

“เชี่ย !!” หญิงสาวเผลอสบถออกมาเสียงดัง จากนั้นนางก็พบว่าหลินฮั่นกำลังจ้องมาที่ตนด้วยสายตาตกตะลึง มองนางปาดเหงื่อออกจากหน้าผากของตน ก่อนจะมองไปที่ประตูห้องของฉินเย่

ในวินาทีนั้น สัญชาตญาณของเขาก็เริ่มครุ่นคิดถึงบุคคลที่พวกเขาเรียกว่าเด็กน้อย

“ไร้สาระ” อาร์ทิสไม่สนใจอีกฝ่าย นางรีบเดินออกจากโรงแรมด้วยความตกใจทันที

“พระเจ้า… เหล่าฉินจะสุดยอดเกินไปแล้ว…” หลินฮั่นกะพริบตาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมาและเดินเข้าไปในห้องของฉินเย่

………

ทันทีที่เดินออกมาจากโรงแรม อาร์ทิสก็รีบเลี้ยวเข้าซอยที่อยู่ข้างถนนและซ่อนตัวอยู่หลังหัวมุม ยกมือขึ้นทาบอกและถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก หน้าอกอวบอิ่มกระเพื่อมขึ้นลงในทุกจังหวะการหายใจเข้าออก

“นี่เจ้าโง่หรืออย่างไร ?!” เสียงของหมิงชีหยินเอ่ยออกมา “เจ้าย้ายข้าไปที่นั่นที่นี่ทันทีที่ข้าตื่นขึ้นได้อย่างไร ? ช่วยปล่อยให้ข้าได้อยู่อย่างสงบ ๆ สักพักไม่ได้เลยหรือ ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าใช้พลังไปมากเพียงใดกับการต่อสู้ที่ช่องแคบสึชิมะก่อนหน้านี้ ?!”

“ข้าเผลอพูดเกี่ยวกับสิงหปุระ มาลายา และสยามออกไป” อาร์ทิสเช็ดเหงื่อบริเวณหน้าผากของตนขณะที่เหลือบมองไปยังทิศทางที่ห้องพักของฉินเย่ตั้งอยู่อย่างหวาดระแวง จากนั้นจึงเอ่ยกับตัวเองอย่างระแวดระวัง และท่าทีที่น่าสงสัยของนางก็ดึงสายตาสงสัยจากผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาทันที

อาร์ทิสกลอกตาและเดินลึกเข้าไปในซอย มันสามารถพูดได้เลยว่าแม้ว่าตงไห่จะเป็นเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของจีน แต่มันก็ยังมีหมู่บ้านที่ด้อยพัฒนาอย่างหลายแห่ง

“แล้วมันอย่างไร ? นั่นก็เหมือนกับชิลลาหรือแพ็กเจ… พวกเขาเป็นเพียงชาติเล็ก ๆ เท่านั้น เจ้าคิดว่าพวกเขาจะสามารถตัดขาดจากบรรพบุรุษของตนเองได้ง่าย ๆ โดยแค่เปลี่ยนชื่อหรืออย่างไร ? มา พูดตามข้า บิดาของเจ้าคือ… บิดาของเจ้าคือ… เดี๋ยวก่อนนะ….”

ราวกับนึกเรื่องสำคัญบางอย่างขึ้นมาได้เช่นกัน หมิงชีหยินพุ่งออกมาจากท้องของอาร์ทิสและเอ่ยด้วยเสียงที่สั่นเทา “จะ จะ เจ้า… เจ้าพูด… เจ้าพูดเรื่องของสิงหปุระ มาลายา และสยามออกไปอย่างนั้นหรือ ?! แล้วเจ้าได้พูดถึงแดฮันด้วยหรือไม่ ?!”

อาร์ทิสรู้สึกว่าปากของตนในตอนนี้มีรสขมเป็นอย่างมาก และนางก็ส่ายหน้าไปมา “ไม่… แต่… ข้าไม่แน่ใจว่าเราจะสามารถปกปิดเรื่องนี้จากเขาไปได้อีกนานแค่ไหน”

นางสูดหายใจเข้าช้า ๆ ขณะที่เงยหน้ามองท้องฟ้า ท้องฟ้ายามราตรีนั้นงดงาม แต่เสียงที่เอ่ยออกมาอย่างเย็นชาอย่างไม่น่าเชื่อ “อย่างไรเสีย… การต่อสู้นั้นก็เกิดขึ้นที่ใจกลางของช่องแคบสึชิมะ หากเราพูดถึงระยะห่างของชายผู้นั้น มันก็นับว่าใกล้เขาเกินไปจริง ๆ…”

หมิงชีหยินกระแทกตัวกับกำแพงอย่างแรง “เขาจะต้องได้กลิ่นของพวกเราแล้วแน่ ๆ และบางที เขาอาจจะกำลังเดินทางมาที่นี่ด้วยซ้ำ ! ใช่… เขาจะต้องมาที่นี่แน่ ! พวกเราจะเจอเขาไม่ได้เด็ดขาด !”

“ชายผู้นี้… เป็นอันตรายสำหรับเรา !!! ผู้ใดจะรู้กันว่าเขาจะมีแผนการอะไรหากได้เห็นยมโลกในตอนนี้ !”

อาร์ทิสคลึงขมับของตนก่อนจะโบกมือเบา ๆ และทั่วทั้งซอยก็ดูราวกับเปลี่ยนไปเป็นมิติที่แตกต่างออกไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง จากนั้นนางก็ดีดนิ้วเบา ๆ และสมุดแห่งความเป็นตายก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง มันเริ่มพลิกหน้ากระดาษไปเรื่อย ๆ ก่อนจะหยุดลงที่หน้าหนึ่งซึ่งมีรายชื่อสีทองอีกชื่อหนึ่งปรากฏอยู่ !

การมีอยู่ของรายชื่อสีทองนั้นไม่ได้เรื่องแปลกอะไร แต่สิ่งที่แปลกเกี่ยวกับรายชื่อนี้ก็คือมันกินพื้นที่ทั้งหน้ากระดาษ !

แม้แต่ผู้ที่โด่งดังในประวัติศาสตร์อย่างเยว่เฟยหรือจูกัดเหลียงก็ไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ !

“หลิวจี้หนู… หลิวอวี้…” ตุลาการนรกและกระจกโบราณรู้สึกว่าหางตาของตนเองกระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ทันทีที่เห็นรายชื่อนี้

นี่คือชื่อ…ที่ทำให้หัวของทั้งคู่รู้สึกปวดมากกว่าราชันย์วิญญาณทั้งหกเสียอีก !

และนี่ก็ยังไม่รวมถึงข้อเท็จจริงที่ว่าระดับขั้นพลังของเขายังไม่ไปถึงขั้นเดียวกันกับราชันย์วิญญาณทั้งหกได้ซ้ำ !

นี่คือชื่อ… ที่แม้แต่ตุลาการนรกของยมโลกแห่งเก่าก็ไม่กล้าเอ่ยถึงมากนัก แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความจริงที่ว่าเขา… ยังไม่ถูกปัดเป่า ! เขายังคงมีชีวิตอยู่ ! และเขาก็จะต้องไม่ได้ขึ้นสวรรค์ไปพร้อมกับพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์อย่างแน่นอน !

แม้แต่พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ก็ไม่ต้องการเขาในสวรรค์…

“ข้ารีบเก็บสมุดแห่งความเป็นตายทันที เราจะปล่อยให้ฉินเย่เห็นชื่อของเขาไม่ได้เด็ดขาด เด็กนี่เจ้าเล่ห์ราวกับจิ้งจอก หากเขาเห็นชื่อของชายผู้นี้… เขาจะต้องจับทางบางอย่างได้แน่ ด้วยความแข็งแกร่งของยมโลกในตอนนี้ เราจะปล่อยให้ฉินเย่เข้าใกล้เจ้าปีศาจเฒ่านั่นไม่ได้เด็ดขาด !” อาร์ทิสเอ่ยด้วยเจตจำนงที่แรงกล้า

“ทำได้ดีมาก” หมิงชีหยินกัดฟันแน่น “เราจะต้องรีบเร่งมือให้เร็วที่สุด ข้าคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่เราจะพาฉินเย่กลับไปที่ยมโลก หลิวจี้หนู… วิญญาณร้ายตนเพียงตนเดียวที่ยมทูตที่อยู่ในขั้นเดียวกันไม่สามารถกำจัดได้ อันที่จริง เขายังมีพลังที่จะสามารถสู้และสังหารยมทูตได้ด้วยซ้ำ ! โชคดี… โชคดีที่เขาไม่ใช่วิญญาณบาป…”

“เราควรรีบออกจากตงไห่ให้เร็วที่สุด” สายลมที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใดพัดผ่านเข้ามาในมิติที่ถูกปิดตายส่งผลให้เส้นผมของอาร์ทิสสะบัดเบา ๆ ขณะที่นางยังคงเอ่ยต่อ “ข้ามีลางสังหรณ์ว่าบางสิ่งบางอย่างที่เหนือจินตนาการของเราอาจจะเกิดขึ้นได้หากเราอยู่ที่นี่นานกว่านี้ ระลอกคลื่นของผลที่ตามมาจากช่องแคบสึชิมะ… มันเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น…”

ฉินเย่ไม่รับรู้ถึงบทสนทนาที่เกิดขึ้นเลยสักนิด

สำหรับเขา ทุกอย่างจบลงแล้ว และตอนนี้มันก็เห็นได้ชัดว่าอาร์ทิสกำลังปิดบังบางสิ่งบางอย่างจากเขา แต่หลังจากที่ได้พัฒนายมโลกแห่งใหม่มาถึงตอนนี้ เขาก็เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าอีกฝ่ายจะไม่มีทางทำร้ายตน

ด้วยความคิดแบบนี้ภายในหัว เด็กหนุ่มจึงดื่มด่ำและเพลิดเพลินไปกับการดื่มกับหลินฮั่นและซู่เฟิง มากจนเมามายกันไปหมด ตอนนี้เหลือเวลาอีกแค่ห้าวันเท่านั้นสำหรับการเดินทางมาที่ตงไห่ พวกเขาพักผ่อนกันในวันต่อมา จากนั้นก็เข้าร่วมการแลกเปลี่ยนทางวิชาการในวันถัดไป

มันสามารถพูดได้เลยว่าอาร์ทิสนั้นช่วยเขาได้มากตลอดการแลกเปลี่ยนทางวิชาการนี้ หลังจากที่เข้าควบคุมร่างของเขา นางก็ได้แก้ทุกความเข้าใจผิดของเหล่านักวิชาการที่เข้าร่วมด้วยข้อมูลเชิงลึกมากมายที่มีอยู่

ข้อเสียเพียงอย่างเดียวของเรื่องนี้ก็คือฉินเย่แสดงท่าทีที่ดูราวกับผู้หญิงออกไปบ้าง เหมือนกับที่อีกฝ่ายครอบครองร่างของเขาเมื่อครั้งก่อน และท่าทางพวกนี้ก็ทำให้หลินฮั่นและซู่เฟิงอับอายเป็นอย่างมาก แม้ว่าพวกเขาจะมีความสุขมากกับผลลัพธ์จากการทำงานอย่างหนักของตนก็ตาม หากพูดอีกอย่างก็คือ ประสบการณ์ที่งานประชุมแลกเปลี่ยนทางวิชาการนี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นการมาบรรจบกันระหว่างความเจ็บปวดและความสุข

พวกเขาจะควรจะปฏิบัติอย่างไรก็ข้อเท็จจริงที่ว่าหัวหน้าของพวกตนเป็นสาวน้อยแบบนี้ ?! นี่อีกฝ่ายเผลอตกหลุมรักพวกเขาหรือเปล่า ? ให้ตายเถอะ… สงสัยว่าพวกเขาจะต้องเตรียมการสำหรับสิ่งที่แย่ที่สุดเสียแล้ว…

งานประชุมแลกเปลี่ยนทางวิชาการถูกจัดขึ้นทั้งสิ้นสองวัน หลังจากนั้นฉินเย่ก็มีเวลาให้ไปติดต่อกับทางกลุ่มบริษัทเครื่องเรือนจักรพรรดิ

โอดะโนบูนางะเป็นหนึ่งในวัตถุประสงค์หลักของการเดินทางมาที่นี่ นอกจากนี้ วัตถุประสงค์หลักอีกอย่างหนึ่งก็คือการจัดหาวัสดุและอุปการณ์ที่ยมโลกต้องการมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกอุปกรณ์ก่อสร้างและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ! และคืนนี้จะเป็นคืนที่จะนำวิญญาณและของทั้งหมดไปที่ยมโลก !

[1] เยว่เฟยต่อสู้เป็นเวลานานเพื่อยึดคืนอาณาเขตจีนทางตอนเหนือกลับคืนมา เมื่อถึงจุดสูงสุดของความสำเร็จ จักรพรรดิเกาจงได้ทำตามคำแนะนำของบุนนางทรยศ ส่งพระราชสาส์นทองคำ 12 ฉบับให้กับเยว่เฟยเพื่อเรียกตัวเขากลับมาที่เมืองหลวง เมื่อตระหนักได้ว่าความสำเร็จของตนอาจนำไปสู่ความขัดแย้งภายใน เขาจึงปฏิบัติตามพระบัญชาและถอนทัพกลับมายังเมืองหลวง สถานที่ซึ่งเขาถูกคุมขังและต้องโทษประหารชีวิตโดยข้อหาเท็จ