บทที่ 96 เขตแดนมิติสะท้อน (2)

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

หลินเทียนอ้าวมองไปที่โจวเหว่ยชิงก่อนที่จะพูดว่า “เมื่อวานนี้เราทุกคนปรึกษากันและวางแผนการง่ายๆ เอาไว้บ้างแล้ว เนื่องจากรอบต่อไปน่าจะเป็นการต่อสู้แบบกลุ่ม ดังนั้นเราจึงต้องต่อสู้โดยอาศัยความแข็งแกร่งของทุกคนรวมกัน แม่มดน้อยเคยได้ยินมาว่าสำหรับการต่อสู้ครั้งนี้ สมาชิกทั้ง 8 ทั้งตัวหลักและตัวสำรองจะต้องลงต่อสู้ด้วยทั้งหมด กล่าวคือพวกเราทั้ง 8 คนจะได้ลงมือแน่นอน เนื่องจากเราไม่แน่ใจในกฎเกณฑ์ สถานที่ หรือผู้ที่เรากำลังจะต่อสู้ด้วย ดังนั้นพวกเราจึงวางแผนตามจุดแข็งของเราไปก่อน เมื่อเราออกไปต่อสู้ ข้าจะอยู่แนวหน้าจัดการเกี่ยวกับการป้องกันของพวกเรา อู่หยา ขี้เมาเป่า เจ้าทั้งสองจะขนาบข้างคุ้มกันเราบริเวณด้านข้างทั้งสองฝั่ง เหว่ยชิง เจ้าจะอยู่ตรงกลางทำหน้าที่ควบคุมกองและสนับสนุนพวกเราทุกคน เซียวเอี๋ยนและเย่เป่าเปา เจ้าทั้งคู่มีทักษะโจมตีระยะไกล ดังนั้นเจ้าจะอยู่ข้างหลังและจะเป็นกลุ่มจู่โจมสร้างความเสียหายหลักของพวกเรา สี่น้อย เจ้าจะต้องรับผิดชอบในการสอดแนมและสนับสนุนการโจมตี แม่มดน้อย เจ้าจะอยู่กับเหว่ยชิงที่ตรงกลางแถว เจ้าจะเป็นไพ่ตายของเรา และเมื่อเราพบกับศัตรูที่ทรงพลัง เจ้าจะต้องทำให้พวกเขาประหลาดใจอย่างกะทันหัน ปลดปล่อยพลังทั้งหมดของเจ้าเพื่อเอาชนะพวกเขาให้ได้ภายในพริบตา”

ในที่สุดหลินเทียนอ้าวก็มองไปที่โจวเหว่ยชิงและพูดว่า “เหว่ยชิง นั่นเป็นแผนคร่าวๆ ของพวกเรา เจ้ามีอะไรอยากจะเพิ่มเติมไหม?”

โจวเหว่ยชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “มีใครรู้บ้างว่าสามารถนำอสูรสวรรค์ไปใช้ในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายนี้ได้หรือไม่?”

แม่มดน้อยกล่าวว่า “ข้าไม่รู้กฎที่แน่นอน แต่ก็น่าจะอนุญาตให้ใช้ได้ ท้ายที่สุดแล้วกลุ่มนักรบวั่นโซ่วก็จะต้องมีปรมาจารย์อสูรอยู่ในกลุ่มของพวกเขาอย่างแน่นอน หากพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้อสูรสวรรค์ นั่นจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อพลังโดยรวมของพวกเขา และนั่นก็จะไม่ใช่การต่อสู้ที่ยุติธรรมสำหรับพวกเขาเลย ข้าเดาว่าอาจจะมีข้อจำกัดบางอย่างอยู่ บางทีอาจเป็นจำนวนอสูรสวรรค์ที่อนุญาตให้นำเข้าไปได้หรืออย่างอื่น แต่ถึงอย่างไรก็ควรได้รับอนุญาต”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าและกล่าวว่า “ดี ในกรณีนี้เราสามารถเพิ่มหมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็งให้ขนาบแต่ละข้างเพื่อสนับสนุนการป้องกันของเรา พวกมันแข็งแกร่งมากและมีทักษะธาตุลมและน้ำแข็ง เมื่อได้พวกมันมาช่วยเพิ่มแนวป้องกันของเราจะให้ผลที่ดีขึ้นมาก วิธีนี้จะทำให้ขี้เมาเป่าและอู่หยาสามารถชักนำพลังที่น่าสะพรึงกลัวของพวกเขาออกมาใช้ประโยชน์ได้มากขึ้นด้วย”

ขี้เมาเป่ายิ้มกว้างและพูดว่า “แล้วเสือขาวตัวน้อยของเจ้าล่ะ? เพื่อนตัวน้อยนั่นวิวัฒน์พลังมาแล้วครั้งหนึ่ง เราเกือบจะถูกฆ่าตายเพราะมันอยู่แล้ว เช่นนั้นก็น่าจะนำไปใช้ประโยชน์ในการต่อสู้ได้ไม่ใช่หรือ?”

เมื่อได้ยินขี้เมาเป่านำเรื่องเจ้าแมวอ้วนออกมาพูด รอยยิ้มลึกลับก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโจวเหว่ยชิง เด็กหนุ่มพลันกล่าวว่า “ไม่ต้องรีบร้อนไป รอดูเถิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อการประลองเริ่ม ข้าจะไม่ให้เจ้าแมวอ้วนลงมือง่ายๆ หรอก”

แม่มดน้อยยกมือขึ้นปิดปากของตนเองเพื่อปกปิดเสียงหัวเราะคิกคักขณะมองไปยังโจวเหว่ยชิง ใบหน้าของหญิงสาวปรากฏแววแปลกประหลาดเจือความขบขัน มีเพียงเธอเท่านั้นที่เข้าใจความนัยของโจวเหว่ยชิง

หลินเทียนอ้าวกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เราไม่รู้รายละเอียดและกฎที่แน่นอนของการต่อสู้ ดังนั้นไม่มีสิ่งใดที่พวกเราจะคาดเดาได้เต็มร้อย เนื่องจากเราได้เข้าสู่ 4 อันดับสุดท้ายและมาไกลเกินกว่าที่เราตั้งใจไว้แต่แรกแล้ว ดังนั้นจากนี้ไปเป็นต้นไปก็ขึ้นอยู่กับพวกเราแล้วว่าจะทดสอบขีดจำกัดตนเองอย่างไร ข้าขอเตือนทุกคนอีกครั้งว่าให้คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรกเสมอ เจ้าเพิ่งได้รับม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะและมีอนาคตที่ดีรออยู่ข้างหน้า ตอนนี้ชีวิตของเจ้าย่อมสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด”

เมื่อทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย โจวเหว่ยชิงจึงลุกขึ้นยืนอีกครั้งอย่างเกียจคร้านก่อนจะพูดว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าก็ขอตัวออกไปอีกครั้ง”

หลินเทียนอ้าวชะงักก่อนจะพูดว่า “พรุ่งนี้จะเริ่มการต่อสู้แล้ว เวลานี้เจ้าจะไปที่ไหนอีก?”

โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “ข้ากำลังจะมุ่งหน้าไปที่วังกักเก็บทักษะอีกครั้ง ไม่ต้องกังวล คืนนี้ข้าจะกลับมาแน่ รอบนี้จะใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่ ข้าจะไม่พลาดการต่อสู้ในวันพรุ่งนี้แน่นอน ท่านก็รู้ว่ามันสำคัญสำหรับข้าแค่ไหน”

หลังจากพูดเสร็จ โจวเหว่ยชิงก็หันหลังไปจากไปพร้อมกับโบกมืออำลาสหายของเขา

การต่อสู้รอบชิงชนะเลิศกำลังจะเริ่มขึ้นและเขามีบางสิ่งสำคัญที่ต้องทำ การฝึกปราณใน 2 วันที่ผ่านมาให้ผลที่ชัดเจนและน่าทึ่งมาก แต่เขายังขาดทักษะธาตุกาลเวลาอีก 2 ชนิด หากเขาสามารถกักเก็บทักษะที่ทรงพลังมาได้อีก 2 ทักษะก่อนที่การต่อสู้รอบชิงชนะเลิศจะเริ่มขึ้น นั่นไม่เพียงจะเป็นประโยชน์ต่อตัวเขาเอง แต่ยังรวมถึงกลุ่มนักรบเฟยหลี่ทั้งหมดด้วย

เมื่อออกจากโรงเตี๊ยม โจวเหว่ยชิงก็กวาดตามองไปรอบๆ เพื่อค้นหาพนักงานของเกาะมณีสวรรค์และถามอีกฝ่ายว่า “ท่านช่วยข้าตามหาผู้อาวุโสซ่างกวนหลงหยินหน่อยได้หรือไม่ ข้าชื่อโจวเหว่ยชิงและมีบางอย่างที่จะต้องคุยกับเขาอย่างเร่งด่วน โปรดช่วยข้านำเรื่องนี้ไปบอกเขา และเขาจะมาหาข้าอย่างแน่นอน ขอบคุณท่านมาก”

เนื่องจากโจวเหว่ยชิงต้องการกักเก็บทักษะเป็นการด่วน อีกทั้งตอนนี้เขาก็อยู่บนเกาะมณีสวรรค์แล้ว นี่จึงเป็นโอกาสสำคัญที่หาได้ยากยิ่ง โจวเหว่ยชิงจะพอใจกับการกักเก็บทักษะจากอสูรสวรรค์ระดับเทวะได้อย่างไร? ถึงอย่างไรซ่างกวนหลงหยินก็ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าเงื่อนไขประการหนึ่งของการซื้อขายวิชาเทพอมตะของเขาคืออนุญาตให้โจวเหว่ยชิงกักเก็บทักษะจากวังกักเก็บทักษะของเกาะมณีสวรรค์ได้โดยไม่มีข้อจำกัด แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่ได้ทำการค้ากัน แต่เขาก็ยังมั่นใจว่าซ่างกวนหลงหยินจะอนุญาตให้เขาไปกักเก็บทักษะจากอสูรสวรรค์ระดับราชาหรือสูงกว่านั้นแน่นอน หากนับรวมทักษะกลืนกินของเขาแล้ว โจวเหว่ยชิงย่อมสามารถฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็วและกักเก็บ 2 ทักษะได้อย่างสบายๆ

รุ่งเช้าของวันรุ่งขึ้น

สมาชิกของกลุ่มนักรบเฟยหลี่ทุกคนลุกขึ้นล้างหน้าล้างตาและรับประทานอาหารเช้าในห้องอาหาร ราคาอาหารในเกาะมณีสวรรค์นั้นค่อนข้างแพงหูฉี่ แต่โชคดีที่โรงเตี๊ยมที่พวกเขาเข้าพักนั้นอย่างน้อยก็มีอาหารเช้าให้รับประทานโดยไม่ต้องเสียเงิน ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ สารอาหารหลักของพวกเขาจึงมาจากอาหารเช้าที่ได้จากโรงเตี๊ยมนั่นเอง ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในห้องอาหาร พวกเขาก็เห็นโจวเหว่ยชิงนั่งอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว เด็กหนุ่มเพิ่งกินเสร็จและกำลังจะลุกออกไป เสื้อผ้าของเขาขาดรุ่งริ่งและผมเผ้าของเขาก็ดูยุ่งเหยิงมาก

สี่น้อยหัวเราะออกมาและกล่าวว่า “เหว่ยชิง เมื่อคืนเจ้าไปที่วังกักเก็บทักษะหรือไปเกี้ยวสาวมาอีกรอบกันแน่? หรือว่าเจ้าจะถูกผู้หญิงทุบตีมาอีกแล้ว?”

โจวเหว่ยชิงจ้องมองเขาอย่างโกรธเคืองและพูดว่า “ไปเล่นที่อื่นเลยไป! ข้าตรากตรำมาตลอดทั้งคืน มันยากลำบากมากสำหรับข้า แต่ข้าก็ยังทำสำเร็จ!”

หลินเทียนอ้าวมองเห็นได้ชัดเจนว่าแม้ว่ารูปลักษณ์ของโจวเหว่ยชิงจะดูไม่ได้ แต่ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความสุขและความตื่นเต้น เห็นได้ชัดว่าจะต้องมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับเขาแน่นอน

“เหว่ยชิง เจ้าพักผ่อนสักหน่อยไหม? คงต้องใช้เวลาอีกสักพักก่อนที่เจ้าหน้าที่ของเกาะมณีสวรรค์จะมาพาเราไปที่ลานประลอง” หลินเทียนอ้าวถาม

โจวเหว่ยชิงส่ายหัวพลางยิ้มกว้างขณะที่พูดว่า “ไม่จำเป็น ตอนนี้ร่างกายของข้าอยู่ในสภาพที่ดีที่สุดแล้ว ข้าแค่ต้องเติมพลังด้วยอาหารดีๆ สักมื้อเท่านั้น”

เมื่อคืนเป็นช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับเขามาก ซ่างกวนหลงหยินมาพบเขาเช่นเดียวกับที่เขาคาดหวังไว้และตกลงที่จะให้เขากักเก็บทักษะจากอสูรสวรรค์ตัวใดก็ได้ในวังกักเก็บทักษะโดยไม่ต้องเสียเงินสักเหรียญเดียว แท้จริงแล้วเมื่อคืนที่ผ่านมาโจวเหว่ยชิงไม่ได้กักเก็บได้ 2 ทักษะเท่านั้น แต่เป็น 3 ทักษะ! นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมตอนนี้เขาดูโทรมลงมาก เขาพยายามแทบตายกว่าจะทำสำเร็จและเกือบจะได้รับบาดเจ็บหลายครั้งในระหว่างการทำเช่นนั้นแล้ว

อย่างไรก็ตาม ความพยายามของเขาไม่ได้ไร้ผล มิฉะนั้นเขาคงจะไม่ตื่นเต้นเช่นนี้ ทักษะใหม่ทั้ง 3 ของโจวเหว่ยชิงไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างพลังโดยรวมให้เขา แต่ยังนำมาซึ่งความสามารถใหม่ๆ ด้วย แน่นอนว่าเป็นพลังยิ่งใหญ่ที่เขาไม่เคยมีมาก่อน

หลังจากกินหมดแล้ว พวกเขาก็รอพักเดียวก่อนที่ผู้นำทางของเกาะมณีสวรรค์จะมาถึงโรงเตี๊ยมเพื่อรับตัวพวกเขาออกไป

สมาชิกทั้งหมดออกจากโรงเตี๊ยมและมุ่งหน้าไปยังบริเวณกลางเกาะมณีสวรรค์ซึ่งปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกหนาทึบ เมื่อเห็นทิศทางที่พวกเขากำลังไป ทุกคนก็อดสงสัยไม่ได้ว่า…เป็นไปได้ไหมที่การต่อสู้ครั้งสุดท้ายจะจัดขึ้นในวังสวรรค์ไพศาล?

ทั้งหมดใช้เวลาไม่นานก่อนที่สมาชิกกลุ่มนักรบเฟยหลี่จะเห็นอีก 3 กลุ่มที่เดินมาจากทิศทางที่แตกต่างกัน โดยทั้งหมดต่างมุ่งหน้าไปยังเขตใจกลางเมืองที่เต็มไปด้วยหมอกหนาทึบนั่น

โจวเหว่ยชิงที่กำลังเดินตามหลังหลินเทียนอ้าวพลันนึกถึงเหตุการณ์ในสองสามวันที่ผ่านมา นั่นเป็นสิ่งที่เรียกได้ว่าประสบการณ์อันน่าอัศจรรย์สำหรับเขาอย่างแท้จริง ทว่าจู่ๆ เด็กหนุ่มก็รู้สึกตัวสั่นเทาเพราะความรู้สึกเย็นยะเยือกกำลังแผ่ปกคลุมไปทั่วร่างของเขา

อ้วนน้อยที่รักของเรามีประสาทการรับรู้ของสัตว์ร้ายอยู่ในตัว และความรู้สึกแปลกๆ นี้เป็นผลมาจากสิ่งนั้น สัญชาตญาณนี้ปลุกความระแวดระวังของเขาให้ตื่นตัวขึ้นมา เขาจึงเผลอมองตามไปยังทิศทางหนึ่งโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะสบเข้ากับสายตาเย็นชาที่เต็มไปด้วยรังสีสังหาร

เจ้าของสายตานั้นคือหัวหน้ากลุ่มนักรบจ้งเทียน จ้านหลิงเทียนซึ่งกำลังเดินนำกลุ่มของเขาอยู่นั่นเอง

เมื่อรับรู้ถึงสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นศัตรู โจวเหว่ยชิงก็พลันรู้สึกงงงวย เขาคิดไม่ออกว่าทำไมจ้านหลิงเทียนถึงมองเขาแบบนั้น เพราะก่อนหน้านี้เขาไม่เคยพูดคุยกับอีกฝ่ายมาก่อนเลยด้วยซ้ำ

เมื่อสายตาของพวกเขาสบกันกลางอากาศ แสงเยียบเย็นพลันผุดขึ้นมาในดวงตาของจ้านหลิงเทียน ชายหนุ่มก็หรี่ตามองโจวเหว่ยชิงเล็กน้อยก่อนที่จะหันกลับไป

โจวเหว่ยชิงเม้มริมฝีปากพลางคิดกับตัวเอง ทำมาเป็นหยิ่งใส่ข้าเรอะ! ตัวเจ้าดีอะไรนักหรือไง! หึ มาดูกันว่าเมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้น ใครจะได้หัวเราะเป็นคนสุดท้าย!

หลินเทียนอ้าวสามารถสัมผัสได้ชัดเจนถึงความเป็นศัตรูระหว่างจ้านหลิงเทียนและโจวเหว่ยชิง หัวใจของเขาพลันรู้สึกหนักอึ้งเล็กน้อย สำหรับจ้านหลิงเทียนนั้น หลินเทียนอ้าวไม่ได้มองโลกในแง่ดีเท่าโจวเหว่ยชิง ในฐานะหัวหน้ากลุ่มนักรบจ้งเทียน เขามีพลังอยู่คนละชั้นกับคนอื่น แม้กระทั่งกับปีศาจน้อยเซิน และเธอก็ถือได้ว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่จัดการได้ง่ายๆ หากต้องต่อสู้กับจ้านหลิงเทียน นอกจากนี้ หลินเทียนอ้าวก็เคยได้ยินเกี่ยวกับชายหนุ่มผู้นี้มาก่อนในระหว่างงานประลองมณีสวรรค์ครั้งก่อนหน้า ตอนนั้นจ้านหลิงเทียนมีอายุเพียง 22 ปีแต่เขากลับได้เป็นหัวหน้ากลุ่มแล้วด้วยซ้ำ อาณาจักรจ้งเทียนอาจกล่าวได้ว่าเต็มไปด้วยยอดฝีมือ แม้แต่ในกลุ่มคนรุ่นเยาว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาได้รับการสนับสนุนจากวังสวรรค์ไพศาล การที่จ้านหลิงเทียนสามารถก้าวขึ้นมายืนโดดเด่นท่ามกลางการแข่งขันที่หนักหน่วงเช่นนี้ได้ ใครก็ไม่ควรมองข้ามพลังของเขาไปโดยเด็ดขาด

ในบรรดากลุ่มนักรบจ้งเทียน สมาชิกหญิงเพียงคนเดียวนั้นดูจืดชืดและไม่หยิ่งผยองเหมือนคนอื่นๆ แต่หากมองอย่างระมัดระวังแล้ว หญิงสาวกลับคล้ายจะมีดวงตาที่แสนเฉลียวฉลาดและเจ้าเล่ห์ รูปลักษณ์ที่น่าเบื่อและธรรมดาของเธอพลันถูกทำลายลงด้วยดวงตาที่ฉายประกายซุกซน เมื่อหญิงสาวมองเห็นสายตาที่ปะทะกันกลางอากาศของจ้านหลิงเทียนและโจวเหว่ยชิง ดวงตาของเธอก็สว่างวาบขึ้นด้วยความยินดี

สมาชิกกลุ่มนักรบวั่นโซ่วทุกคนเผยสีหน้าเย็นยะเยือกเหมือนปกติในขณะที่คู่รักทั้ง 4 คู่ของกลุ่มนักรบเป่าโปมองหน้ากันอย่างอ่อนโยนเหมือนเคย อย่างไรก็ตาม เป็นที่ชัดเจนว่าบรรยากาศระหว่างทั้ง 4 กลุ่มค่อนข้างตึงเครียด และการแลกเปลี่ยนสายตาระหว่างแต่ละกลุ่มก็ลดลงมาก ท้ายที่สุดแล้ว เวลานี้การต่อสู้ครั้งสุดท้ายก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการเสียที

เขตใจกลางของเกาะมณีสวรรค์นั้นมีอาณาเขตไม่ใหญ่มากนัก ไม่ช้าพวกเขาจึงมาถึงจุดนัดหมาย บริเวณนั้นมีหมอกควันหมุนวนอยู่ต่อหน้าพวกเขา ไม่นานผู้นำทางก็หยุดฝีเท้าลง

ซ่างกวนหลงหยินยืนรออยู่ที่นั่นแล้ว ชายหนุ่มยังคงสวมชุดสีขาว ด้านหลังของเขายังคงปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก บริเวณนั้นยังมีชายชราชุดขาวอีก 10 คนยืนอยู่ โดยเฉลี่ยแล้วพวกเขาทั้งหมดดูจะมีอายุประมาณ 60 ปี แต่ละคนดูหนักแน่นมั่นคงและมีนัยน์ตาแฝงแววฉลาดเฉลียว

เมื่อเห็นว่าทั้ง 4 กลุ่มมารวมตัวกันที่นี่แล้ว ซ่างกวนหลงหยินก็กล่าวอย่างใจเย็น “การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศงานประลองมณีสวรรค์กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว ตอนนี้ข้าจะบอกกฎและรูปแบบการต่อสู้ให้พวกเจ้าฟัง”

“ในวังกักเก็บทักษะบนเกาะมณีสวรรค์และในเมืองหลวงจ้งเทียน เจ้าน่าจะเคยได้เห็นมณีสะท้อนมาก่อนแล้ว มันเป็นสิ่งของที่น่าอัศจรรย์จริงๆ เร็วๆ นี้เจ้าจะได้มุ่งหน้าไปยังพื้นที่ต่อสู้รอบชิงชนะเลิศ และมันก็มีชื่อคล้ายๆ กันว่าเขตแดนมิติสะท้อน”

“เขตแดนมิติสะท้อน…เจ้าอาจจะคิดว่ามันเป็นเวทย์มนตร์ชนิดพิเศษรูปแบบหนึ่งก็ได้ มันเป็นพื้นที่โบราณที่ตกทอดมาจากหลายยุคหลายสมัยซึ่งถูกสร้างไว้บนเกาะมณีสวรรค์ มันก่อตัวขึ้นมาได้อย่างไรหรือถูกใครทิ้งไว้ก็ไม่มีผู้ใดทราบได้ เมื่อผู้ก่อตั้งและบรรพบุรุษที่ยิ่งใหญ่ของวังสวรรค์ไพศาลมาถึงเกาะมณีสวรรค์แห่งนี้ ที่แห่งนั้นก็ปรากฏอยู่ก่อนหน้าแล้ว”

“หากมองในอีกแง่หนึ่ง เขตแดนมิติสะท้อนนั้นเป็นดินแดนใหม่ซึ่งเป็นมิติที่แยกตัวออกไปและไม่ใช่สิ่งของบนโลกใบนี้ มันมีขนาดไม่ใหญ่มากและพื้นดินทั้งหมดก็ถูกปกคลุมไปด้วยป่าฝนอันบริสุทธิ์ เราไม่รู้ว่าเขตแดนนี้สร้างขึ้นมาได้อย่างไรหรือเป็นประตูสู่โลกอื่นหรือไม่ แต่สิ่งที่ข้าสามารถบอกเจ้าได้ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นในเขตแดนนั้นเป็นล้วนความจริงทั้งสิ้น กล่าวคือถ้าเจ้าตายที่นั่น มันก็จะกลายเป็นเรื่องจริง”

……………………………………………………..