ตอนที่ 177 ปีศาจน้อย

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 177 ปีศาจน้อย

ซูซูถือถังหูลู่หนึ่งไม้แล้วเดินกลับไปที่เพิงสุราเล็ก ๆ นั่น

ซูเจวี๋ยจัดหมวก ไม่แม้แต่จะถาม กลับกล่าวขึ้นมาว่า “พวกเราควรกลับได้แล้ว”

“โอ้…ได้เลย ! ”

ลูกน้องทั้งสามคนของหลู่เฟิงรู้สึกประหลาดใจ ลูกพี่ล่ะ ? แม่นางผู้นี้ยังกระโดดโลดเต้นได้อยู่…หรือว่าลูกพี่จะแก่แล้วจริง ๆ

ดังนั้นหนึ่งในนั้นจึงหันมองซูซูและเอ่ยถาม “ลูกพี่ของข้าเล่า ? ”

“โอ้ เขาทนรับไม่ไหว นอนอยู่นjะ”

ทั้งสามคนปล่อยวางและระเบิดหัวเราะออกมา “ไปไปไป กลับไปดูลูกพี่ รอจับเจ้าสุนัขฟู่เสี่ยวกวนได้ มันจะต้องชดเชยให้กับลูกพี่อย่างเต็มที่”

ทั้งสามลุกขึ้นยืนและกำลังจะจากไป ทันใดนั้นซูซูกลับเรียกเอาไว้ “รอก่อน…เมื่อครู่พวกเจ้ากล่าวว่าจะจับผู้ใดกัน ? ”

คนผู้นั้นปิดปาก ส่วนอีกคนเอ่ยขึ้นมาอย่างขำ ๆ “มิมี ๆ เจ้านี่ดื่มเยอะไปแล้ว พวกข้าขอลา วันข้างหน้าลูกพี่ย่อมไปตามหาเจ้าเป็นแน่”

“โอ้ เกรงว่าเขาจะมาหาข้ามิได้เสียแล้ว เบื้องล่างของเขามิสามารถใช้การได้แล้ว มิมีแรง”

ทั้งสามหันมองหน้ากัน เป็นไปมิได้ ลูกพี่มักกล่าวเสมอว่าเขามีแรงมากมายนี่ ?

หรือว่าเขาจะโกหก ?

ทันใดนั้นทั้งสามก็แสดงท่าทีเข้าใจอย่างสุดซึ้ง จากนั้นก็หันหลังและเดินออกจากเพิงสุราไป

เหล่าพ่อค้าที่อยู่อีกโต๊ะหนึ่งก็ได้เดินออกไปแล้ว เพิงสุราจึงเงียบลง เถ้าแก่เนี้ยจึงได้เดินออกมา และเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “แม่นาง เจ้าคงเดือดร้อนใช่หรือไม่ ?”

ซูซูชะงัก “ไม่ เขามิใช่คู่มือของข้า”

“อ่า… แม่นางหมายความว่าเยี่ยงไรรึ ? ”

“โอ้ เขาสู้ข้ามิได้ โดนข้าชกเข้าไป คาดว่า…คงพิการเสียแล้วกระมัง”

เถ้าแก่เนี้ยตื่นตะลึง ใจที่กังวลก็ค่อยปล่อยวาง “ดีดี พวกนั้นสมควรตาย มองดูก็รู้ว่ามิใช่คนดี แม่นางรีบกลับเถอะ ข้าเองก็จะปิดร้านและกลับบ้านแล้ว”

“โอ้ ตามสบายเลย”

ซูซูลุกขึ้นยืนและเดินออกไปกับซูเจวี๋ย เถ้าแก่เนี้ยมองเงินที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วตะโกนเสียงดัง “แม่นาง เงินนี่…”

ซูซูหันหลังให้และโบกมือ “ข้าได้กล่าวไว้แล้วว่าเงินเป็นของเจ้า ! ”

เถ้าแก่เนี้ยเงยหน้ามองแผ่นหลังของซูซู ผ่านไปเนิ่นนานจึงได้ดึงสายตากลับมา สองนิ้วแตะลงบนโต๊ะ และหยิบเหรียญโลหะนั้นขึ้นมา

ในเวลานั้นก็มีชายร่างผอมเดินออกมาจากโรงครัว มือซ้ายของเขาถือจานเนื้อวัว มือขวาหยิบขวดสุรา เขามองไปยังที่ที่ห่างไกลออกไป และมองไปที่เถ้าแก่เนี้ย

“นายหญิงสิบสาม การลุยน้ำโคลนครานี้…เหมือนว่าจะลึกเอาการอยู่”

เถ้าแก่เนี้ยที่มีนามว่านายหญิงสิบสามพยักหน้าน้อย ๆ “หากมิใช่เพราะหลิวจิ่วเม่ย์ออกนอกหน้าเอง ข้าก็คงไม่มายังน้ำโคลนแห่งนี้ จู้กาน เจ้าว่าปีศาจน้อยผู้นี้จะใช่ผู้ที่มาจากสำนักเต๋าหรือไม่ ? ”

จู้กานนั่งอยู่เบื้องหน้าโต๊ะทานเนื้อวัวและดื่มสุรา “ยากจะกล่าว มิมีใครพบเจอปีศาจน้อยมาก่อน… ข้าคิดว่ามิน่าใช่ ท่านอาจารย์กล่าวไว้มิใช่รึว่าปีศาจน้อยเป็นผู้ใช้ฉิน นางมิมีฉิน นอกจากนี้ท่านอาจารย์ยังเล่าว่าท่านเจ้าอารามห้ามมิให้ปีศาจน้อยฝึกวรยุทธ์ หลู่เฟิงผู้นั้นถึงแม้จะแย่ไปเล็กน้อย แต่ก็อยู่ในขั้นสามระดับสูง”

นายหญิงสิบสามเองก็นั่งลง ทานเนื้อวัวและดื่มสุรา ผ่านไปเนิ่นนานจึงได้เอ่ยขึ้นมา “เจ้าคิดผิดแล้ว ในตอนนี้ข้ามั่นใจว่านางคือปีศาจน้อยซูซู”

“เพราะเหตุใดกัน ? ”

“เพราะบัณฑิตข้าง ๆ นั้นคือซูเจวี๋ยศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักเต๋า และเพราะร่างกายของปีศาจน้อยประหลาดตั้งแต่แรกเกิด อากาศที่หนาวขนาดนี้กลับใส่ชุดผ้าบาง ๆ และเดินเท้าเปล่า… นอกจากนางแล้วในใต้หล้านี้ยังจะเป็นใครไปได้อีกรึ ? ”

จู้กานคิ้วขมวด “นั่นยิ่งยุ่งยากกว่าเดิมมิใช่หรือ ? แค่ซูโหรวพวกเราทั้งสองก็ยังมิสามารถจัดการได้ ในตอนนี้กลับมีศิษย์ใหญ่ซูเจวี๋ยและปีศาจน้อยซูซูที่มีฝีมือระดับสูงคอยอยู่ข้างกายฟู่เสี่ยวกวน… งานนี้หนักหนายิ่ง จากที่ข้ามอง ทิ้งมันไปจะดีกว่า”

ทันทีที่สิ้นเสียงจู้กาน ตะเกียบในมือของนายหญิงสิบสามพลันพุ่งไปกลางอากาศ ทันใดนั้นร่างของจู้กานก็บินขึ้นไปในอากาศ ภาพที่เห็นคือกลุ่มคนที่คลาคล่ำบนถนน

เขาล้มลง และตะเกียบของนายหญิงสิบสามก็คว้ากระดาษมาได้แผ่นหนึ่ง

นางหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาอ่าน และส่งให้กับจู้กาน “ดูเหมือนว่า… ต่อให้เราอยากไปก็ไปมิได้เสียแล้ว”

……

…..

ยามที่ซูซูและซูเจวี๋ยเดินผ่านร้านหาบเร่ขายน้ำตาลนางก็ซื้อน้ำตาลปั้นอีกครา เดินไปด้วยพร้อมกับกินน้ำตาลปั้นไปด้วย ทันใดนั้นก็เอ่ยถามขึ้นมา “ศิษย์พี่ใหญ่ หรือแท้จริงแล้วฟู่เสี่ยวกวนทำเรื่องโหดเหี้ยมที่ไร้คุณธรรมอันใดกันแน่ ? ”

ซูเจวี๋ยชะงักไปอึดใจหนึ่ง “เขามิได้ทำเรื่องโหดเหี้ยมไร้คุณธรรมอันใด ! ”

“แล้วเหตุใดเหล่าคนเมื่อครู่ต้องการจับเขากัน ? ทั้งร้านสุราเมื่อครู่ข้าสังเกตุเห็นบางสิ่งผิดปกติ เถ้าแก่เนี้ยผู้นั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นยอดฝีมือระดับสูง แต่กลับแสร้งแสดงท่าทีหวาดกลัวอย่างยิ่งออกมา… นี่มิใช่ว่าต้องการปกปิดเยี่ยงนั้นหรือ นอกจากนั้นในครัวก็ยังมีผู้มียอดฝีมืออยู่อีกคน ความหนาบางของเนื้อวัวนั้นเป็นแบบเดียวกันทั้งสิ้น แต่เดิมข้าคิดว่าจะเป็นร้านแย่ ๆ แต่พวกเขาก็มิได้ทำอะไรกับพวกเรา ศิษย์พี่ว่าท้ายที่สุดแล้วพวกเขาคิดจะทำอันใดกันแน่ ? ”

ซูเจวี๋ยมิคาดคิดเลยว่าศิษย์น้องหกที่มิสนใจสิ่งใดจะมีความสามารถในการสังเกตถึงเพียงนี้ เขาย่อมรู้ว่ามีผู้มีฝีมือระดับสูง 2 คน ดังนั้นเขาจึงมิได้ไปกับซูซู

แต่เดิมเขาคิดว่าสองคนนั้นจะใช้พิษ แต่ทั้งสองก็มิได้ทำอันใดทั้งสิ้น

เหมือนกับที่ซูซูกล่าวไว้ นี่คือการปกปิด ย่อมมีบางอย่างผิดปกติเป็นแน่

แต่ดูแล้วสองคนนี้กับสี่คนนั้นจะมิใช่พวกเดียวกัน เรื่องนี้ค่อนข้างยุ่งยาก

ตามที่ซูเจวี๋ยกล่าวมา เรื่องนี้ใช้ความคิดมากเกินไป นี่มิใช่ทางของเขา ดังนั้นเขาจึงได้กล่าวออกไปหลังครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน “เรื่องนี้ ให้ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้จัดการเถอะ”

ซูซูเบ้ปาก และมิคิดถึงปัญหานั้นอีก นางเดินเล่นพลางซื้อของไปด้วย ในตอนนี้ของในมือซูเจวี๋ยก็มีของเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากนั้นมือของนางก็มิมีที่ว่างสำหรับถือของอีกแล้ว ทั้งสองจึงได้กลับจวนฟู่

“ฉกเงินรึ ? ”

“จะเรียกว่าฉกเงินได้เยี่ยงไร ? เขาแพ้นี่ ของที่ยึดมาได้ก็เป็นของข้า ใช่… ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าลืมซื้อชุดใหม่ให้ท่านไปเลย นี่เกินหนึ่งปีแล้วมิใช่หรือ ไอหยา ท่านรอก่อน ข้าจะไปซื้อให้”

“อย่า ! เจ้าหยุดได้แล้ว ข้าชอบสวมใส่เยี่ยงนี้ แต่เจ้า จะซื้อเสื้อผ้ามาเสียมากมายทำไมกัน ? ”

“เพื่อความดูดี ข้าเปลี่ยนชุดแล้ว พวกเราก็ไปหาฟู่เสี่ยวกวนกันเถอะ”

“ไปหาเขาด้วยเหตุใดกัน ? ”

“…ศิษย์พี่ มิใช่ว่ามีคนจะจับเขาเยี่ยงนั้นหรือ ? เยี่ยงนั้นก็ควรไปบอกเขาสิ ให้เขาถูกจับตัวไป ไม่อย่างนั้นพวกเราจะทราบได้เยี่ยงไรว่าใครที่ต้องการจับเขา ? ”

คำพูดนี้ดูเหมือนจะมิมีปัญหาอะไร ซูเจวี๋ยพยักหน้า รอจนซูซูเปลี่ยนไปสวมใส่ชุดกระโปรงสีเขียวอ่อนแล้ว ทั้งสองก็เดินออกจากจวนฟู่ไปยังจวนต่ง

ฟู่เสี่ยวกวนยังคงอยู่ที่จวนต่ง

หลังจากที่ทานมื้อกลางวันด้วยกันแล้ว ต่งคังผิงก็เชิญชวนเขาเล่นหมากรุก เขาเล่นสิ่งนี้เป็น ทั้งยังเคยได้รับรางวัล

ต่งชูหลานนั่งต้มชาอยู่ด้านข้าง ส่วนต่งซิวเต๋อนั่งอยู่อีกด้านและจ้องมองอย่างสนใจ

ฟู่เสี่ยวกวนใช้หมากดำ การวางหมากค่อนข้างรวดเร็วและยุ่งเหยิง ส่วนหมากของต่งคังผิงกลับมั่นคงและแข็งแกร่งอย่างมาก ดังนั้นสถานการณ์บนกระดานตอนนี้มีฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้โจมตี ส่วนต่งคังผิงผลัดรุกและรับ

หมากรุกเดินไปได้ครึ่งทาง สถานการณ์ของหมากดำในยามนี้มิสู้ดีนัก การป้องกันของหมากขาวนั้นล้ำลึก หมากดำราวกับดูจะหมดหวังอยู่ในที ดังนั้นในยามที่แถวกลางของหมากดำยังมิได้ตั้งอำนาจมังกรน้อยก็ถูกหมากขาวรุกรานจนแตกพ่าย ในยามนี้เพียงฉับพลันก็จะจบชีวิตในทันที ราวกับฟู่เสี่ยวกวนมิได้มีความต้องการที่จะช่วยชีวิต คาดมิถึงว่าเขาจะลงหมากในสถานที่แปลกใหม่

ต่งชูหลานคิ้วขมวดเล็กน้อย ต่งซิวเต๋อเบ้ปาก เอาเถอะ น้องเขยประพันธ์บทกวีได้ดียิ่ง ส่วนการเดินหมาก…น่าจะแย่เสียแล้ว

หมากสีขาวในมือของต่งคังผิงกลับเชื่องช้าและมิได้วางลงไป “ในรัชสมัยไท่เหอราชวงศ์หยูได้มีแม่ทัพใหญ่นามว่าเผิงถู คนผู้นี้ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นมาตลอดชีวิต โดยเฉพาะรัชสมัยไท่เหอปีที่ 13 ที่ขับไล่ชาวฮวงไปจนรุ่งเรือง เขาคือราชวงศ์หยูเพียงผู้เดียวที่รุกรานอาณานิคมของชาวฮวงมาตลอดสามปี จนชาวฮวงพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง และบังคับให้ท่าป๋าปู้ที่เป็นหัวหน้าของชาวฮวงในยามนั้นทำหนังสือยอมจำนน หลังจากนั้น ฮ่องเต้องค์แรกก็ได้มอบให้เผิงถูเป็นเจ้าเมือง และได้อยู่ในสุสานหลวง”

หมากขาวของต่งคังผิงถูกวางลงไป และได้ฆ่ามังกรตัวน้อยที่อยู่ใจกลางตรงนั้น แล้วกล่าวอีกว่า “ท่านเจ้าเมืองเผิงได้เขียนตำรารบขึ้นมา นามว่ากลยุทธ์สงคราม ในนั้นมีประโยคกล่าวไว้ว่า นักรบที่ดี จะเห็นกลยุทธ์ไว้ที่หนึ่ง มหาชนแห่งสามทัพ ดำเนินไปตามกลยุทธ์ มองให้ทั่ว อยู่ในสภาพที่เหมาะสม จึงจะชนะ”

ฟู่เสี่ยวกวนประหลาดใจเล็กน้อย ชัยชนะที่มาจากความเหมาะสมเป็นประโยคที่อยู่ในตำรารบของซุนจื่อ ภายภาคหน้าหากมีเวลาคงต้องอ่านกลยุทธ์สงครามที่เผิงถูเขียนขึ้นมาเสียหน่อย

ความหมายของต่งคังผิงก็คือหมากก็คือพลทหารที่อยู่ในสนามรบ หมากเหล่านั้นก็คือทหารที่อยู่ในมือ จากสถานการณ์ในตอนนี้ ทหารของฟู่เสี่ยวกวนเหมือนจะใช้การไม่ได้แล้ว

อย่างไรก็ตามฟู่เสี่ยวกวนยังคงปักหลักอยู่กับที่ราวกับมิมีที่ให้ลง ต่งคังผิงเฝ้ามองอย่างตึงเครียด และรุกเป็นบางครา จากสนามรบที่เผชิญหน้าตรงกองกลางได้กลายเป็นการต่อสู้ของกองกำลังขนาดเล็กจากทางด้านข้าง

“การเดินหมากของเจ้ากลับแปลกใหม่ อือ น่าสนใจยิ่ง”

ฟู่เสี่ยวกวนได้รับชัยชนะเล็ก ๆ จากส่วนด้านข้าง แต่หากมองจากทั้งกระดานยังเป็นเขาที่พ่ายแพ้ อย่างน้อยก็เป็นในความคิดของต่งชูหลาน เพราะแนวโน้มส่วนใหญ่นั้นสำคัญกว่า

“อือ หมากนี้ลงได้สวย นี่คือชัยชนะ”

ฟู่เสี่ยวกวนค่อย ๆ ล้อมรอบกินเบี้ยของต่งคังผิง สถานการณ์ค่อยพลิกผันไปอย่างช้า ๆ ต่งชูหลานจ้องมองอย่างจริงจัง ลอบคิดว่าการยึดไปทีละน้อยเยี่ยงนี้ ยังชนะได้อีกเยี่ยงนั้นหรือ ?

และท้ายที่สุด ในที่สุดฟู่เสี่ยวกวนก็ยกมือยอมจำนน ต่งชูหลานพินิจพิจารณา คาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะพ่ายแพ้ไปเพียง 1 ตัว !

สองมือของฟู่เสี่ยวกวนแบออก ในตอนที่กำลังจะกล่าว ต่งคังผิงกลับโบกมือและจ้องไปที่หมากรุก

หลังจากนั้นเขาก็เก็บหมากขาวในมือ เขาลงกระปุกและส่ายหน้า “จบกระดาน ชูหลานเก็บกระดานนี้ไว้”

ต่งชูหลานมิทราบด้วยเหตุใด กระดานหมากนี้เห็นได้ชัดว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้แพ้ เหตุใดยังต้องเก็บไว้กัน ?

“เจ้าว่างแล้วค่อยไปศึกษาโดยละเอียดอีกครา”

ฟู่เสี่ยวกวนคาดมิถึงว่าต่งคังผิงจะมองออก เขาลูบจมูกด้วยความละอายใจ ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นที่ด้านนอกจวน “เฮ้เฮ้ พวกข้ามาหาฟู่เสี่ยวกวน หากเจ้ากล้าขวางพวกข้าอีก ข้าจักตีพวกเจ้าให้สลบจริง ๆ ด้วย”

น้ำเสียงของเด็กผู้หญิงนี้ มิใช่หยูเวิ่นหวินเป็นแน่ ฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลานมองหน้ากัน ต่างก็มีความสงสัย หลังจากนั้นทั้งสองก็ลุกขึ้นและเดินออกไป

และเห็นเป็นคนผู้หนึ่งที่สวมชุดสีเขียวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ซูเจวี๋ยที่ยืนตัวตรง บนศีรษะนั้นถักเป็นเปียเล็ก ๆ ปากยังคงเลียถังหูลู่ อีกทั้งสาวน้อยผู้นั้นก็ยังยืนบนหิมะด้วยเท้าเปล่าของนาง

ต่งชูหลานให้ทหารยามถอยออกไป สาวน้อยผู้นั้นหันมองต่งชูหลานอย่างเริงร่า ทันใดนั้นก็ยิ้มอย่างสดใส “พี่สาวงดงามยิ่ง ! ”

ต่งชูหลานผงะ และยิ้มกลับไปอย่างขัดเขิน “น้องสาวก็งดงามเช่นกัน ! ”

ซูซูเลียถังหูลู่และมองไปทางฟู่เสี่ยวกวน ท่าทางดูประหลาดใจเล็กน้อย “ท่านคือฟู่เสี่ยวกวนหรือ ? ”

“เจ้าคือ… ? ”

“ข้ามีนามว่าซูซู ท่าน…” ซูซูมองฟู่เสี่ยวกวนอย่างพินิจพิจารณา “เจ้าผู้นี้…พอใช้ได้ ! ”