512 แขกผู้มีเกียรติมาเยี่ยมเยือนในวันดี
“นายสุดยอดไปเลย!” กั๋วซือหรงถอนหายใจออกมา
“ชมเกินไปแล้วล่ะ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม
ความจริงแล้ว พวกเขาไม่ได้เจอหน้ากันบ่อยนัก พวกเขาแทบจะไม่ได้ติดต่อกันเลยด้วยซ้ำ แต่มิตรภาพระหว่างพวกเขาก็ยังไม่หายไปไหน
“คุณมีเรื่องอะไรในใจ ก็พูดออกมาได้เลยนะ” หวังเย้าพูด “มันเป็นการได้ปลดปล่อยอย่างหนึ่งนะ เพราะถ้าเก็บเอาไว้ในใจนานๆ มันจะทำให้คุณรู้สึกแย่เอา”
ทุกคนล้วนมีเรื่องที่ต้องกังวลอยู่ทั้งนั้น แม้แต่หญิงสาวจากตระกูลสูงศักดิ์ก็ยังมีเรื่องให้ต้องกลุ้มใจ
“เรื่องแต่งงานน่ะ” หลังจากที่เงียบไปสักพัก กั๋วซือหรงก็พูดออกมา
“แต่งงานเหรอ? ที่บ้านของคุณเป็นคนจัดการใช่เหรอ?” หวังเย้านึกถึงการแต่งงานระหว่างตระกูลที่ร่ำรวยกับชนชั้นสูง เช่นการแต่งงานที่จักรพรรดิได้รับสั่งให้องค์หญิงแต่งกับแม่ทัพหรือบุตรชายของมหาอำมาตย์
“ก็ประมาณนั้น” กั๋วซือหรงพูด
“คุณไม่ชอบเขาเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ไม่เลย” กั๋วซือหรงพูด
มันเป็นเรื่องยากสำหรับคนที่อยู่ๆก็ต้องแต่งงานที่คนที่ทางบ้านจัดหาให้ โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่า พวกเขาทั้งคู่จะต้องใช้ชีวิตร่วมกันไปจนแก่เฒ่า และมันก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก เมื่อคนที่ต้องแต่งงานด้วยไม่ใช่คนที่ตนเองชอบพอ บางคนอาจจะพูดว่า เมื่อแต่งกันไปเดี๋ยวก็ค่อยๆรักกันไปเอง แต่ถ้ามันไม่เป็นแบบนั้นล่ะ?
“ถ้าคุณไม่ชอบเขา คุณก็ปฏิเสธเรื่องการแต่งงานไปซะสิ” หวังเย้าพูด
ในมุมมองของเขา มันเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก แล้วการแต่งงานกันคนที่ไม่ได้รัก ก็อาจจะกลายเป็นการแต่งงานที่ไร้ความสุข
“เฮ้อ มันไม่ได้ง่ายแบบนั้นน่ะสิ!” กั๋วซือหรงถอนหายใจ
“ตระกูลของคุณต้องการความช่วยเหลือจากเขาเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ใช่” กั๋วซือหรงตอบ
การแต่งงานในลักษณะนี้เกี่ยวเนื่องไปถึงความเป็นไปของทุกคนในตระกูล มันไม่ใช่แค่เรื่องของคนเพียงคนเดียว
หวังเย้ารู้เรื่องเกี่ยวกับตระกูลกั๋วไม่มากนัก แล้วเขาก็ไม่อยากจะรู้ด้วย อยู่ๆเขาก็รู้สึกว่า บางทีการเกิดมาในตระกูลที่ร่ำรวยก็อาจจะไม่ได้มีความสุขเสมอไป พวกเขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีก็จริง แต่พวกเขาก็ไม่สามารถตัดสินใจเรื่องสำคัญในชีวิตของตนเองได้ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าอย่างมาก
“แล้วคุณได้บอกกับพ่อแม่ของคุณรึเปล่า?” หวังเย้าถาม
“ไม่ ฉันแค่ปู่เท่านั้น เขาไม่เห็นด้วยกับการแต่งงาน แต่เขาก็จากไปแล้ว มันน่าเสียดายมาก” เมื่อพูดถึงปู่ของเธอ มันก็ทำให้กั๋วซือหรงมีสีหน้าที่โศกเศร้าอีกครั้ง
“คุณน่าจะลองพยายามคุยกับพวกเขาดูนะ” หวังเย้าเสนอ เขาไม่เชื่อว่า จะมีพ่อแม่คนไหนที่จะไม่สนใจความรู้สึกของลูกตัวเอง
กั๋วซือหรงทำเพียงแค่ยิ้มกลับไปเท่านั้น “นายพาฉันไปที่เนินเขาหนานชานได้ไหม?”
“ได้สิ” หวังเย้าพูด
พวกเขาปิดประตูคลินิก แล้วจึงพากันเดินขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานอย่างช้าๆ
บนเนินเขามีลมพัดแรง และกั๋วซือหรงก็สวมใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้น
“หนาวรึเปล่า?” หวังเย้าถาม
“ไม่หนาว” เธอตอบ
หวังเย้าถอดเสื้อคลุมของเขาออกและคลุมไปบนร่างของเธอ เขาเหลือแค่เสื้อตัวบางแค่ตัวเดียวเท่านั้น
“จะทำแบบนี้ได้ยังไงกัน? เดี๋ยวนายก็เป็นหวัดหรอก” กั๋วซือหรงพูด
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม “จะหน้าร้อนหรือหน้าหนาว ก็ทำอะไรผมไม่ได้ทั้งนั้นแหละ”
กั๋วซือหรงมองดูเขาอย่างละเอียด หลังจากมั่นใจแล้วว่าเขาสบายดี เธอก็ไม่ปฏิเสธเสื้อคลุมของเขาอีก เสื้อคลุมช่วยป้องกันลมหนาวให้กับเธอได้เป็นอย่างดี และมันทำให้เธอรู้สึกอุ่นขึ้นมาก
เนินเขาหนานชานตั้งอยู่ตรงนั้นอย่างสงบ มันเป็นเนินเขาที่เต็มไปด้วยสีเขียวขจี
“ฤดูนี้มันก็ยังเขียวอยู่เหรอเนี่ย?” กั๋วซือหรงรู้สึกแปลกใจ
“ใช่” หวังเย้าพูด “จะขึ้นไปดูข้างบนหน่อยไหม?”
ในตอนที่พวกเขาเดินขึ้นไปจากตีนเขานั้น ยิ่งเดินขึ้นไปไกลมากเท่าไหร่ กั๋วซือหรงก็ยิ่งรู้สึกอุ่นขึ้นมากเท่านั้น จากนั้น เธอก็ไม่ต้องพึ่งพาเสื้อคลุมของหวังเย้าอีกต่อไป
“เป็นแบบนี้ไปได้ยังไงกัน?” เธอถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“เนินเขาลูกนี้ต่างจากลูกอื่นๆน่ะ” หวังเย้าพูด
พวกเขายืนอยู่ตรงไหล่เขา แล้วอยู่ๆ กั๋วซือหรงก็รู้สึกว่าหัวใจของเธอกำลังเต้นรัว ราวกับไม่สามารถหายใจได้ มันเป็นความรู้สึกที่คล้ายกับว่า มีอะไรบางอย่างมาบีบคอของเธอเอาไว้ แล้วเธอก็เริ่มมีอาการมึนหัว
“จิบนี่สักหน่อยนะ” หวังเย้าหยิบยาออกมาขวดหนึ่ง หลังจากที่เธอดื่มยาเข้าไปแล้ว ความรู้สึกอึดอัดทั้งหลายก็จางหายไป
“นี่มันอะไรกันน่ะ?” เธอเคยขึ้นมาบนนี้มากกว่าหนึ่งครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเกิดความรู้สึกแบบนี้
“สมุนไพรในแปลงปล่อยกลิ่นเฉพาะตัวของมันออกมาน่ะ แล้วมันก็มีผลกับคนที่สูดดมมันเข้าไปด้วย” หวังเย้าพูด
สมุนไพรที่หวังเย้าพูดถึงก็คือ เซียนชิวหลัว ซึ่งเป็นสมุนไพรที่เขาปลูกเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้คนเข้าใกล้ที่แห่งนี้ มันเป็นสมุนไพรรากที่มีสรรพคุณหลากหลาย แต่มันก็ยังเป็นสมุนไพรที่มีพิษอีกด้วย กลิ่นที่มันปล่อยออกมานั้นส่งผลโดยตรงต่อร่างกายของมนุษย์ วิธีป้องกันนั้นง่ายมาก เพียงแค่นำใบของมันมาต้มและดื่มมันเข้าไป เมื่อดื่มเข้าไปครั้งหนึ่ง ร่างกายก็จะมีภูมิคุ้มกันกลิ่นของสมุนไพรชนิดนี้ได้ระยะเวลาหนึ่ง
ต้นไม้ที่อยู่โดยรอบยังคงส่ายไปมาไม่หยุด เมื่อมองดูต้นไม้เหล่านี้ ก็อาจจะเกิดอาการเวียนศีรษะได้ หลังจากนั้นสักพัก ก็จะไม่สามารถยืนได้มั่นคงและรู้สึกราวกับโลกหมุน
“นี่มัน?” กั๋วซือหรงรีบหลับตาลงทันที เธอรู้จักค่ายกลและรู้ถึงอานุภาพของมันดี ครั้งสุดท้ายที่เธอมาที่นี่ เธอจำได้ว่ามันไม่ได้รุนแรงถึงขนาดนี้ แต่ตอนนี้มันกลับรุนแรงขึ้นมาก
“ก้มหัวลงมองแต่ทางเดิน แล้วตามผมมา” หวังเย้าพูด
หวังเย้าเดินนำอยู่ด้านหน้า ส่วนกั๋วซือหรงก็ก้มศีรษะและเดินตามเขาไป หลังจากนั้นไม่นาน ภาพตรงหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป
ภาพของแปลงสมุนไพรชัดเจนขึ้น เธอมองเห็นสมุนไพรมากมายที่เธอไม่รู้จักชื่อของพวกมัน มีอ่างเก็บน้ำที่ใสสะอาดอยู่ไม่ไกลจากแปลงกสมุนไพร มันมีขนาดเล็กมาก และยังมีพืชแปลกๆเติบโตที่ใกล้กับน้ำด้วย แล้วกระท่อมหลังเล็กก็ยังคงตั้งอยู่ที่จุดเดิมของมัน
ลมหนาวพัดอยู่ด้านนอก แต่ด้านในนี้กลับอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ
เมื่อพวกเขาเดินเข้ามาถึงด้านใน สุนัขที่ตัวโตราวกับลูกวัวก็ยืนนิ่งอยู่ด้านหน้าของพวกเขา มันหรี่ตามองไปที่กั๋วซือหรง
“โอ้ นั่นซานเซียนเหรอ?” กั๋วซือหรงพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ
“ใช่แล้วล่ะ” หวังเย้าพูด “ซานเซียน ที่นี่คุณหนูกั๋ว เธอเคยมาที่นี่แล้ว นายจำเธอได้ไหม?”
โฮ่ง!โฮ่ง! ซานเซียนส่งเสียงเห่าออกมา จากนั้น มันก็สูดดมกลิ่นและจ้องมองเธออยู่พักหนึ่ง
“นายไม่ต้องจ้องเธอขนาดนั้นก็ได้ ฉันดูแลเธอเอง” หวังเย้าพูด แล้วซานเซียนก็เดินออกไป หลังจากที่ได้ยินคำพูดของหวังเย้า
“สุนัขตัวนั้นสุดยอดไปเลยนะ แล้วมันก็ตัวใหญ่อย่างกับสุนัขพันธุ์ทิเบตันเลย นายทำแบบนั้นได้ยังไงเหรอ?” กั๋วซือหรงถามด้วยอาการตกตะลึง ไม่ต่างจากตอนที่เธอได้เห็นภาพของแปลงสมุนไพรเมื่อเธอได้เข้ามาด้านในนี้เลย
“พระเจ้าเป็นคนบอกวิธีกับผมน่ะ” หวังเย้าชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า
ท้องฟ้ามีแดดจ้าและฟ้าโปร่ง
กั๋วซือหรงยิ้มและหัวเราะออกมา เมื่อเห็นว่าเขามีความสามารถมากขนาดไหน มันก็ทำให้เธอคิดได้ว่า บางทีพระเจ้าอาจจะเป็นคนบอกเขาจริงๆก็ได้
“เข้ามาดื่มชาข้างในก่อนสิ” หวังเย้าพูด
มันเป็นชาที่หวังเย้าปลูกเองบนเนินเขาหนานชาน หวังเย้ายังคงเหลืออยู่ถึงครึ่งกระปุก หากนำไปเทียบกับชาที่เพื่อนๆของเขานำมาให้แล้ว เขารู้สึกชื่นชอบชาที่ตัวเองปลูกมากกว่า และมันก็ยังมีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของมันอีกด้วย มันเป็นชาที่แตกต่างไปจากชาชนิดอื่น เพราะมันถูกบำรุงด้วยน้ำแร่โบราณอยู่เป็นประจำ
“อื้ม มันรสชาติดีมากเลย มันยังรสชาติดีกว่าชาที่ดื่มในคลินิกซะอีก” กั๋วซือหรงพูด
เมื่อมองออกไปที่ด้านนอกแปลงสมุนไพร ก็จะเห็นป่าไม้ตั้งอยู่ไม่ไกล มีภูเขาและท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ กั๋วซือหรงรู้สึกได้ถึงอารมณ์ของตนเองที่ดูผ่อนคลายขึ้นมาก เธอลืมเรื่องราวปัญหาต่างๆไปชั่วครู่
“มันดีจริงๆที่ได้อยู่ที่นี่” เธอพูดออกมา
“มันดีมากจริงๆ” หวังเย้าพูด
เขาชอบที่จะชงชา อ่านหนังสือสักเล่ม หรือไม่ก็ออกไปเดินเล่นดูท้องฟ้าด้านนอก คิดเรื่องราวต่างๆหรือไม่คิดอะไรเลย และเหม่อมองดูท้องฟ้าอยู่อย่างนั้น
ในเวลานี้ เขาแทบจะไม่มีเวลาได้ทำแบบนั้นเลย เขามีคนไข้ที่ต้องรักษา และทำให้เขายุ่งกว่าเดิม มันเป็นสถานการณ์ที่แย่กว่าแต่ก่อนมาก
“นายต้องการผู้ช่วยไหม?” กั๋วซือหรงถาม
“หา?” หวังเย้าอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้น เขาก็มองไปที่กั๋วซือหรง “ผมได้ยินผิดไปรึเปล่า?”
“ฉันก็แค่พูดไปเรื่อยเท่านั้นเอง” กั๋วซือหรงพูด แต่ในเวลานั้น เธอคิดจริงๆว่าอยากจะมีบ้านอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้สักหลังหนึ่ง แค่เธอได้ขึ้นมาบนนี้บ่อยๆและเดินเล่นอยู่ในแปลงสมุนไพร มันก็ถือว่าคุ้มค่ามากแล้ว แต่เธอก็รู้ดีว่า มันเป็นได้แค่ความฝันที่เป็นไปไม่ได้เท่านั้น เธอไม่สามารถไล่ตามความฝันของตนเองได้ เธอถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ผมว่าคุณดูเหนื่อยมากเลยนะ จิตใจของคุณกำลังเหนื่อยล้า” หวังเย้าเทชาให้กับเธอ
“อืม ช่วงนี้ฉันรู้สึกเหนื่อยมากเลย” กั๋วซือหรงพูด
“คุณน่าจะหาอะไรทำ ที่มันจะทำให้คุณมีความสุขได้นะ” หวังเย้าพูด
“ความสุขเหรอ?” กั๋วซือหรงฟังคำๆนี้แล้ว เธอก็หันออกไปมองนอกหน้าต่าง อะไรที่จะทำให้ฉันมีความสุขได้ล่ะ?
เธออาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เธอคุ้นเคย ครอบครัวที่คอยดูแลเธอ เธอทำธุรกิจ หมั้นหมายตามที่ครอบครัวจัดการให้ และทำทุกอย่างเพื่อตระกูลของเธอ นี่คือสาระสำคัญทั้งหมดในชีวิตของเธอ มันคือส่วนหนึ่งในชีวิตของเธอ เธอใช้หัวใจ, ความสามารถและความตั้งใจทั้งหมดไปกับมัน มันทำให้เธอได้รับความพึงพอใจจากคนในตระกูลและผู้อาวุโสคนอื่นๆ แล้วเธอก็ค่อยๆแบกรับภาระเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ เธอไม่สามารถทำตามความต้องการของหัวใจได้อีก และตอนนี้ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองต้องการอะไร
“นายอาจจะหัวเราะฉันก็ได้ แต่ฉันคิดไม่ออกจริงๆ ว่าอะไรที่จะทำให้ฉันมีความสุขได้” กั๋วซือหรงพูด
อยู่ๆเธอก็ค้นพบว่า ชีวิตที่ผ่านมาของเธอไม่ใช่ชีวิตที่เธอต้องการจะเป็น แต่มันเป็นเพราะศักดิ์ศรีที่ค้ำคอเธออยู่ต่างหาก แต่แล้วยังไงล่ะ? เธอไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้ หรือแม้กระทั่งเลือกทางเดินในชีวิตของตัวเอง เธอก็เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง
ผู้ชายมักจะมีอำนาจเหนือกว่าผู้หญิงอยู่เสมอ และตระกูลของเธอก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ความจริงแล้ว มันมากกว่าครอบครัวทั่วๆไปด้วยซ้ำ ยกตัวอย่างเช่น ในตระกูลของเธอนั้น ทรัพยากรส่วนใหญ่ของตระกูลจะถูกส่งต่อให้กับน้องชายของเธอเอง เพราะผู้หญิงคือผู้ที่จะต้องแต่งออกไปอยู่กับตระกูลอื่น
กั๋วซือหรงรักน้องชายของเธอมาก เธอทำเพื่อเขาไปมากมาย เพราะเธอคิดว่า มันคือหน้าที่ของพี่สาวคนโตอย่างเธอ แต่เธอก็ไม่สามารถเสียสละทุกอย่างในชีวิตของเธอเพื่อเขาได้ จริงไหม?
ผ่านไปเพียงแค่ครู่เดียว เธอกลับคิดอะไรได้มากมาย เธอเหม่อมองท้องฟ้าที่อยู่นอกหน้าต่าง หวังเย้าไม่คิดที่จะรบกวนความคิดของเธอ
“โอ้ โทษที ฉันลืมตัวไปหน่อย” กั๋วซือหรงพูด
“ไม่เป็นไร” หวังเย้าพูด
“ฉันมารบกวนนายนานแล้ว” กั๋วซือหรงพูด “ฉันควรจะกลับได้แล้วล่ะนะ” เธอรู้สึกว่าเขาคือเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง เธอรู้สึกสบายเมื่อได้อยู่กับเขา
“จะไปไหนเหรอ?” หวังเย้าเผลอถามออกมา
“เอ่อ ฉันก็ยังคิดไม่ออกเหมือนกัน แค่อยากจะไปรอบๆเพื่อพักผ่อนเท่านั้น” หวังเย้าพูด
พวกเขาเดินลงไปจากเนินเขา แล้วกั๋วซือหรงก็ขับรถปอร์เช่ของเธอออกไปจากคลินิก
“แล้วเจอกัน! คิดหาอะไรทำที่จะทำให้ตัวเองมีความสุขให้ได้ล่ะ” หวังเย้าพูด
“แล้วเจอกัน” กั๋วซือหรงค่อยๆขับรถออกไปจากหมู่บ้าน
เธอมองดูชายหนุ่มที่ยืนนิ่งอยู่ข้างถนน และภาพของภูเขาที่ตั้งอยู่ไกลออกไปผ่านทางกระจกมองหลัง มันเป็นชีวิตไร้กังวลที่น่าอิจฉาสำหรับเธอ
เมื่อถึงทางแยก เธอก็พบเข้ากับรถสองคันที่ขับสวนมา เพราะถนนในหมู่บ้านนั้นคับแคบ รถจึงสามารถขับผ่านได้ทีละคันเท่านั้น เมื่อรถทั้งสองขับเข้ามา กั๋วซือหรงจึงหยุดรถและขับชิดข้างทาง เพื่อให้รถสองคันไปก่อน
เอ๋? เมื่อเห็นป้ายทะเบียน เธอก็รู้สึกงุนงง พวกเขามาจากปักกิ่ง และเธอรู้สึกตกใจยิ่งกว่าเมื่อเห็นว่าใครที่นั่งข้างคนขับอยู่ภายในรถคันที่สอง
เฉินหยิง? ทำไมเธอถึงได้มาที่นี่กันล่ะ? แล้วเธอยังนั่งข้างคนขับอีก? แล้วยังมีใครที่นั่งอยู่ในรถคันนั้นอีก?
กั๋วซือหรงเหลือบมองดูที่นั่งตอนหลังของรถคันที่สอง เธอสามารถมองเห็นเงาร่างหนึ่งผ่านกระจกทึบ คงไม่ใช่เธอหรอกนะ?
เธอไม่ได้ลดกระจกลงหรือทักทายพวกเขา เธอเพียงแค่มองดูรถทั้งสองคันขับตรงไปทางทิศใต้ของหมู่บ้านผ่านทางกระจกมองหลัง
“คุณคะ ดูเหมือนว่าจะเป็นรถของคุณหนูกั๋วนะคะ” หญิงสาวคนหนึ่งพูด
“พี่ซือหรงเหรอ?” เฉินหยิงถาม
“ค่ะ” เธอพูด “เธอมาที่นี่ทำไมกัน?”
“บางทีเธออาจจะมาหาหมอหวังก็ได้” เฉินหยิงพูด
รถหยุดลงเมื่อขับไปถึงใต้สุดของหมู่บ้าน
เฉินหยิงเดินลงมาจากตัวรถและเดินเข้าไปในคลินิก หวังเย้าที่เพิ่งลงมาจากเนินเขาหนานชาน ได้เลือกตำราแพทย์เล่มหนึ่งมาอ่าน แล้วเขาก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เอ๋ ทำไมพี่ถึงได้มาที่นี่ล่ะครับ?” หวังเย้ารู้สึกประหลาดใจเมื่อได้เห็นเฉินหยิง เขาคิดกับตัวเอง วันนี้มันเป็นวันอะไรกัน? ทำไมถึงได้มีแต่แขกที่นานๆทีจะมาหา มาพร้อมกันแบบนี้ได้ล่ะ?
“สวัสดีค่ะ เชียนเชิง” เฉินหยิงพูด
“สวัสดีครับ เข้ามานั่งข้างในก่อนสิครับ” หวังเย้าพูด
“ตอนนี้ คุณว่างอยู่รึเปล่าคะ?” เฉินหยิงถามด้วยรอยยิ้ม เธอรู้สึกยินดีและมีความสุขเมื่อได้พบกับหวังเย้าอีกครั้ง
“ว่างครับ แล้วทำไมพี่ถึงได้ทำตัวเป็นการเป็นงานขนาดนั้นล่ะครับ?” หวังเย้าถาม
“คุณผู้หญิงซงกับคุณหนูซูรออยู่ข้างนอกค่ะ” เฉินหยิงพูด
“พวกเขาก็มาที่นี่ด้วยเหรอ? ซูเสี่ยวซวีก็ด้วย?” หวังเย้ารู้สึกประหลาดใจ
“ค่ะ” เฉินหยิงพูด
“งั้นก็รีบพาพวกเขาเข้ามาเลยครับ” หวังเย้าพูด
“ที่นี่คือคลินิกของเขาเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีที่นั่งอยู่ภายในตัวรถ กำลังมองดูกำแพงบ้านสีขาวและหลังคาสีดำผ่านทางหน้าต่างรถ ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมของทางใต้ของจีน