กระดองเต่าส่งเสียงเปรี๊ยะๆ เล็กน้อยในกองไฟ ชูหลี่จี๋ใช้แท่งไฟหยิบเปลือกกระดองออกมา
ตั้งแต่ครั้งโบราณกาล ผู้คนใช้รอยแตกบนกระดองเต่าทำนายคราวเคราะห์ นี่คือการทำนายแบบหนึ่งที่จอมเวทย์ใช้กันทั่วไปซึ่งมีความลึกลับอย่างยิ่ง
ชูหลี่จี๋หลับตาร่ายคาถา จากนั้นก็นำกระดองเต่าสะท้อนกับแสงไฟเพื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน
“ภาพแผนผังนี้…” ชูหลี่จี๋ขมวดคิ้ว “คราวเคราะห์และเรื่องมงคลล้วนมีอยู่ ไม่รู้ว่าจะประสบกับหายนะที่กลายเป็นเรื่องมงคล หรือว่า…”
เขาห่อกระดองเต่าด้วยผ้าเช็ดหน้า เอ่ยกับซ่งชูอี “กระดองเต่านี้อายุน้อยเกินไป มองไม่เห็นรายละเอียด วันนี้ทำนายครั้งหนึ่งแล้ว หากทำนายอีกจะไม่แม่น ไว้ข้ากลับจวนแล้วจะใช้กระดองเต่าร้อยปีทำนายอีกครั้งหลังยามจื่อ”
“ต้องใช้กระดองเต่าร้อยปีด้วยรึ?” ซ่งชูอีประหลาดใจ นางทำนายอะไรพวกนี้ไม่เป็น แต่รู้ว่าการทำนายคราวเคราะห์ก็ใช้เพียงกระดองเต่าอายุสิบกว่าปีเท่านั้น มีเพียงเวลาที่องค์จวินบวงสรวงสวรรค์หรือบรรพบุรุษ และทำนายดวงชะตาของบ้านเมืองจึงจะใช้ประดองเต่าร้อยปี
ชูหลี่จี๋หัวเราะพลางอธิบาย “ภาพแผนผังทำนายแสดงเคราะห์ใหญ่ ข้าไม่สบายใจ ข้าได้กระดองเต่าร้อยปีมาขณะที่ศึกษาอยู่ที่ตงไห่ ทำนายได้ละเอียดกว่า”
“ไม่ได้เด็ดขาด!” ซ่งชูอีปฏิเสธอย่างเฉียบขาด มองชูหลี่จี๋แล้วเอ่ยด้วยความจริงจัง “ทำนายชีวิตของคนใช้กระดองเต่าอายุสิบปีก็พอ ยิ่งไปกว่านั้นข้าสำนักเต๋าเชื่อในการปล่อยไปตามครรลอง ข้าขอให้พี่ใหญ่ช่วยทำนายก็เป็นเพียงการขอเล็กน้อยเท่านั้น จะต้องรู้ละเอียดเพียงใดกัน พี่ใหญ่ต้องรับปากข้าว่าจะไม่ฝืน!”
กระดองเต่าสามารถใช้เป็นยาได้ ในสมาคมการค้ามีขายแม้กระทั่งกระดองเต่าพันปี กระดองเต่าร้อยปีไม่นับว่าหายากเลย จอมเวทย์ยินยอมที่จะใช้กระดองเต่าที่มีอายุน้อยหน่อยแต่จะไม่ใช้ของเหล่านี้ง่ายๆ ไม่ใช่ว่าพวกเขาไร้ความสามารถ แต่เป็นเพราะว่าการทำนายโดยทั่วไปไม่เป็นปัญหาต่อผู้ทำนาย ทว่าพวกที่สืบความลับสวรรค์จะต้องประสบกับผลสะท้อนกลับ ว่ากันว่าเคยมีจอมเวทย์ที่ใช้กระดองเต่าพันปีในการทำนายเพิ่งจะบันทึกภาพแผนผังไปได้เพียงครึ่งก็ขาดใจตายทันที
ตำนานมีมานานกว่าร้อยปี ซ่งชูอีไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามันคือความจริงหรือไม่ ทว่าเรื่องพรรค์นี้ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ และจะแตะต้องง่ายๆ มิได้
ชูหลี่จี๋เห็นว่านางกล่าวด้วยความจริงจัง จึงพยักหน้า “ได้ ใช้เพียงกระดองเต่าสิบปี”
หัวใจของชูหลี่จี๋กำลังคิดถึงการทำนาย จึงมิได้อยู่ต่อนาน รีบร้อนกลับจวนไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมทำนายอีกครั้งหลังยามจื่อ
เมื่อเทียบกับความวิตกกังวลของชูหลี่จี๋แล้ว ซ่งชูอีกลับสงบนิ่งเป็นอย่างมาก นางเฉียดความตายนับครั้งไม่ถ้วนในชาติที่แล้ว หรือแม้กระทั่งตายจริงๆ แม้จะไม่นับว่าชินชากับชีวิตและความตาย แต่ก็ยังสามารถปลงตกได้ดีกว่าคนทั่วไป
แสงไฟในเตาวูบไหว ซ่งชูอีผิงไฟ นับวันที่กองทัพกลับฉิน อย่างเร็วที่สุด เจ้าอี่โหลวน่าจะถึงนครเสียนหยางก่อนปีใหม่ แต่ถ้าเขายังคงไม่พอใจนางที่ทำผิดข้อตกลงและจากไปโดยไม่บอกลา เกรงว่าก็อาจจะหาข้าอ้างและไม่กลับมาหนึ่งปีครึ่งด้วยซ้ำ
ถ้าหาก…จับเขากลับมาทันทีเพื่อป้อนยาตนโดยไม่สนใจสิ่งใด ก็ยังทำได้ตามใจมิใช่หรือ?
“หึ” ซ่งชูอีแอบหัวเราะ จากนั้นคิ้วก็ขมวดกันอีกครั้ง ด้วยนิสัยของเจ้าอี่โหลวแล้ว หากนางกล้าทำเช่นนี้จริงๆ เกรงว่าความรักที่มีในตอนนี้ก็จะกลายเป็นความแค้นแล้ว!
ซ่งชูอีถอนหายใจ เนื้อนุ่มชิ้นอ้วนวางอยู่ตรงหน้า ทำให้คนร้อนอกร้อนใจ ที่ตะลึงงันก็คือมันยากที่จะกลืนกิน ช่างน่าเศร้าเหลือเกิน!
ราตรีผ่านไปอย่างเชื่องช้า คิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจ ล้างหน้าล้างตาแล้วเข้านอนเถิด…
หิมะตกทั้งคืน
วันรุ่งขึ้น ทั้งนครเสียนหยางถูกปกคลุมไปด้วยหิมะแล้ว หิมะตามฤดูกาลเป็นสัญญาณแห่งปีที่อุดมสมบูรณ์ ครั้นหิมะตกหนัก ใบหน้าของราษฎรล้วนเปี่ยมด้วยความปิติ
ชูหลี่จี๋รีบมาที่จวนของซ่งชูอีตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เพื่ออธิบายภาพแผนผังของเมื่อคืนให้นางฟังอย่างละเอียด ดูเหมือนเป็นสถานการณ์สิ้นหวังที่ยังมีโอกาสรอดชีวิต เป็นสถานการณ์ของความโชคดีในความโชคร้าย
คิดไว้ในใจอยู่แล้ว ซ่งชูอีก็ยิ่งโล่งใจมากขึ้น
หลังจากทั้งสองคนกินข้าวเสร็จ ชูหลี่จี๋ก็รีบไปที่งานประชุมราชสำนัก ซ่งชูอีเรียกเจียนเข้ามาถามเรื่องการฝึกศิลปะการต่อสู้ของเขา
“เงยหน้า” เจียนติดตามนางมาสองปีแล้ว ซ่งชูอีเข้าใจนิสัยของเจียนเจ็ดถึงแปดส่วน อย่างไรก็ดีเขามักจะก้มหน้าตลอด หากไม่เรียกเขาก็เหมือนกับเป็นเครื่องประดับห้องชิ้นหนึ่ง ฉะนั้นนี่จึงเป็นครั้งแรกที่ซ่งชูอีสำรวจเด็กผู้ชายคนนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน
ตอนนี้เขามีลักษณะของเด็กวัยสิบสองสิบสาม แม้สวมใส่เสื้ออ่าวชายสั้น[1] ก็ยังสามารถเห็นเนื้อตัวและแขนขาที่เพรียวบางเกินไป ใบหน้าสีเข้มเล็กกว่าใบหน้าของหนิงยาเสียอีก หน้าตาปานกลาง มีเพียงดวงตาคู่นั้นที่เรียวยาว หางคิ้วชี้ขึ้นบนเล็กน้อย บวกกับหูสองข้างที่ดูใหญ่เล็กน้อยเมื่อเทียบกับใบหน้า ดูแล้วมีความประหลาดอยู่บ้าง ที่น่าแปลกกว่านั้นคือ เขาผอมบางและอ่อนแอเช่นนี้ ทว่ากลับมีผมสีดำเหมือนผ้าแพรจริงๆ
“จิ้งจอกน้อย…” ซ่งชูอีลูบผมของเขา ยิ้มเอ่ย “ไม่ใช่ชายรูปงาม ทว่าหน้าตาน่าสนใจ”
เจียนก้มหน้าลง
“เงยหน้า บัดนี้เขาก็เป็นคนมีสกุลแล้ว อย่าทำท่าอับอายเหมือนกับว่าไม่มีมัน” น้ำเสียงซ่งชูอีขึงขัง
เจียนรีบเงยหน้าขึ้น แต่ไม่ว่าอย่างไรสายตาก็ไม่กล้ามองซ่งชูอี
“กู่จิงบอกว่าคุณสมบัติของเจ้าไม่เลว หากมีโอกาสจะได้เป็นยอดฝีมืออย่างแน่นอน เจ้ายินยอมที่จะตามหายอดฝีมือเพื่อฝากตัวเป็นศิษย์และเรียนวิชาหรือไม่?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม
เจียนเผยอาการประหลาดใจ หลังจากได้สติกลับมาแล้วก็ค้อมตัวเอ่ย “แล้วแต่ท่านเห็นสมควรขอรับ”
ซ่งชูอีพยักหน้า “ต่อไปเจ้าก็ไม่ต้องติดตามกู่จิงเรียนวิชาแล้ว ฝึกเองไปก่อน รอจนกว่าข้าหาอาจารย์ดีๆ ให้เจ้า อย่างไรเสีย ช่วงนี้เจ้าก็กินยาบำรุงร่างกายด้วย”
วิชาทางแพทย์ของชูหลี่จี๋เทียบเปี่ยนเชวี่ยไม่ได้ ทว่าก็ดีกว่าหมอทั่วไป ยิ่งไปกว่านั้นการจ่ายยาทำได้ดีเป็นพิเศษ การปรับสภาพร่างกายจึงไม่น่าเป็นปัญหา
“ขอบคุณท่าน!” เจียนหมอบไปกับพื้น
“ท่านเจ้าคะ เอกสารของวันนี้จัดเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” หนิงยาเอ่ย
“เอาเข้ามาเถิด” ซ่งชูอีเอ่ย
หนิงยาหอบตะกร้าไม้ไผ่เข้ามา วางแต่ละม้วนๆ ลงบนโต๊ะ เรียงเป็นปึกอย่างเรียบร้อย
นางยื่นม้วนสุดท้ายให้ซ่งชูอี “ท่านเจ้าคะ นี่เป็นสิ่งที่นักรบกู่ส่งมาให้ตั้งแต่เช้า กล่าวว่าจะต้องให้ท่านอ่านให้ได้”
ซ่งชูอีรับมันมาและอ่านอย่างลวกๆ รอบหนึ่ง มันคือเทียบเชิญจากปรมาจารย์สำนักม่อจริงๆ
เทียบที่ซ่งชูอีฝากกู่จิงไปคราวก่อนก็ได้รับการตอบกลับนี้มาจริงๆ นางพลิกดูตอนท้าย หรี่ตามองอย่างละเอียดรอบหนึ่ง จีเจ่อ
ซ่งชูอีรู้เพียงว่าจีเจ่อมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับจวีจื่อบรรพบุรุษของสำนักม่อ คนรุ่นนั้นในสำนักม่อในความสามารถยิ่ง! และเขาก็ไม่ใช่อาจารย์ของกู่จิง ในเทียบกล่าวว่าเขาจะใช้เวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งเดือนในการไปถึงเสียนหยาง ซ่งชูอีครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เข้าใจความหมายของสำนักม่อ พวกเขาคิดที่จะติดต่อกับสำนักเต๋าอย่างเป็นทางการ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ซ่งชูอีในฐานะศิษย์โดยตรงของจวงจื่อก็จะละเลยจีเจ่อมิได้
เพียงแต่สำนักม่อต้องการจัดการสำนักเต๋า นางซ่งชูอีไม่มีชื่อที่ถูกต้องวาจาจึงไม่น่าเชื่อถือ นี่มันเรื่องอะไรกันเล่า!
“วาจายิ่งใหญ่สามารถลวงโลกได้ ก็ทำตามนี้เถิด!” ซ่งชูอีถอนหายใจเอ่ย สำนักม่อส่งคนออกมาแล้ว บัดนี้บุคคลนั้นกำลังอยู่ระหว่างทาง หากนางปฏิเสธที่จะพบ มันจะมีอันตรายมากกว่าผลดีไม่ว่าต่อสำนักเต๋าหรือต่อตัวนางเอง
หิมะหนักตกๆ หยุดๆ อากาศในหล่งซีเหน็บหนาวยิ่ง กองหิมะไม่เคยละลายเลย เพียงครึ่งเดือนก็สะสมตัวหนาสามฉื่อแล้ว รถม้าในนครเสียนหยางยากที่จะสัญจร บัดนี้กองทัพคุ้มกันแน่นหนา ราชสำนักได้ออกประกาศว่า ให้ทุกคนออกมากวาดหิมะบนถนน กวาดหนึ่งวันก็จะสามารถมารับเงินสิบเตาปี้ได้ ทันใดนั้นเองการกวาดหิมะก็เป็นงานจับกังที่ทุกคนยื้อแย่งกัน
ผู้คนหลายร้อยเข้าร่วมในคราเดียว ดีเลวอย่างไรก็ทำให้ถนนหลักหลายสายในนครเสียนหยางสะอาดสะอ้านและสัญจรสะดวกแล้ว
คฤหาสน์ของซ่งชูอีตั้งอยู่ใกล้กับพระราชวังเสียนหยาง เงียบสงบเป็นอย่างมาก ตอนที่ที่นี่ยังเป็นพระราชวังของอิ๋งซื่อไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ หลังจากซ่งชูอีเข้ามาพักแล้วก็ครึกครื้นขึ้น ทว่าหิมะที่นี่ทับถมหนาสี่ถึงห้าฉื่อ ระยะหลังนี้จึงไม่มีใครมาแวะคารวะเลย
ช่วงหลายวันแรก ซ่งชูอีสอนหนังสือหนิงยาอยู่ในบ้าน ให้เจียนบำรุงร่างกายตามสูตรยาของชูหลี่จี๋ บางครั้งก็เย้าแหย่สาวใช้ที่เพิ่งซื้อมา วันเวลาผ่านไปอย่างมีอิสระเสรียิ่ง แต่ภายในไม่กี่วันก็รู้สึกเบื่อหน่ายจนแทบคลั่ง ครั้นคิดว่าแม่นางเจินอวี๋ผู้นั้นสามารถอยู่ในลานหลังบ้านได้หลายเดือนเหมือนกับวันเดียว ก็อดที่จะชื่นชมจากใจจริงมิได้
ทุกคนที่เฝ้าอยู่หน้าเตาล้วนเนื้อตัวสั่นเทา ทว่าไป๋เริ่นขจัดท่าทางเหี่ยวเฉาในฤดูร้อนเป็นปลิดทิ้ง วิ่งอย่างดุเดือดท่ามกลางหิมะ ราวกับว่ามีพลังงานที่ไม่มีวันหมด ด้านล่างของหิมะที่สะสมกันหนาถูกมันขุดออกไปหลายทิศทางราวกับเขาวงกต ใหญ่พอที่จะให้ผู้ใหญ่คนหนึ่งคลานเข้าไปได้
ระยะนี้ ซ่งชูอีสืบเรื่องของซือหม่าหวยอี้อย่างละเอียด บวกกับข้อมูลของหลี่ว์เต๋อเฉิงที่ชูหลี่จี๋ถามมาได้ก็ทำให้นางเข้าใจซือหม่าหวยอี้พอสมควร
สกุลซือหม่าเดิมทีมิใช่ตระกูลใหญ่ และเนื่องจากการย้ายครอบครัวสองครั้ง ฐานะจึงเสื่อมถอยลงภายในเจ็ดถึงแปดปี สมาชิกที่เหลือในครอบครัวก็มีเพียงสิบกว่าคน เมื่อปีกลายทุกคนต่างตายจากไข้หนาว ซือหม่าหวยอี้เดินทางออกไปข้างนอกจึงรอดชีวิตเพียงลำพัง
ไร้การสนับสนุนจากครอบครัว ซือหม่าหวยอี้ต้องประสบกับความยากลำบาก ของานไปทุกที่ทว่าไร้ผล คิดได้ว่ายังมีสหายคนสนิทในรัฐฉิน จึงมาขอที่พึ่งภายใต้ความสิ้นหวัง บัดนี้จึงอาศัยอยู่ในบ้านของหลี่ว์เต๋อเฉิง
เป็นวันหิมะตกหนักอีกแล้ว ซ่งชูอีที่เบื่อจนแทบคลั่งตัดสินใจที่จะทำตามคำสัญญา ให้คนใช้ในจวนเปิดเส้นทางจากรูที่ไป๋เริ่นได้สร้างไว้ ให้คนส่งเทียบเชิญไปยังหลี่ว์เต๋อเฉิง
หลังจากได้รับจดหมายตอบกลับแล้ว ตอนบ่ายก็แบกสุราดอกบ๊วยสองไหแล้วขี่ไป๋เริ่นไปยังจวนของชูหลี่จี๋
จวนของชูหลี่จี๋ไม่ใหญ่ ลานที่แขกที่ปรึกษาพักอยู่ใกล้กับลานหลัก พื้นที่ก็มิได้ต่างจากลานหลักมากนัก ระหว่างจวนมิได้เชื่อมต่อกัน แต่ละหลังล้วนมีประตูและลานแยกต่างหาก ซ่งชูอีตกตะลึง ไม่แปลกใจเลยที่แขกที่ปรึกษาของชูหลี่จี๋มีไม่มาก ดูเช่นนี้แล้ว ขอเพียงรับแขกที่ปรึกษาเพิ่มอีกสักสิบคน เขาเองคงต้องนอนกลางดินกินกลางทรายแล้ว
“ไป๋เริ่น ท่าทางของเจ้าน่ากลัวเกินไปแล้ว หลบไปอยู่อีกทางหนึ่ง ให้ข้าเคาะประตู” ซ่งชูอีพึมพำ พาไป๋เริ่นหลบไปอยู่ข้างประตู
เคาะประตูเสร็จแล้วก็รอให้คนใช้ไปรายงาน
จากนั้นไม่นานก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น “วันหิมะตกมีแขกผู้สูงศักดิ์นำสุรามา เป็นเรื่องงดงามในชีวิตจริงๆ!”
ยังไม่ทันเห็นคน เสียงหัวเราะดังของหลี่ว์เต๋อฉิงก็ลอยออกมา หลังจากสิ้นเสียงแล้ว ประตูใหญก็เปิดออกเสียงเอี๊ยดอ๊าด หลี่ว์เต๋อเฉิงและซือหม่าหวยอี้ออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง
ซือหม่าหวยอี้ได้เห็นซ่งชูอีอีกครั้งก็ยังคงอดที่จะสำรวจอย่างละเอียดมิได้ เห็นนางในเสื้อแขนกว้างสีดำตัวหนา ด้านนอกสวมเสื้อคลุมสีเดียวกัน รอบคอพันด้วยขนแรคคูน ผมหงอกแซมขมับเล็กน้อย ใบหน้าเรียบง่ายสะอาดสะอ้าน ดูมีชีวิตชีวากว่าครั้งก่อนมาก และ…ยิ่งมองก็ยิ่งเหมือนซ่งเจ้า
ไป๋เริ่นค่อยๆ เดินออกมาจากข้างประตู ซือหม่าหวยอี้กับหลี่ว์เต๋อเฉิงเคยเห็นแล้วครั้งหนึ่ง รู้ว่าเป็นหมาป่าที่ซ่งชูอีเลี้ยงไว้ ดังนั้นจึงไม่มีท่าทีตกใจเหมือนเมื่อแรกเห็น
“ข้างนอกลมหิมะแรง ซ่งจื่อรีบเข้ามา!” หลี่ว์เต๋อเฉิงให้นางเข้าจวน
ทั้งสามคนและหมาป่าหนึ่งตัวเดินเข้าไปในห้องโถงหลัก โน้มตัวอยู่ข้างเตาไฟ อุ่นสุราบ๊วยที่ซ่งชูอีนำมา
เริ่มแรกซือหม่าหวยอี้ระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก หลังจากคุยกันสักพักก็ค่อยๆ พบว่าซ่งชูอีสดชื่นและเป็นอิสระอย่างที่หลี่ว์เต๋อเฉิงได้ประเมินไว้จริงๆ จึงรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวแล้ว
เหล้าของซ่งชูอีอ่อนโยนเมื่อเข้าปาก แต่แท้จริงแล้วเข้มข้นมาก หลังจากดื่มไปเพียงสองสามจอก พวกเขาทั้งสามคนก็รู้สึกอบอุ่น
ซือหม่าหวยอี้เมามายเล็กน้อยแล้ว ลุกขึ้นเอ่ยว่า “วันก่อนเข้าล่ากวางได้ตัวหนึ่ง บัดนี้เอาให้ทางครัวแล้ว นำมารับรองซ่งจื่อได้พอดี ข้าจะให้คนไปดูว่าตุ๋นได้ที่แล้วหรือยัง”
[1] เสื้ออ่าว คือเสื้อที่ตัดเย็บสองชั้นสำหรับกันหนาว โดยยัดฝ้ายไว้ระหว่างเนื้อผ้าสองชั้นเพื่อสามารถเก็บความอุ่นได้ดีขึ้น