อวิ๋นหว่านชิ่นจ้องมองรถม้าคันนั้น ซือเหยาอันก็กระโดดมายังด้านหน้า ตนจึงก้าวฝีเท้าเข้าไปหา รอยยิ้มบนใบหน้าจางหายไป แล้วชายตามองชูซย่าแวบหนึ่ง สาวใช้ผู้นี้ที่แท้ก็ช่วยผู้อื่นแทนที่จะช่วยคนใกล้ตัว เป็นนางแน่ที่รายงานไปว่าวันนี้ตนจะต้องมาบ่อน้ำพุร้อนตาแมวที่ชานเมือง มิน่าเล่าจึงดึงตนไว้ไม่ปล่อย ชูซย่าที่ถูกมองด้วยสายตาไม่พอใจ จึงพูดพึมพำว่า “คุณหนูใหญ่ ที่ใต้เท้าซือมาหาบ่าวก็เพื่อแอบถามว่าช่วงนี้ท่านต้องไปที่ใด บ่าวก็จนปัญญา หรือกล่าวได้ว่า บ่าวเองก็หวังว่าท่านกับฉินอ๋องจะคืนดีกัน ท่านอย่าตำหนิบ่าวเลยนะเจ้าคะ…”
อวิ๋นหว่านชิ่นยังไม่ทันได้ตำหนิโทษชูซย่า ซือเหยาอันก็เดินมาใกล้แล้ว พลางสังเกตสีหน้าของหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้า จึงยิ้มแย้มกุมมือคารวะตามเช่นเคย “คุณหนูอวิ๋น”
หญิงสาวทั้งสองแก้มแดงระเรื่อ ก็เพราะถูกย้อมมาสีด้วยหมอกของบ่อน้ำพุร้อน ขนตางอนหนาก็ยังชุ่มฉ่ำอยู่เล็กน้อย จึงดูสง่าบริสุทธิ์มีชีวิตชีวายิ่ง ทว่าชั่วพริบตาเดียวที่รถม้ามาถึง ก็ถูกปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็งเสียแล้ว
“ไม่คิดว่ามาที่นี่ก็ยังจะโดนพวกเจ้าทั้งสองสะกดรอย”
ซือเหยาอันไหนเลยจะฟังไม่ออกว่าเป็นการประชดประชัน จึงส่งเสียงแหะๆ ด้วยความเหนียมอาย แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านอ๋องสามกำลังนั่งเล่นที่ห้องรับรองตึกเทียนชิง คุณหนูอวิ๋นจัดการธุระเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เหมาะแก่เวลาที่จะไปนะขอรับ”
ชูซย่าก็พูดสนับสนุน “คุณหนูใหญ่ นี่ยังเป็นยามเช้าอยู่ ในเมื่อออกมาทั้งที ก็ไปเดินเล่นสักรอบเถิดเจ้าค่ะ”
จงใจแยกกันไปไม่กี่วัน เห็นว่าตนโกรธจึงจะมาหาตนหรือ
สองสามวันมานี้ อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ใช่ไม่เคยคิดมาก่อน ว่าตนอาจจะทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ หรือตนจะหยาบคายมากเกินไป ถ้าเขาเป็นดังที่ญาติผู้พี่กล่าวไว้ว่าใจจริงคิดหลอก จุดประสงค์ตั้งแรกคือคิดไม่ซื่อ เช่นนั้นแล้ว เขากับมู่หรงไท่จะมีอะไรต่างกันเล่า มู่หรงไท่หลอกตน สมรู้ร่วมคิดกับน้องสาว แต่เขา ก็เพื่อจะชักชวนดึงญาติผู้พี่มาเป็นพวก การสะดุดล้มขององค์รัชทายาทครั้งนี้ จึงเป็นการล้มใกล้ตน
สวี่มู่เจินเป็นนักปราชญ์ที่ปรึกษาขององค์ชาย อวิ๋นหว่านชิ่นจำได้ว่า ชาติที่แล้วก่อนฉินอ๋องจะขึ้นครองราชย์นั้น ความสัมพันธ์ทั้งสองก็ราวกับเอาใจตนไปใส่ในท้องอีกฝ่าย รัชทายาทเกิดเรื่องอะไรสวี่มู่เจินจะไม่ทราบหรือ
ฉินอ๋องมีความสามารถพอจะดึงท่านพี่มาอยู่ฝั่งตนได้ ก็สามารถเข้าใจข่าวลับรัชทายาทได้ไม่น้อย ไม่มีทางสมปรารถนาแน่!
หากฉินอ๋องกับตนแต่งงานกัน สวี่มู่เจินก็นับว่าเป็นลุงของเขา จะไม่ลุกฮือกบฏรัชทายาท แล้วบากหน้าไปหาเขาด้วยความกระตือรือร้นหรือ
เขาตีสนิทกับตน แต่งงานกับตน ก็เท่ากับชนะโดยที่ไม่ต้องรบ เหตุใดจะไม่ยินดีทำรึ
พื้นที่โล่งกว้างบริเวณชานเมืองอันรกร้างไรผู้คนที่ได้ยินแต่เสียงลม อากาศที่ถูกห่อหุ้มด้วยไอน้ำจากบ่อน้ำพุร้อนอันร้อนชื้น ลอยละล่องอยู่กลางอากาศอย่างช้าๆ ยิ่งทำให้เหมือนเป็นความเงียบสงัดที่แปลกพิลึก
สักพักใหญ่ ซือเหยาอันก็ได้ยินเสียงหญิงสาว ท่ามกลางบรรยากาศที่แทบจะหยุดนิ่ง ก็กล่าวอย่างค่อยๆ โน้มน้าวใจ “ที่ฉินอ๋องแต่งกับข้า ก็เพื่อญาติผู้พี่ของข้า ถูกหรือไม่”
ซือเหยาอันรีบปฏิเสธ “ไม่ใช่ขอรับ”
“เช่นนั้น ฉินอ๋องทราบนานแล้วว่าสวี่มู่เจินเป็นคนขององค์รัชทายาท และข้าก็เป็นญาติผู้น้องของสวี่มู่เจิน ใช่หรือไม่” อวิ๋นหว่านชิ่นเปลี่ยนคำถาม
ซือเหยาอันลังเลเล็กน้อย “ก็ใช่ขอรับ แต่ว่า…”
ตั้งแต่ไหนไรมาหญิงสาวไม่ต้องการคำว่า ‘แต่’ ของเขา จึงขัดจังหวะไปว่า “เช่นนั้นแล้ว งานเลี้ยงที่จวนกุยเต๋อโหวครั้งนั้น เดิมทีที่เขาจะพาข้าหนี เพราะมีจุดประสงค์เพื่อตีสนิทข้า ซึ่งก็เริ่มมาจากคิดดึงญาติผู้พี่ของข้าเข้าเป็นพวกถูกหรือไม่”
ซือเหยาอันพูดไม่ออก เริ่มต้นองค์ชายสามก็มีจุดประสงค์เช่นนี้จริง จึงไม่อาจปฏิเสธได้
เมื่อลังเลไปพักใหญ่ อวิ๋นหว่านชิ่นจึงเปิดปากพูดว่า “ไม่กี่วันมานี้อากาศเริ่มเย็นขึ้นแล้ว ข้าก็กักตุนอาหารไว้บ้าง แต่กินไม่ลง กินมากไปก็คลื่นไส้ ที่ตึกเทียนซิ่งก็มีใต้เท้าซือแล้ว ไปไม่ไหว หากลืมตัวเสียกริยา ณ จุดนั้นอาเจียนขึ้นมาจริงๆ คงเป็นโทษที่ไม่น่าให้อภัยได้ ขอบคุณที่ฉินอ๋องเชิญชวน แต่ความโกรธครั้งนี้ข้ายังไม่อาจให้อภัยได้” นางหยุดนิ่งซักพักแล้วว่า “ชูซย่า ยังไม่มาอีกรึ”
ชูซย่าก่อนที่จะช่วยธุระของซือเหยาอัน ก็คิดแค่เรื่องของทั้งสองเป็นเพียงเรื่องขนไก่เปลือกกระเทียม เมื่อได้หลับตาฟังเรื่องราวทั้งหมด ก็มีน้ำโหเล็กน้อยเช่นกัน จึงเลิกคิ้วโก่ง แล้วจ้องมองซือเหยาอันด้วยสายตาอาฆาต และเดินตามหลังคุณหนูไป
ซือเหยาอันที่เห็นทั้งสองจากไป ก็ทำได้แค่เพียงขึ้นขี่ม้ากลับ
เมื่อถึงตึกเทียนชิง ซือเหยาอันก็ลงจากม้ารีบขึ้นไปยังห้องนั่งเล่นที่อยู่ชั้นบนสุด แล้วเปิดประตูเข้าไป
ซย่าโหวซื่อถิงเห็นเขากลับมาคนเดียว ไม่ถามก็ทราบผลลัพธ์ดี ใบหน้าอันหล่อเหลาพังทลายลง สีหน้าราวกับเต็มไปด้วยพยับเมฆที่ทำให้ฟ้ามืด “นางว่าอย่างไร”
ซือเหยาอันไม่กล้าปิดบัง จึงรายงานอย่างตรงไปตรงมาและไม่ได้บิดเบือนใดๆ ว่า “คุณหนูอวิ๋นกล่าวว่าช่วงนี้จะกักตุนอาหาร กลัวว่าจะอาเจียนใส่องค์ชายสาม ครั้งนี้ไม่อาจตอบรับคำเชิญได้ จึงไม่ได้มา…”
ซย่าโหวซื่อถิงนิ่งเงียบ แล้วกำหมัด ความโกรธกลับจางหายไปบ้างบางส่วน แล้วหมุนแก้วที่เคลือบลายไก่ที่อยู่ข้างมือ รอยยิ้มเยียบเย็นก็ปรากฏขึ้นที่มุมปาก ดูท่าเขาจะคิดอะไรออกแล้ว สาวน้อยคนนี้ ด่าคนล้วนไม่มีคำหยาบคายใดๆ ทำเอานึกถึงสงครามเย็น จะปฏิบัติต่อตนด้วยความเย็นชาอย่างนั้นรึ
ดูสินางจะไปได้สักกี่น้ำกันเชียว
*
หลังจากตกลงเรื่องบ่อน้ำพุร้อนตาแมวได้แล้ว ก็เป็นการรุดหน้าได้อย่างว่องไว จัดการได้เสมือนไฟที่โหมกระหน่ำทีเดียว เดิมทีหงเยียนเป็นผู้จัดการธุระได้อย่างคล่องแคล่วฉับไว โดยภาพรวมหลังวางแผนการ และหารือรายละเอียดปลีกย่อยกับอวิ๋นหว่านชิ่น ก็รีบไปหาหยาหังมาถึงสิบคน จากนั้นก็เริ่มเพิ่มกรรมกรในด้านบ่อน้ำพุร้อน ไม่เกินเจ็ดแปดวันก็ดำเนินการตามแผนการเดิม นำบ่อน้ำขนาดใหญ่มาแบ่งเป็นบ่อน้ำพุร้อนเล็กๆ หลายบ่อ ตรงกลางก็ได้สร้างกำแพงสูงกั้นเอาไว้ เพื่อแยกบ่อบุรุษสตรี ป้องกันอย่างหนาแน่น
อีกทั้งทางเข้าออกบ่อน้ำพุร้อนก็ติดป้ายไว้ เป็นชื่อร้านเซียงหยิงซิ่ว แล้วซ่อมแซมห้องเล็กๆ หนึ่งห้อง ว่าจ้างชาวนาที่ซื่อตรงในแถบชานเมืองหกคน ใช้ระบบเปลี่ยนเวรทำงาน โดยแบ่งเป็นสามคนสองช่วงเวลา อยู่เช้าเย็นรับผิดชอบตรวจตราดูแลรอบข้าง ในขณะเดียววันหน้าก็สามารถเป็นฝ่ายต้อนรับลูกค้าได้ด้วย
สุดท้าย ที่ร้านได้จำลองใบปลิวไปหลายแผ่น ก็สมบูรณ์และงามพิลาสทีเดียว มีอักษรอธิบายครบถ้วน ยังมีรูปเส้นทางและแผนที่ของบ่อน้ำพุร้อน แจกจ่ายที่ประตูทางเข้าออกของร้าน
บ่อน้ำพุร้อนเป็นสิ่งที่นิยมของบรรดาผู้สูงศักดิ์ มีสามัญชนสองสามคนจะสามารถรับได้ไหมนะหรือ ร้านเซียงหยิงซิ่วได้จัดการเรื่องนี้แล้ว โดยจะนำกิจกรรมหย่อนใจของผู้สูงศักดิ์มาเผยแพร่สู่ตลาดเหล่าสามัญชน ซึ่งเป็นการดำเนินกิจการที่ไม่เคยมีมาก่อนในเมืองหลวง ในเวลาช่วงหนึ่ง ก็จะก่อให้เกิดความปั่นป่วนโกลาหลได้ ก่อให้เกิดการพิพากษ์พิจารณ์จากทั้งร้านค้าทั้งลูกค้าบนถนนจิ้นเป่า จนคนจำนวนมากวิ่งเข้าร้านเซียงหยิงซิ่วไถ่ถามอย่างสนอกสนใจยิ่ง กอปรใบปลิวที่ช่วยเพิ่มอานุภาพ และจากหนึ่งคนเล่าให้สิบคน สิบคนนั้นก็ไปบอกต่ออีกร้อยคน จนถึงด้านนอกถนนจิ้นเป่า
การแจกจ่ายใบปลิวในวันที่สอง หลังเที่ยง อวิ๋นหว่านชิ่นก็เปลี่ยนชุดปลอมตัวเป็นบุรุษ หาโอกาสไปร้านเซียงหยิงซิ่วกับชูซย่า ยังไม่ทันได้เข้าประตูร้าน ชูซย่าคลับคล้ายถูกทำให้ตกใจ ชูแขนขึ้นข้างหนึ่ง “คุณหนูใหญ่ ท่านดู…”
ที่ประตูทางเข้าออกร้านมีคนยืนออเต็มไปหมด ล้อมรอบหน้าโต๊ะรับจ่ายเงิน หลังจากที่เปิดร้านด้วยตนเอง ก็ไม่เคยมีภาพพิไลอลังการเช่นนี้มาก่อน