ภาค 2 ตอนที่ 112 พบพานไม่อยากพบ

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

คุณหนูจวินรู้สึกว่าตนเองควรคิดอะไรบ้าง แต่ในความเป็นจริงนางไม่มีความคิดอะไรทั้งสิ้น นอกจากนี้ก็มีสายลมเร็วจู่โจมมาพร้อมกัน

“สหาย เจ้าต้องการดูเจ้าก็ลงมาดูเถอะ ทั้งคืนตามข้าห่างขนาดนี้มองชัดรึ?”

เสียงของจูจั้นเอ่ยขึ้นตามมา

คุณหนูจวินรู้สึกเพียงสองขาชาเจ็บแปลบ คนก็ไม่อาจควบคุมได้ล้มคุกเข่าไปข้างหน้า

ด้านหน้าของนางเป็นขั้นบันไดที่ค่อยๆ ทอดลงต่ำ นางเหมือนกับเมื่อครั้งนั้นที่ร่วงหล่นกลิ้งลงมาจากกำแพงบ้านของเฉิงกั๋วกง

คุณหนูจวินรู้สึกเพียงฟ้าดินหมุนตลบ พร้อมกับเสียงตุบทีหนึ่ง คนก็นอนหมอบอยู่บนพื้นแล้ว

บนพื้นปูหินเขียวราบเรียบ คุณหนูจวินรู้สึกว่าตนเองเหมือนกับแป้งขนมแผ่นหนึ่งถูกตบแปะลงบนนั้น

น้ำตานางทะลักออกมาทันที

บางครั้งหลั่งน้ำตาก็ไม่ใช่เพราะอยากร้องไห้ แต่เป็นปฏิกิริยาตามธรรมชาติของคน เพราะเจ็บเกินไปแล้ว

“โว้ว! องครักษ์เสื้อแพรเดี๋ยวนี้ทหารหญิงฝีมือเช่นนี้รึ?”

เสียงของจูจั้นยังคงโหวกเหวกอยู่ข้างหู

“ส่งมาผิดคนแล้วมั้ง เจ้าน่าจะไปหอโคมเขียวทำงานหรือเปล่า?”

เขาพูดพลางเดินเข้าใกล้ คุณหนูจวินไม่ได้ลุกขึ้น ยังคงนอนหมอบอยู่กับพื้น ความเจ็บค่อยๆ ถดถอยไป เหน็ดเหนื่อยจากการเดินวิ่งทั้งคืน เมื่อเอนนอนลงไปแล้วก็ลุกไม่ไหว

คุณหนูจวินจึงนอนหมอบอยู่เช่นนั้นเอียงหน้ามองไปทางจูจั้นเสียเลย

จูจั้นมองเห็นหน้าของนาง เบิกตาโตทันที ราวกับเห็นผี

“เจ้า?” เขาเอ่ยขึ้น

คุณหนูจวินมองเขา

“ใช่แล้ว บังเอิญจริงนะ” นางว่า

จูจั้นมองบนจรดล่างประเมินนาง อึ้งไปนิดหน่อย ทั้งยังหลุดหัวเราะออกมานิดๆ

“ทั้งคืนนี้ที่ตามอยู่ข้างหลังก็คือเจ้า?” เขาเอ่ยขึ้น

คุณหนูจวินใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตา พลางลุกขึ้นช้าๆ

“ท่านรู้ว่ามีคนตามท่านอยู่รึ?” นางเอ่ยขึ้น

“ข้าย่อมรู้” จูจั้นเอ่ยขึ้น “แต่คนเหล่านี้ก็เป็นเช่นนี้ ตีพวกเขาเสียบ้างย่อมต้องตี แต่พวกเขาจะตามก็ให้พวกเขาตามไป อย่างไรตามก็ทำอะไรข้าไม่ได้ นี่ก็เรียกว่าเอาไม้ฟาดทีหนึ่งแล้วให้พุทราหวาน”

พูดไร้สาระอีกแล้ว

คุณหนูจวินหลุบสายตาลง

“นี่เป็นคำพูดไร้สาระอย่างไร เจ้าไม่เคยได้ยินคนดีไม่สู้กับคนบ้าหรือ?” จูจั้นมองคำพูดในใจนางออก “ให้คนบ้าพวกนี้ลิ้มรสหวานสักหน่อย ให้พวกเขารู้สึกว่าตนเองค่อนข้างร้ายกาจ ลงมือขึ้นมาถึงสะดวกไหมเล่า”

พูดมั่วซั่วส่งเดช

คุณหนูจวินลุกขึ้นเดินไปทางสุสานของตนเอง

สุสานของตนเอง ฟังดูแล้วแปลกพิกลนักใช่หรือไม่

“เฮ้ เจ้าจะทำอะไร?” จูจั้นเอ่ยขึ้น

คุณหนูจวินยืนอยู่หน้าสุสานแล้ว ร่างกายของนางสั่นขึ้นมาบ้างอย่างไม่อาจยับยั้งได้

จารึกถึงองค์หญิงจิ่วหลิง

นางมองอักษรที่สลักอยู่บนป้ายสุสาน เนื้อของคำจารึกสุสานนางหลับตาก็ท่องออกมาได้

นางหลับตาลง อยากจะสัมผัสอารมณ์ยุ่งเหยิงนี้ แต่เพิ่งหลับตาไปก็มีกลิ่นประหลาดบางๆ ลอยเข้ามาในลมหายใจ

ผลไม้ของเซ่นที่วางไว้ด้านหน้าสุสานเสียกลิ่นหอมสดใหม่ที่เคยมีไปแล้ว ที่แห่งนี้ของสดใหม่มีเพียงดอกไม้ประหลาดดอกนั้น

กลิ่นหอมดอกไม้ของดอกพลับพลึงแดงแดนเหนือเป็นเช่นนี้หรือ?

คุณหนูจวินอดไม่ได้เบิกตา

ไม่ถูก นี่ไม่ใช่กลิ่นหอมดอกไม้ นี่เป็นกลิ่นยา

สายตาของนางจับอยู่บนขั้นบันไดศิลาด้านหน้าป้ายสุสาน ดอกไม้ถูกโยนไปแขวนไว้ที่ป้ายสุสานแล้ว ขวดใบน้อยสองใบรวมถึงของเหลวที่รินเทยังเหลืออยู่

ของเหลว

นี่เป็นของเหลวอะไร ถึงกับทำให้ไม้เฉาฟื้นสด ดอกไม้แห้งแย้มบานได้?

ไม่ใช่มั้ง….

คุณหนูจวินไม่ทันได้สนใจโศกเศร้าคิดมากเรื่องความตายอันใด ใช้มือแตะของเหลวยกขึ้นมาสูดหายใจดมดูสีหน้าไม่อยากเชื่อ

“นี่คืออะไร?” นางหันหน้าไปเอ่ยถามจูจั้นด้านข้าง

“น้ำ” จูจั้นเอ่ยตอบอย่างว่องไว

คุณหนูจวินสบถทีหนึ่ง

“น้ำบ้านท่านเป็นเช่นนี้หรือ?” นางแหวไม่สบอารมณ์ นางลูบของเหลวกำมือหนึ่งขึ้นมาอีกครั้ง “นี่คือต้นเซียนจื่ออิงใช่หรือไม่?”

จูจั้นยักคิ้ว

“รู้แล้วเจ้ายังถาม” เขาเอ่ย

สิ้นเสียงคุณหนูจวินก็หนึ่งก้าวไปยืนอยู่ตรงหน้า ศีรษะแทบจะชนใต้คางของเขา

จูจั้นร้องเฮ้ยทีหนึ่งถอยหลัง คุณหนูจวินยื่นมือนำของเหลวป้ายบนเสื้อผ้าของเขา

“นี่คือต้นเซียนจื่ออิง ท่านรู้ไหมมันมีค่ามากเท่าไร?” นางร้อนรนเอ่ยขึ้น

ท่านอาจารย์นานปีขนาดนี้เพิ่งหาพบต้นเดียว นางก็ไม่ง่ายกว่าจะได้พบต้นหนึ่ง จูจั้นคนนี้!

นางรู้สึกเพียงทั้งโกรธทั้งร้อนรนแต่กลับไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี รู้เพียงไม่ทันรู้ตัวก็ยกมือตีเข้าไปแรงๆ

น่าชังนักในมือตอนนี้ไม่มีแส้

จูจั้นหลบเป็นพัลวัน

“เจ้ายัยผู้หญิงคนนี้เป็นบ้าเรอะ” เขาว่า “ข้าย่อมรู้ว่าต้นเซียนจื่ออิงนี่มีค่ามาก ยังต้องให้เจ้าบอก”

คุณหนูจวินหยุดฝีเท้ามองเขาอย่างชิงชัง

“ท่านรู้ท่านยังสิ้นเปลืองเช่นนี้!” นางแหว

จูจั้นคิ้วตั้ง

“สิ้นเปลือง?” เขายิ้มหยัน ท่าทางดูแคลนเต็มที่ “แค่เพราะไม่ได้ใช้มีค่าอย่างที่เจ้าบอกก็คือสิ้นเปลือง? มีค่าที่เจ้าพูดย่อมเป็นวิธีใช้ที่มีค่ากับเจ้า สำหรับข้า นี่ก็เป็นวิธีใช้ที่มีค่าที่สุด”

คุณหนูจวินหันหน้ากลับมามองดอกไม้บนป้ายสุสาน ไม่กลับคืนสดใหม่ดังก่อนหน้านี้อีกแล้ว ใต้แสงอรุณสาดส่องค่อยๆ กลับคืนเป็นสีเทาแห้งเหี่ยว

“แค่ดอกไม้ไร้ค่าดอกเดียวนี่…” นางยื่นมือชี้เอ่ยขึ้น

คำพูดยังไม่ทันเอ่ยจบก็ถูกจูจั้นเอ่ยขัด

“เกี่ยวอันใดกับเจ้า” เขาว่า พูดจบก็หมุนตัวจะไป

คุณหนูจวินโกรธกัดฟัน

“ท่านหยุดนะ” นางตะโกน

จูจั้นหันกลับมา ยื่นมือชี้นาง บนหน้าไม่มีรอยยิ้มอย่างเคย

“ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นใคร แล้วก็จะไม่ถามว่าเจ้าตามข้ามาอีกทำไม ดีที่สุดเจ้าอย่ามาหาเรื่องข้าอีก” เขาเอ่ยเสียงเย็น “ไหนเลยผลัดถึงตาเจ้ามาถกมีค่าไร้ค่า อย่าลืมว่าชีวิตของเจ้าก็ใช้สมุนไพรนี่แลกมา รู้สึกว่าข้าสิ้นเปลืองไร้ค่า ชีวิตเจ้าก็ไร้ค่าเช่นนั้นรึ?”

ถูกเขาชี้หน้าด่าเช่นนี้ แม้คุณหนูจวินจะอับอายโมโหอยู่บ้าง แต่ก็ยังใจเย็นลง

อารมณ์ของนางขึ้นลงเกินไปแล้ว

ฉับพลันทันใดเห็นสุสานของตนเอง แล้วยังเห็นจูจั้นที่ไม่เคยมีสัมพันธ์กันมาก่อนมามอบดอกไม้หน้าสุสานของตน แล้วยังพบว่าต้นเซียนจื่ออิงถึงกับใช้ไปกับเรื่องเช่นนี้

เรื่องทั้งหมดล้วนพุ่งเข้าโจมตีพร้อมกัน นางควบคุมอารมณ์ไม่อยู่อยู่บ้างจริงๆ

คุณหนูจวินกำมือแน่นทำให้ตนเองสงบลง

“ท่านชายจู ข้าไม่ได้หมายความอย่างนี้” นางผ่อนน้ำเสียงลงเอ่ยขึ้น “ข้า…ไม่ได้เพื่อต้นเซียนจื่ออิง มันเป็นของท่านแล้ว ท่านจะใช้อย่างไร ท่านตัดสินใจเอง”

จูจั้นมองนางทีหนึ่ง พึมพำอะไรประโยคหนึ่งเหมือนประหลาดใจเล็กน้อยกับความเปลี่ยนแปลงของอารมณ์สีหน้านี้ของนาง

“เช่นนั้นก็ดี” เขาว่า พูดจบหมุนตัวก็ไป

“ท่านชายจู” คุณหนูจวินรีบร้องเรียกอีกครั้ง “ท่านทำไมมาเมืองหลวงเล่า? ท่าน ท่านรู้จักกับองค์หญิงจิ่วหลิงผู้นี้หรือ?”

จูจั้นศีรษะก็ไม่หันกลับมา ได้ยินประโยคสุดท้ายก็สับขาวิ่งทันที

เจ้าสารเลวคนนี้!

คุณหนูจวินยกเท้าไล่ตามไป

“ท่านวิ่งอะไร!” นางตะโกน อารมณ์โกรธขึ้นมาอีกครั้ง “ท่านหยุดนะ”

แต่วิ่งขึ้นมาจริงๆ นางไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้ของจูจั้น ขาของนางเมื่อครู่ก็ล้มไม่เบา คนในสายตายิ่งไกลออกไปทุกที

แสงอรุณยิ่งสว่าง เพราะใกล้เมืองหลวง บนถนนใหญ่คนเดินจึงค่อยๆ มากขึ้น มองเห็นคุณหนูจวินที่เรียกได้ว่าหอบแฮกๆ ทั้งยังมอมแมมอยู่บ้าง ล้วนหันสายตามองมาอย่างประหลาดใจ

คุณหนูจวินไม่สนใจสายตาเหล่านี้ กัดฟันวิ่งไปข้างหน้าต่อ แม้กลิ่นสมุนไพรจะสลายไปมากแล้ว นอกจากนี้คนเดินทางวัวม้าบนถนนเพิ่มมาก็ชะกลิ่นสมุนไพรจางไปมาก แต่นางยังพอจะไล่ตามค้นหาได้

ด้านหน้ามองเห็นประตูเมืองแล้ว ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่เข้าออกได้ตามสบาย ด้านหน้าประตูเมืองขบวนยาวเรียงแถวอยู่ ทหารนับไม่ถ้วนรวมถึงองครักษ์เสื้อแพรร่างสวมชุดปลาบินยืนอยู่ด้านหน้าประตูเมือง สีหน้าเคร่งขรึมตรวจค้นฝูงชนที่เข้าออก

กำลังหาจูจั้น

คุณหนูจวินมองเงาร่างคนมากมายเบื้องหน้า ไม่เข้าใจอยู่บ้าง

ทำไมเขาจะเข้าเมือง?

นี่ไม่เหมือนกับกลางคืนที่ถูกเขาหลอกได้ คนเหล่านี้ตอนนี้ระวังระไว

เวลานี้เข้าเมืองใยไม่ใช่จับปุบจับได้?

ต่อให้จะไปหาคนปกป้องก็ต้องค่อยหาโอกาสสิ

คุณหนูจวินมองจูจั้นผู้ยืนอยู่ด้านหลังฝูงชนที่ต่อแถวอยู่

มองดูว่าเขาจะมีลูกเล่นอะไรอีก

คุณหนูจวินกัดฟันก้าวไวๆ ไล่ตามไป เพิ่งเข้าใกล้ด้านนั้นก็เห็นจูจั้นในฝูงชนพลันอดทนไม่ไหวยกมือขึ้น

“เร็วหน่อยได้หรือไม่?” เขาร้องเสียงดัง พลางเบียดไปข้างหน้า

ฝูงชนหน้าหลังที่เดิมร้อนใจเพราะต่อแถวอยู่แล้วกลายเป็นวุ่นวายอยู่บ้างขึ้นมา

“เจ้าทำอะไร?”

“เบียดหาอะไรห่ะ!”

“รีบไปเกิดใหม่รึไงไอ้หลานชาย!”

ฝูงชนที่ถูกเบียดเอนซ้ายเอนขวาร้องด่าออกมา

นี่ทำให้ประตูเมืองทั้งหมดล้วนโกลาหลขึ้นมา

จูจั้นกลับยังคงเบียดไปข้างหน้าเหมือนเดิม

“พวกเจ้าหลานชายเหล่านี้ ให้ข้าเข้าไปก่อน พวกเจ้าก็เข้าไปตามสบายได้แล้ว” เขาเอ่ยขึ้น

คำพูดนี้ยิ่งชักนำให้ผู้คนด่ายกหนึ่ง

ทหารด้านหน้าประตูเมืองเริ่มตวาดด่า พร้อมกันนั้นก็วิ่งมาด้านนี้

หรือจะฉวยโอกาสวุ่นวายวิ่งเข้าไปหรือ?

ทหาร องครักษ์เสื้อแพรมากมายขนาดนี้ ยังมีชาวบ้าน สู้ขึ้นมาคงไม่ง่าย

คุณหนูจวินอดไม่ได้กำมือแน่น

กลับเห็นจูจั้นผลักฝูงชนที่ล้อมอยู่เต็มแรง ไม่ได้หยิบอาวุธออกมาแต่พลันยกมือขึ้น

“ข้าคือจูจั้น!” เขาตะโกน “ข้าคือบุตรชายของเฉิงกั๋วกง! รีบมาจับข้าสิ!”

คุณหนูจวินอึ้ง

……………………………………….