บทที่ 283 ขี่มังกร เป็นความรู้สึกอย่างไร (2)

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน

บทที่ 283 ขี่มังกร เป็นความรู้สึกอย่างไร! (2)

เอ๋าปิงชำเลืองตามองเสิ่นเทียน “เจ้าหนูนี่รู้ทั้งรู้ว่าอัดเจ้านั่นได้ ไฉนถึงไม่ยอมลงมือเลย”

เสิ่นเทียนยิ้ม “กลมเกลียวกันไว้ดีกว่า พี่สาวปิงใช้ศักดิ์ให้เขาเรียกข้าว่าท่านปู่น้อย หากข้าทุบตีเขาจะไม่เท่ากับผู้ใหญ่รังแกเด็กหรือ”

เอ๋าปิงมองบน มีความรู้สึกหลากหลาย

ใช่ เสิ่นเทียนก็ไม่รู้เหมือนกันว่านางใช้ร่างอายุราวห้าหกขวบมองบนด้วยอารมณ์ความรู้สึกหลากหลายเช่นนี้ได้อย่างไร

ได้แต่บอกว่าในร่างหญิงมังกรตัวนี้อาจจะซ่อนสายเลือดของจิ้งจอกเก้าหางเอาไว้กระมัง!

เอ๋าปิงก้าวขึ้นรถสงครามมังกรดำช้าๆ ทำการตรวจสอบเล็กน้อย “ถึงจะโกโรโกโสไปบ้าง แต่ก็ใช้ได้ชั่วคราว ให้เจ้าแล้วกัน!

ภายภาคหน้าเจ้าตามข้าไปเกาะมังกรดำเมื่อไร จะให้เจ้าเด็กเอ๋าเหลยเปลี่ยนสัตว์ขี่ที่ดีกว่านี้ให้เจ้า บุรุษที่ทำสัญญาเทพมังกรกับข้า ย่อมไม่ต้องน้อยเนื้อต่ำใจอยู่แล้ว มา ขึ้นรถเถอะ! ข้าจะพาเจ้าไปขี่รถเล่น~”

เมื่อเห็นเอ๋าปิงที่มีส่วนสูงเพียงเมตรยี่สิบ แต่กลับวางมาดอาวุโสชั่วร้าย เสิ่นเทียนมุมปากกระตุกอย่างบ้าคลั่ง

ความรู้สึกแบบ ‘ท่านป้า ข้าไม่อยากพยายามแล้ว’ อันรุนแรงนี่มาจากที่ใดกัน

เจ้าคิดว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างข้าจะละวางการประพฤติตัวลงเพียงเพราะรถสงครามมังกรดำนี่ดูเท่มากอย่างนั้นหรือ

หึ เจ้าเดาถูกแล้ว!

ไม่มีบุรุษคนใดทนกับความเย้ายวนของรถได้!

เสิ่นเทียนเดินมาหน้ารถสงครามมังกรดำ ลูบมังกรดำตัวใหญ่หลายตัวนั้นเบาๆ

แม้เสิ่นเทียนจะมั่นใจว่าด้วยศักยภาพของเขา จะสับมังกรดำพวกนี้ได้ไม่ยาก

แต่สับก็ส่วนสับ การกำราบให้มังกรดำหกตัวลากรถได้ ความรู้สึกที่ได้โอ้อวดและพึงพอใจรุนแรงถึงตาย ทำให้คนเฝ้ารอคอยกันอย่างยิ่ง

ดังนั้นใต้ยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์ จางอวิ๋นซีจึงมองศิษย์น้องของตนขึ้นรถปีศาจน้อยเผ่ามังกรนั้นไป

กรรซ์~

มังกรน้ำหกตัวเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า ขี่เมฆหมอกบินขึ้นสวรรค์เก้าชั้น เสิ่นเทียนนั่งอยู่บนรถ เมื่อมังกรน้ำเร่งความเร็วขึ้นยังรู้สึกหลังติดเบาะอย่างชัดเจน มีความสุขขึ้นฟ้าไปแล้ว

เวลานี้ ในที่สุดเสิ่นเทียนก็ได้สัมผัสแล้วว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์และโอรสสวรรค์พวกนั้นขี่สมบัติเหาะเหินกันได้เห็นๆ แต่เหตุใดถึงต้องนั่งรถสงคราม

ความรู้สึกสนุกของรถวิ่งเช่นนี้ การขี่กระบี่เหาะเหินเทียบไม่ได้เลย

เสิ่นเทียนยื่นมือไปคลำเมฆข้างกาย มองเอ๋าปิงด้านข้างด้วยหางตา

ไม่รู้ว่านักรบมังกรที่แท้จริงจะรู้สึกอย่างไร ขี่เร็วเกินไปคงไม่รถคว่ำหรอกกระมัง

หรือว่าสองเขานั่นจะใช้ควบคุมเสถียรภาพ? หรือว่านั่นคือพวงมาลัยคอยควบคุมทิศทาง?

เสิ่นเทียนกำลังใจลอย!

ทันใดนั้น เสียงเอ๋าปิงดังขึ้นข้างหูเบาๆ “เจ้าจ้องข้าเช่นนี้คิดอะไรอยู่!”

เสิ่นเทียนตอบตามสัญชาตญาณ “ข้ากำลังคิดว่าถ้าขี่บนตัวท่านจะรู้สึกอย่างไร…”

ยังพูดไม่จบ เสิ่นเทียนก็ได้สติกลับมา เหงื่อเย็นๆ ซึมตรงหน้าผากหยดหนึ่ง

แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายเขาคือ เอ๋าปิงไม่ได้โมโห เพียงแค่จ้องเสิ่นเทียนตาเขม็ง “เจ้าอยากลองดูหรือไม่”

เมื่อสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิในอากาศที่เหมือนจะลดลง สัญชาตญาณเอาชีวิตรอดของเสิ่นเทียนก็ทำงานทันที “ไม่อยาก ไม่อยากเลยสักนิด!”

ไม่อยากหรือ ทั้งยังไม่อยากเลยสักนิดอีก

กรรซ์~!

เสียงคำรามมังกรดำดังขึ้นบนรถสงคราม “กล้าหยามข้า จงดู!”

กรงเล็บมังกรสวรรค์!

ลมหายใจมังกรชาด!

แส้มังกรเฉือนกาย!

ค้อนเหมันต์ลี้ลับ!

……

พลังมหาศาลหมุนม้วนไปแปดทิศบนฟ้าเก้าชั้น

ทุกชั้นเมฆสลายไปในการต่อสู้อันดุเดือด ฟ้าครามหมื่นลี้ไร้เมฆ

รถสงครามมังกรดำสั่นไหวอย่างรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดรอยร้าวขึ้น

นั่นคือรถสงครามที่สร้างขึ้นจากทองคำวิญญาณระดับสูง แม้แต่จุดสูงสุดดวงจิตดรุณโจมตีสุดกำลังยังไม่ทำให้เสียหายแม้แต่นิด

เกรงว่าคงจะมีเพียงผู้แข็งแกร่งระดับหลอมรวมเทพที่ทำลายรถสงครามนี้ได้ง่ายๆ แต่ตอนนี้กลับถูกคลื่นกระแทกจากการทะเลาะกันของเสิ่นเทียนกับเอ๋าปิงแตกเป็นรอยร้าว

หากคนอื่นเห็นภาพนี้เกรงว่าคงจะตกใจคางร่วง

ปัง!

เอ๋าปิงถูกเถากลืนกินเซียนมัดเอาไว้แน่น สองมือยังถูกเสิ่นเทียนจับไขว้กันไว้ข้างหน้า ถูกกดบนรถสงครามทั้งตัว

เสิ่นเทียนจนปัญญามาก ถึงจะรู้ดีว่าเจ้าทุกข์คนนี้เป็นปีศาจแก่หมื่นปี แต่ใบหน้าเยาว์วัยสูงเมตรยี่สิบนั้นก็ทำให้เขาเกิดความรู้สึกผิดที่รังแกสาวน้อยโลลิเช่นนี้

“ปล่อยข้า ปล่อยข้า! ไม่อย่างนั้นหากข้าฟื้นพลังกลับมา ข้าจะข่วนเจ้าให้ตาย!”

เอ๋าปิงดิ้นรนสุดกำลัง แต่นางก็ต้องพบเรื่องจนปัญญาคือ ตนมีสายเลือดมังกรดำระดับเก้า แต่กลับพ่ายแพ้เสิ่นเทียนในด้านพละกำลัง

บัดซบ บุรุษผู้นี้คิดจะทำอะไรกันแน่!

คิดจะข่มขู่ข้า พิสูจน์ว่าพรสวรรค์แกร่งกว่าข้ารึ

ได้ยินว่ามีเผ่ามนุษย์วิปริตบางคนเมื่อกำราบปีศาจได้แล้วจะใช้แส้ฟาดก้นปีศาจ

หรือข้ามองคนผิดไป เจ้านี่ที่มีใบหน้าสง่าผ่าเผย แท้จริงแล้วชั่วร้ายอย่างยิ่ง คิดจะปราบข้ารึ

ท่าทางที่ถูกกำราบอย่างสมบูรณ์นี้ทำให้เอ๋าปิงเกิดความอัปยศในใจอย่างยิ่ง

แม้แต่หมื่นปีก่อนในกลียุคที่มีโอกาสสวรรค์ดั่งเมฆนั้น นางก็ไม่เคยถูกกำราบเช่นนี้มาก่อน แทบจะไร้พ่ายในระดับพลังเดียวกัน

ต่อให้เป็นการต่อสู้กับศัตรูเก่าราชินีหงส์อมตะ เอ๋าปิงก็ยังสูสี ระหว่างสองฝ่ายเสมอภาคกัน

ทว่าเสิ่นเทียนมีระดับพลังแค่กายทองเจ็ดรอบ ในระดับบางอย่างยังเทียบเอ๋าปิงไม่ได้ ทว่าการต่อสู้ของสองคนกลับจบลงที่เอ๋าปิงถูกกำราบอย่างสมบูรณ์

นี่ทำให้นางที่เป็นความภูมิใจของเผ่ามังกรยากจะยอมรับได้!

เผ่ามังกรเคารพผู้แข็งแกร่ง แต่ไม่ว่าอย่างไรเอ๋าปิงก็เป็นองค์หญิงเผ่ามังกร!

หากโดนนักรบมังกรใช้แส้เฆี่ยนตีจริงๆ นั่นน่าอับอายยิ่งนัก เขาจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร

ตลอดหมื่นปีมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เอ๋าปิงสงสัยในชีวิตมังกรอย่างลึกซึ้ง

……

แต่ความจริงก็พิสูจน์แล้วว่าเอ๋าปิงเป็นโรคเพ้อเจ้อกลัวถูกข่มเหง

เสิ่นเทียนมัดสองขากับสองมือนางแล้ว ก็แค่นั่งมองนางอยู่ข้างๆ เงียบๆ

ใบหน้ามีความลำบากใจ เสิ่นเทียนพูดอย่างจำใจ “พี่สาวปิง ข้าสำนึกผิดแล้วจริงๆ ท่านให้อภัยข้าเถอะ!”

เอ๋าปิงงุนงง

เจ้ามัดข้าอย่างกับบ๊ะจ่างแล้วให้ข้าให้อภัยเจ้าหรือ

อีกทั้งเจ้ายังรู้สำนึกผิด เจ้ารู้ว่าเจ้าผิดที่ใดรึ รู้ว่าข้าโกรธเรื่องนั้นรึ

อะไรคือ ‘เจ้าไม่อยาก ไม่อยากเลยสักนิด’ นักรบมังกรไม่ควรจะขี่มังกรหรือ

เจ้าบอกว่าไม่อยากลอง เท่ากับดูถูกข้าหรือไม่ หรือข้าไม่คู่ควรให้ขี่กัน

ในยอดสูงสุดเมฆสวรรค์เก้าชั้น มังกรน้ำหกตัวยังคงบินอยู่บนฟ้า

ไม่มีใครรู้ว่า องค์หญิงเอ๋าปิงแห่งทะเลเหนือที่เมื่อครู่ยังวางอำนาจไล่ฉีเซ่าเสวียนไป ตอนนี้กำลังเป็นบ้าไม่หาย

…….

อีกด้านหนึ่ง ในลานบ้านลับแห่งหนึ่งในเมืองศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์

ฉีเซ่าเสวียนนั่งยองหน้าประตูอย่างซึมเซา ตัวเขาดูเหมือนกับหัวไชเท้าไร้เรี่ยวแรง

การเดินทางมาแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ครั้งนี้ทำให้เขาพบกับความพ่ายแพ้ครั้งที่ใหญ่ที่สุด จิตใจแห่งมรรคถูกคลุมอยู่ในความขมุกขมัว

เฉินจงเทียนกับเอ๋าอูข้างกายเขามองหน้ากัน ไม่รู้ว่าควรจะโน้มน้าวอย่างไร เพราะพี่ใหญ่อนาถามากจริงๆ

เฉินจงเทียนมองฉีเซ่าเสวียนด้วยความเห็นใจ สารภาพตามตรง เขาพอจะเข้าใจความคับอกคับใจของฉีเซ่าเสวียน เพราะเขาก็เคยโดนเสิ่นเทียนทำแบบนี้มาก่อน

บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์มีพิษร้าย!

ตอนนั้นเพราะเขาไปเจอเสิ่นเทียน ถึงถูกกระทบกระเทือนจนดวงจิตดรุณแตก

ตอนนี้เห็นสภาพฉีเซ่าเสวียน เฉินจงเทียนรู้สึกรางๆ ว่าเหมือนเขาจะเคยเห็นภาพแบบนี้มาก่อน

“จงเทียน เจ้าว่าข้ามาแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ครั้งนี้เป็นการเลือกที่ผิดหรือไม่ นะ…น่าอายชะมัด!”

ฉีเซ่าเสวียนเอ่ยช้าๆ คิ้วกระบี่ดวงตาดาราก็ถือว่าเป็นใบหน้าที่หล่อเหลายิ่ง ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความ ‘ท้อแท้’ ไม่มีความฮึกเหิมอีก

ช่วยไม่ได้ เขาเดินบนเส้นทางไร้พ่าย

เส้นทางไร้พ่ายที่ว่าก็คือเชื่อมั่นว่าจะกวาดล้างคนรุ่นเดียวกัน ยุคเดียวกัน มีข้าอยู่ก็จะไร้พ่าย

ทว่าเขาเดินทางมาแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ครั้งนี้ อันดับแรกโดนฟางฉางระเบิดตับขวางเอาไว้ ถูกฟางฉางกับจางอวิ๋นซีร่วมมือกันกดดัน

จากนั้นก็ถูกปีศาจแก่เผ่ามังกรเอ๋าปิงใช้ระดับพลังเดียวกันตบเขาฝ่ามือเดียวกระเด็นไป พบอุปสรรคติดต่อกัน ทำให้พลังไร้พ่ายสลายความแหลมคมออกไปนานแล้ว

ต่อมา ปัญหาการแบ่งรุ่นอาวุโสได้จู่โจมฉีเซ่าเสวียนถึงตาย

บุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงผู้ยิ่งใหญ่ สุดยอดโอรสสวรรค์อันดับหนึ่งในรายนามแก่นพลังทอง ต่ำกว่าคนอื่นรุ่นเดียวยังรับไม่ได้ จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงต่ำกว่าสองรุ่น

เมื่อนึกได้ว่ากลุ่มข่าวกรองไร้มโนธรรมแห่งดินแดนบูรพาพวกนั้นจะแต่งเสริมปรุงแต่งเรื่องนี้และประกาศกับทุกคนอย่างไร ฉีเซ่าเสวียนก็รู้สึกขนลุกขึ้นมา

พอเห็นพี่ใหญ่พ่ายแพ้เช่นนี้ เฉินจงเทียนก็รู้สึกแย่ในใจเช่นกัน

ถึงเขาจะติดตามฉีเซ่าเสวียนด้วยเหตุผลหลักๆ เพราะ ‘สหายข้าฉีเซ่าเสวียนมีคุณสมบัติแห่งมหาจักรพรรดิ’

แต่ฉีเซ่าเสวียนก็ดูแลเฉินจงเทียนอย่างหาข้อติไม่ได้จริงๆ ตอนที่เฉินจงเทียนธาตุไฟเข้าแทรกแก่นพลังทองแตก ก็ได้มอบของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพานมาช่วยไว้จำนวนมากอย่างไม่ขี้เหนียว

กระทั่งคัมภีร์จักรพรรดินิพพานอมตะ ฉีเซ่าเสวียนยังถ่ายทอดให้เฉินจงเทียนส่วนหนึ่ง นับว่าเป็นน้ำใจงามคุณธรรมยิ่งใหญ่จริงๆ

เฉินจงเทียนคิดๆ แล้วก็พูดขึ้น “ศิษย์พี่ ความจริงท่านไม่ต้องรู้สึกขายหน้าเลย นะ…นี่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย ท่านลองคิดดูสิ ถึงท่านจะเคยลั่นวาจาไว้ว่าจะเอาชนะสี่อัจฉริยะเทพสวรรค์ด้วยตัวคนเดียว

แต่ก็ยังไม่ได้สู้ไม่ใช่รึ! ท่านแค่สู้กับสามอัจฉริยะเท่านั้นเอง อีกทั้งพวกเขาสามคนร่วมมือกันก็อาจจะเอาชนะท่านไม่ได้ นี่มากพอจะยืนยันความแกร่งของท่านแล้ว

ส่วนเรื่องการแบ่งรุ่น หากยัยหนูมังกรนั่นเป็นองค์หญิงเอ๋าปิงแห่งเกาะมังกรดำเมื่อหมื่นปีก่อนจริงๆ ก็ไม่ได้น่าขายหน้าอะไร ถึงอย่างไรในบันทึกคัมภีร์โบราณก็บอกว่าเอ๋าปิงมีสายเลือดมังกรดำระดับเก้าที่สูงสุดของเผ่ามังกรดำ มองไปทั้งห้าดินแดนตลอดหมื่นปีมานี้ มีอัจฉริยะที่เทียบเท่ากับนางนับนิ้วได้เลย

ศิษย์พี่เซ่าเสวียนเพิ่งจะอายุยี่สิบกว่า แต่ปีศาจแก่นั่นเมื่อหมื่นปีก่อนก็อายุหลายพันปีแล้ว ประสบการณ์การต่อสู้มากกว่าท่านก็เป็นเรื่องปกติมาก ศิษย์พี่ประมือกับปีศาจแก่เอ๋าปิงนั่นได้กระบวนท่าหนึ่งไม่ตกเป็นรอง นี่ก็มากพอจะภาคภูมิในทั้งห้าดินแดนแล้ว”

ฉีเซ่าเสวียนพูดอย่างจนปัญญา “แต่บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ทำสัญญาเทพมังกรกับเอ๋าปิง ตามการแบ่งรุ่นแล้วเขา…”

เฉินจงเทียนพูดปลอบใจ “ศิษย์พี่เซ่าเสวียน ยังไม่แน่นอนเลยว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ทำสัญญาเทพมังกรกับเอ๋าปิงหรือไม่ ต่อให้ทำสัญญาจริงแล้วจะเป็นอย่างไร

โลกบำเพ็ญเซียนมองผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์มีระดับพลังแค่แก่นพลังทองเท่านั้น จะไปคู่ควรกับฐานะของเอ๋าปิงได้อย่างไร ภายภาคหน้าเมื่อเขาไปเกาะมังกรดำ ผู้สูงศักดิ์สวรรค์พวกนั้นกระทั่งมังกรดำระดับอริยะจะยอมก้มหัวแสดงความเคารพเขารึ

เกรงว่าอีกไม่นาน ผู้อาวุโสเผ่ามังกรจะต้องเพิกถอนฐานะพันธมิตรเผ่ามังกรของเขาแน่ ถึงตอนนั้นการแบ่งรุ่นอะไรนี่ก็แค่ภาพลวงตาเท่านั้น”

………

ฉีเซ่าเสวียนคุร่นคิด “แต่ไม่ว่าอย่างไร การมาแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ครั้งนี้ ข้าก็ขายหน้าอยู่ดี”

เฉินจงเทียนพิจารณาคร่าวๆ “ความจริงหากศิษย์พี่เซ่าเสวียนอยากจะลบล้างผลกระทบที่เกิดจากเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด ก็ยังมีทางอยู่”

ฉีเซ่าเสวียนตาเป็นประกาย “เล่ามาให้ละเอียดเลย”

เฉินจงเทียนมองหอคอยเทพสงครามที่เปล่งแสงสีม่วงอยู่ไกลๆ พลางพูดขึ้น “ตอนนี้สิ่งที่โดดเด่นที่สุดทั้งดินแดนบูรพาก็คือหอคอยเทพสงคราม โอรสสวรรค์ที่มีชื่อเสียงทุกคนหวังจะผ่านด่านในหอคอยเทพสงครามไปให้ไกลขึ้นกว่าเดิม อยากจะติดอันดับในรายนามดาวเด่นเทพสงคราม กระทั่งรายนามรวมเทพสงคราม

ก่อนหน้านี้แซ่เฉินได้เคยตั้งใจไปสำรวจรายนามดาวเด่นเทพสงครามกับรายนามรวมเทพสงครามมาแล้ว อันดับหนึ่งในรายนามดาวเด่นคือข่งเมิ่ง ธิดาสวรรค์อันดับหนึ่งของดินแดนทักษิณ

นางอยู่ระดับธิดาสวรรค์ห้าดาว อยู่อันดับหกในรายนามรวมเทพสงคราม กระทั่งยังเหนือกว่าเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ในตอนนั้น และอันดับสองในรายนามดาวเด่นก็คือฟางฉางแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ อยู่อันดับที่สิบสามในรายนามรวม”

ฉีเซ่าเสวียนอึ้งไป “แล้วบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เสิ่นเทียนล่ะ! เขาอยู่อันดับเท่าไร”

เฉินจงเทียนหัวเราะเยาะ “บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เสิ่นเทียนไม่มีนามในรายนามเทพสงคราม เล่าลือว่าไม่อยากให้ผู้ฝึกฝนคนอื่นถูกกระทบกระเทือนจิตใจ

แต่ข้าว่านะ ก็แค่ศิษย์ของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ยกยอปอปั้นบุตรศักดิ์สิทธิ์ตัวเอง แสร้งให้ดูลึกลับเท่านั้น!

อันดับหนึ่งรายนามดาวเด่นของหอคอยเทพสงครามดินแดนบูรพากลับเป็นธิดาสวรรค์ของดินแดนทักษิณ ช่างน่าขายหน้าจริงๆ

หากศิษย์พี่เซ่าเสวียนบุกฝ่าหอคอยเทพสงคราม ขึ้นไปบนบัลลังก์โอรสสวรรค์หกดาว ชิงอันดับหนึ่งของรายนามดาวเด่นมาได้ ใช้ฐานะโอรสสวรรค์หกดาวคนที่สองตั้งแต่โบราณกาลมาของท่าน ผนวกกับแดนศักดิ์สิทธิ์ดาวเหนือและแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงช่วยกันป่าวประกาศอีก เห็นทีก็คงมากพอจะสั่นคลอนห้าดินแดนได้

ถึงตอนนั้น ปัญหาการแบ่งรุ่นของเจ้ามังกรดำน้อยเรื่องเล็กๆ ก็จะไม่มีใครมาสนใจอีก”

มีเหตุผล!

เมื่อได้ฟังคำพูดของเฉินจงเทียน ฉีเซ่าเสวียนพลันปลอดโปร่งขึ้นมา “จงเทียนเอ๋ยจงเทียน เมื่อก่อนไฉนถึงมองไม่ออกว่าเจ้าฉลาดเช่นนี้กัน”

เฉินจงเทียนยิ้ม “ข้าเติบใหญ่จากความพ่ายแพ้ ธาตุไฟเข้าแทรกครั้งนั้นสอนอะไรข้าหลายอย่าง ศิษย์พี่เซ่าเสวียน เพื่อขยายผลที่ท่านท้าประลองในหอคอยเทพสงครามไปให้กว้างมากที่สุด ข้าขอเสนอให้ท่านถ่ายทอดสด”

ฉีเซ่าเสวียนอึ้งไปเล็กน้อย “ถ่ายทอดสดหรือ หมายความว่าอย่างไร”

เฉินจงเทียนยิ้ม “ศิษย์พี่ไม่รู้หรอก การถ่ายทอดสดที่ว่านี่คือให้คนอื่นชมการต่อสู้ของท่านด้วย ท่านท้าประลองกับโอรสสวรรค์ห้าดาวได้หลายครั้งในหอคอยเทพสงคราม ยิ่งแสดงออกว่าดูสบายมากเท่าไร ก็ยิ่งได้รับความสนใจมากเท่านั้น

จนเมื่อโอกาสสุกงอม ศิษย์พี่เซ่าเสวียนก็ท้าประลองกับโอรสสวรรค์หกดาวทีเดียว ทำให้ผู้ชมทุกคนตกใจ”

ฉีเซ่าเสวียนนึกถึงภาพนั้นในใจแล้ว ดวงตาก็ค่อยๆ สว่างวาบขึ้นมา

จิตต่อสู้ที่เดิมทีหายไปกลับมาในตัวเขาอีกครั้ง พุ่งทะยานขึ้นถึงจุดสูงสุด!

…….

หลังจากปรับลมหายใจง่ายๆ รอบหนึ่งแล้ว ฉีเซ่าเสวียนก็ฟื้นสภาพกลับมาสมบูรณ์ที่สุด

จากนั้นเขาเปลี่ยนชุดและสวมหน้ากาก พุ่งทะยานไปยังหอคอยเทพสงครามอย่างรวดเร็ว

ฉีเซ่าเสวียนยังไม่คิดจะมาถึงก็ถ่ายทอดสดเลย เพราะตอนนี้เขาเศร้าอยู่ อยากจะระบายออกก่อน

เขาหลบพวกผู้ชมที่ ‘ซุบซิบนินทา’ พวกนั้น ก่อนจะเดินเข้าหอคอยเทพสงครามด้วยใบหน้าอยากจะร้องไห้

ไม่นานเขาก็มาปรากฏกลางมิติสีม่วง เสียงสตรีอ่อนโยนดังขึ้นรอบตัว

“บุตรศักดิ์สิทธิ์หนุ่มเอ๋ย ยินดีต้อนรับสู่เวทีประลองเทพสงคราม”

………………………………………