ตอนที่ 286 : การต่อสู้

“ลุกขึ้นมาสิ นายยังสู้ต่อไหวไม่ใช่รึไง ? ”

ตอนที่ทุกคนพากันฮือฮาอยู่นั้น เซี่ยงหยางก็มองไปที่หยวนจิ่วที่หลับอยู่บนพื้นก่อนจะพูดขึ้นมา

หยวนจิ่วลืมตาขึ้นก่อนจะกระโดดขึ้นมา เขาเช็ดเลือดที่มุมปากก่อนจะพนมมือเข้าหากัน

“อมิตพุทธ พลังของนายแข็งแกร่งจริง ๆ ดูเหมือนว่าฉันไม่อาจจะออมมือได้อีกต่อไป”

“ฉันคิดว่าจะเก็บเอาไว้ใช้กับเจิ้นเหลิ่งเทียนในรอบสุดท้าย แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้จะเป็นแบบนั้นไม่ได้แล้ว”

เมื่อพูดจบ ตาของหยวนจิ่วก็เหมือนมีเงาของมังกรปรากฏขึ้นมา อากาศสีทองระเบิดออกมาจากร่างกายของเขา

“ทักษะมังกรฟ้าไร้ปรานี” หยวนจิ่วพนมนิ้วทั้งสิบราวกับพุทธองค์

“ดี มีแค่การเอาชนะการต่อสู้ที่เอาจริงเท่านั้น ฉันถึงจะสู้กับเจิ้นเหลิ่งเทียนได้” เมื่อเห็นพลังที่ปะทุออกมาจากหยวนจิ่ว เซี่ยงหยางก็ได้พูดขึ้นมา

หยวนจิ่วได้ระเบิดพลังทั้งหมดออกมา นี่คือพลังของทักษะมังกรฟ้าไร้ปรานีที่เขาปกปิดมาโดยตลอด

“มา ! ” เซี่ยงหยางไม่ได้ตกใจ เขาไม่คิดจะยอมแพ้ เขาได้เพิ่มพลังในหมัดของเขาขึ้นไปอีก

“มา ! ” เกิดสายลมระเบิดขึ้นมากระจายไปทุกด้าน คนทั่วไปไม่อาจจะลืมตาดูต่อได้

บนเวทีนั้นทั้งสองได้เข้าปะทะกันกว่าหลายร้อยครั้ง แสงสีทองได้ส่องประกายออกมาไม่หยุดหย่อนพร้อมกับลมที่กระจายออกมา

ทั้งสองคนดีดตัวออกจากกันก่อนจะมองหน้ากัน จากนั้นเซี่ยงหยางก็ได้กวักมือท้าท้ายอีกฝ่าย

การต่อสู้นี้เหมือนกับที่เขาทำกับหลงจั่วเทียนในรอบแรก แต่เพราะหลงจั่วเทียนยอมแพ้ไปก่อน เขาจึงไม่ได้แสดงฝีมือออกมา

ตอนนี้เขากำลังจะแสดงมันออกมาให้ทุกคนได้เห็น

หยวนจิ่วมองไปที่อีกฝ่ายด้วยสีหน้าหนักใจ เขารู้ว่าต่อไปคงเป็นการตัดสินการต่อสู้แล้ว

“5 เท่า ! ” เซี่ยงหยางพึมพำออกมาเบา ๆ พร้อมกับพลังที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิมอย่างชัดเจน ที่มือเขามีคลื่นพลังอันน่ากลัวแผ่ออกมาจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

“นี่คือพลังสูงสุดที่ฉันใช้ได้ตอนนี้แล้ว เวลามันค่อนข้างสั้น ฉันหวังว่านายจะรับมือได้” เซี่ยงหยางสะบัดมือก่อนจะมองไปที่หยวนจิ่วแล้วพูดขึ้น

หยวนจิ่วไม่ได้พูดอะไรออกมา เขายังคงมองไปที่เซี่ยงหยางพร้อมกับใช้ทักษะมังกรฟ้าไร้ปรานีออกมาเต็มกำลัง

แต่เขาฝึกฝนทักษะนี้ได้ไม่นาน เป็นธรรมดาที่จะยังไม่ถึงระดับสูงมากนัก

แต่เซี่ยงหยางนั้นฝึกทักษะผันผวนไปถึงระดับสูงแล้ว

ภายใต้สายตาของผู้คนมากมาย เซี่ยงหยางกลับหายตัวไปแล้วปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าหยวนจิ่วพร้อมกับต่อยเข้าไปอย่างรุนแรง

เป็นธรรมดาที่หยวนจิ่วจะรับรู้ได้ถึงคลื่นพลังอันน่ากลัวจากหมัดของอีกฝ่าย แต่เขาไม่อาจจะหลบได้ เขาได้แต่รับมันไว้

ดังนั้นเขาจึงพยายามเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับแขนของตัวเอง

ปัง !

ทั้งเวทีสั่นไหวในตอนที่หมัดของเซี่ยงหยางกระแทกเข้าใส่แขนของหยวนจิ่ว

ในพริบตาทั้งสองที่ดูสูสีกันก่อนหน้านี้กลับมีคนหนึ่งที่กระเด็นตกจากเวทีไป

เห็นได้ว่าความรุนแรงของการโจมตีนี้ตัดสินผลแพ้ชนะได้อย่างชัดเจน

“ผู้ชนะคู่ที่ 1 ได้แก่ เซี่ยงหยาง”

ชายแก่ได้ประกาศออกมาพร้อมกับคลื่นพลังบนเวทีที่สลายไป เซี่ยงหยางยืนนิ่งด้วยใบหน้าที่ซีดเผือดราวกับจะล้มลงตอนไหนก็ได้

ชัดแล้วว่าเมื่อใช้ทักษะนี้ออกมาเต็มกำลัง เขาก็ต้องพักไปอีกสักพัก โชคดีว่าการที่เขาชนะนั้นทำให้เขาผ่านเข้าไปสู่รอบ 3 คนสุดท้ายได้และมันยังมีเวลาพัก

พวกทีมแพทย์ต่างรีบไปรับตัวหยวนจิ่วที่บาดเจ็บ ก่อนจะไปพาเซี่ยงหยางไปรักษาเพื่อฟื้นฟูร่างกายให้อยู่ในสภาพพร้อมที่สุด ยังไงซะการต่อสู้รอบต่อไปก็อาจจะเป็นการต่อสู้รอบตัดสิน

ก่อนที่เซี่ยงหยางจะไปนั้นเขาก็ได้มองไปที่ลู่หาน

ลู่หานหันไปมองอีกฝ่ายและเข้าใจทันทีว่าเขาไม่อาจจะแพ้ได้

“คู่ที่ 2 ลู่หาน Vs ลั่วสิง เริ่มได้”

ลู่หานเดินขึ้นไปบนเวทีก่อนจะมองไปที่ลั่วสิง

ลั่วสิง คนที่ผ่านเข้ามาถึงรอบนี้ได้นั้นแน่นอนว่าต้องแข็งแกร่งไม่ใช่น้อย

เขาเป็นทหารรับจ้างเพียงคนเดียวที่ผ่านมาถึงรอบนี้ได้ มันเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นแล้วว่าเขาแข็งแกร่งแค่ไหน

เขาใช้สนับมือที่ไม่รู้ว่าทำขึ้นมาจากอะไร แต่มันแข็งอย่างมาก

ลู่หานเปิดฉากโจมตีก่อน เขากระโดดขึ้นพร้อมกับหอกที่แทงเข้าใส่ลั่วสิง แต่ลั่วสิงก็กระโดดหลบทันที ตอนที่ลู่หานตกลงมาจากอากาศนั้น เขาก็ได้ใช้หอกฟันกวาดใส่ลั่วสิงอีกรอบ

เมื่อหลบไม่ได้ ลั่วสิงคงได้แต่ใช้สนับมือต่อยเข้าใส่หอกที่พุ่งเข้ามา

ลู่หานพลิกตัวกลับก่อนจะใช้หอกแทงเข้าใส่ลั่วสิงอีกรอบ

ลั่วสิงไม่คิดจะยอมแพ้ เขาใช้หมัดทั้งสองข้างต่อยใส่หอกที่พุ่งเข้ามา

ติ๊ง ติ๊ง !

ตอนนั้นเสียงเหล็กปะทะกันได้ดังก้องขึ้นมา

“เขาแข็งแกร่งดี พอทัดเทียมกับลู่หานได้”

เมื่อเห็นการต่อสู้ของทั้งสอง ผู้ชมก็พากันพูดขึ้นมา

แต่มันเป็นแบบนั้นได้ไม่นานนัก หอกของลู่หานมีแต่จะโจมตีหนักขึ้นเรื่อย ๆ

สถานการณ์เปลี่ยนไปในทันที

ลู่หานดูได้เปรียบมากขึ้นเรื่อย ๆ จนสุดท้ายลั่วสิงก็ไม่อาจจะรับมือได้อีก

ลั่วสิงทำได้แต่ป้องกันและไม่อาจจะทำอะไรได้ เพราะลู่หานไม่คิดจะเปิดโอกาสให้เขาได้พักหายใจด้วยหอกที่แทงเข้ามาซึ่งหนักหน่วงและทรงพลังมากขึ้นเรื่อย ๆ

“บ้าเอ้ย ! ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปฉันแพ้แน่ ! ” เมื่อรู้สึกได้ถึงพลังของหอกที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ลั่วสิงก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

เขายังลังเลว่าควรจะใช้ท่าไม้ตายออกมาดีรึไม่

นี่คือท่าที่ถ้าไม่จนมุมจริง ๆ เขาก็ไม่คิดจะใช้มันออกมา

แต่เพราะความลังเลนั้นจึงทำให้ลู่หานโจมตีใส่เขาได้อย่างหนักหน่วงได้

“ท่าไม่ดีแล้ว ! ”

ตอนนั้นก็มีเท้าเตะฟาดเข้าใส่ตัวเขา

ตัวของลั่วสิงอัดกับเวทีอย่างแรงจนทำให้เวทีสั่นไหวพร้อมหอกที่จ่ออยู่ตรงหน้าเขา

เมื่อเห็นหอกที่จ่ออยู่ตรงหน้า ลั่วสิงก็หมดหนทางและได้แต่พูดขึ้นมา “ฉันยอมแพ้”