บทที่ 81 ร่วมเตียงเคียงหมอน

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

บทที่ 81 ร่วมเตียงเคียงหมอน

 

ประตูถูกผลักเข้ามาเงียบๆ ติ่งหูของหนานกงเย่กระตุก เขาเอียงสายตาพร้อมกับกะพริบเบาๆ ฉีเฟยอวิ๋นก็กะพริบตาเช่นกัน

พวกเขากลั้นลมหายใจคำนวณจำนวนผู้ที่แอบย่องเข้ามา

หลังผู้ร้ายปิดประตูก็เริ่มทำการค้นหา หนึ่งในนั้นเอ่ยว่า “ทำไมไม่มีคนล่ะ?”

“อืม ไม่มีคราบน้ำบนพื้น คงไม่อยู่แล้วละ” อีกคนหนึ่งเอ่ย

“เป็นไปไม่ได้ ได้รับข่าวมาว่าอยู่ที่นี่แหละ”

หนานกงเย่คำนวณผู้มาเยือนได้ทั้งหมดหกคน

หนานกงเย่ถอดอาภรณ์ไปคลุมบนตัวฉีเฟยอวิ๋น ก่อนจะผูกเสื้อให้ฉีเฟยอวิ๋น และถือโอกาสหยิบอาภรณ์ที่แขวนอยู่บนฉากกั้นมาคลุมให้ฉีเฟยอวิ๋นด้วย ทุกท่วงท่าล้วนเร็วไวมาก ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกตกตะลึง

คนกลุ่มนี้รับรู้ว่าด้านหลังฉากกั้นมีคนอยู่ทันที ต่างพุ่งไปด้านหลังฉากกั้นพร้อมกัน ชั่วพริบตาเดียวหนานกงเย่ก็ถีบคนหนึ่งลอยกระเด็นไป ก่อนจะกล่าวด้วยความฉุนเฉียวว่า “ทหาร”

หกคนนี้พอเห็นหนานกงเย่ก็ไม่กล้าต่อสู้ เตรียมพร้อมที่จะเผ่นหนี

หนานกงเย่สะบัดเท้า เก้าอี้ตัวหนึ่งก็ลอยออกไปกระแทกใส่ร่างอีกฝ่าย ขาเก้าอี้ที่ทำจากท่อนไม้แทงทะลุเข้าสันหลังอีกฝ่าย จึงทำให้สิ้นชีพทันที ส่วนอีกสี่คนวิ่งกระเจิงมาถึงลานบ้าน เตรียมจะหนีออกไป ทังเหอที่นำกำลังพลดักซุ่มอยู่ล่วงหน้า เมื่อเห็นคนออกมาก็รีบสั่งการ ลูกธนูพลันทะยานสู่กลางอากาศอย่างพร้อมเพรียงกัน

และแล้วสี่คนนี้ก็ต้องจบชีวิตไว้ที่นี่ เหลือเพียงคนที่โดนถีบในห้องคนเดียว

หนานกงเย่เดินไปตรงหน้าคนผู้นี้ คิดจะลงมือ ทว่าคนผู้นี้กลับกัดลิ้นฆ่าตัวตาย บริเวณปากมีฟอกสีดำเหนียวข้นไหลทะลักออกมา

ฉีเฟยอวิ๋นเห็นว่าสิ้นลมหายใจแล้วก็รีบวิ่งขึ้นบนเตียง ก่อนจะใช้ผ้านวมห่อหุ้มตัวเองให้มิดชิด

หนานกงเย่หันหน้ากลับไปก็เห็นนางใช้เท้าเล็กทั้งสองข้างวิ่งขึ้นเตียงอย่างรวดเร็วและไม่อิดออด พอมองอีกทีเธอก็มุดอยู่ใต้ผ้านวม กระทั่งศีรษะก็ไม่อาจมองเห็น

หนานกงเย่กระดกมุมปากขึ้น วิ่งไปหาด้วยความว่องไว

ทังเหอวิ่งมาอยู่หน้าประตูอย่างรีบร้อน พลางถามว่า “ท่านอ๋องมีอะไรหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

“เข้ามาเถอะ”

หนานกงเย่มองฉีเฟยอวิ๋นที่อยู่บนเตียงปราดหนึ่ง จากนั้นเดินไปด้านหลัง พลางหมุนตัวนั่งลงด้วยท่าทีสง่างามดุจเดิม

ทังเหอเข้ามาก็เห็นมีผู้เสียชีวิตอยู่บนพื้นสองคน พลางโบกมือ “ยกออกไป”

หลังปิดประตูห้อง ทังเหอสั่งให้ลูกน้องเฝ้าอยู่หน้าประตู เผื่อจะมีผู้ร้ายมาอีก

ฉีเฟยอวิ๋นได้ยินคนออกไปกันหมดแล้ว จึงจะโผล่ออกจากผ้านวม ซึ่งตอนนี้อารมณ์ของนางไม่สู้ดีนัก

ตอนที่คนกลุ่มนี้บุกเข้ามา นางถูกหนานกงเย่ดึงออกจากน้ำ เขาจึงเห็นสรีระของนางจนหมด ถึงแม้ก่อนหน้านี้ก็เคยถูกมองมาแล้ว ทว่าฉีเฟยอวิ๋นก็ยังคงรู้สึกหดหู่ใจอย่างยิ่งยวด

เขามองนางไม่เพียงแค่ครั้งเดียว แต่นางกลับไม่เคยมองเขาสักครั้งเลย

ใจคอห่อเหี่ยวจริงแท้

หนานกงเย่ถาม “เอาเสื้อหรือ?”

“เสื้อเปื้อนหมดแล้ว ท่านไปเอากระเป๋าของข้ามาจากทางโน้นที”

หนานกงเย่ทำตามคำเรียกร้อง หยิบกระเป๋าส่งให้ฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นเอาเสื้อออกมาพลางกล่าวว่า “ท่านหันไปก่อน”

หนานกงเย่หันกาย นั่งบนเตียงโดยหันหลังให้ฉีเฟยอวิ๋น

ฉีเฟยอวิ๋นสวมเสื้ออย่างรวดเร็ว เสร็จแล้วก็ลุกลงจากเตียง

หนานกงเย่มองนาง “ไม่ใช่ไม่เคยเห็นซะหน่อย”

“ไม่เหมือนกัน”

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกสลดใจ นี่ไม่ใช่ได้เปรียบแล้วทำหน้าซื่อเหรอ

หลังลงจากเตียง ฉีเฟยอวิ๋นก็เดินออกไป หนานกงเย่เห็นเท้าของนางคล่องแคล่วยิ่งนัก จึงไม่ได้ห้าม ทั้งสองออกไปพร้อมกัน แล้วเห็นอาอวี่ยืนอยู่ด้านนอก อาอวี่เห็นทั้งสอง พลางคารวะ “ท่านอ๋อง พระชายา”

“ตายหรือยัง?” หนานกงเย่ถาม

“ตายแล้วพ่ะย่ะค่ะ คุณชายทังกำลังตรวจสอบอยู่ พวกนี้เป็นคนแปลกหน้าพ่ะย่ะค่ะ ทั้งยังเป็นคนยุทธภพอีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ” อาอวี่รายงานตามความเป็นจริง

หนานกงเย่หันกายเดินไปยังทิศทางหนึ่ง ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามไปด้วย พอไปถึงทั้งคู่พลันหยุดก้าวเท้า บนพื้นมีศพวางไว้หลายศพ ซึ่งล้วนแต่สวมใส่ชุดดำ และผ้าคลุมหน้าถูกดึงลงแล้ว

ฉีเฟยอวิ๋นเห็นใบหน้าศพดำอมม่วง พลางก้มตัวลงไปสำรวจ

“พวกเขาตายเพราะยาพิษ ก่อนหน้านี้ร่างกายดคยได้รับบาดเจ็บมาแล้ว ดูเหมือนพวกเขาทำใจไว้แล้วว่าจะไม่รอด คนจ้างช่างโหดร้ายยิ่งนัก ไม่ว่าภารกิจนี้จะบรรลุหรือเปล่า แต่ก็ไม่มีทางไว้ชีวิตเด็ดขาด” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวจบพลันเดินกลับไปหาหนานกงเย่

“จัดการให้เรียบร้อย”

หนานกงเย่หันกายกลับไปที่ห้องของฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นก็ตามเขาไปด้วย ถึงแม้จะเป็นห้องของนาง ทว่าคืนนี้พวกเขาต้องนอนพักผ่อนด้วยกัน ซึ่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ได้

เพราะหนานกงเย่อยู่ข้างกายจะปลอดภัยที่สุด ถึงแม้จะมีอันตราย นางก็จะรอด

ฉีเฟยอวิ๋นปูผ้าปูที่นอนอย่างสมัครใจ ห้องตรงข้ามมีคนเสียชีวิต เลยมีคราบสกปรก จึงต้องพักที่นี่

เรือนสวนดอกกล้วยไม้มีห้องนอนที่สะอาดสะอ้านและสะดวกสบายอยู่สองห้อง นั่นก็คือห้องของนางกับห้องของหนานกงเย่ ซึ่งห้องของหนานกงเย่นอนพักไม่ได้แล้ว เช่นนั้นจึงต้องพักที่ห้องของนาง

“ข้านอนด้านใน ท่านนอนด้านนอก หากท่านจะอาบน้ำ ข้าก็จะไม่มอง”

ฉีเฟยอวิ๋นอยากอยู่ติดหนานกงเย่ไว้ เพราะรู้สึกว่าคนร้ายจะมาได้ทุกเมื่อ

ศีรษะของนางราวกับแขวนอยู่บนที่คาดเอว สามารถถูกคนแกะออกทุกเมื่อ

หนานกงเย่สั่งให้ลูกน้องตระเตรียมถังอาบน้ำ เขาคิดจะอาบน้ำจริงๆ

ฉีเฟยอวิ๋นแค่พูดไปงั้นๆ ไม่คิดว่าหนานกงเย่จะอาบจริงๆ

นางถอดเสื้อคลุมกันหนาวออก ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียง พลางหลับตาพักผ่อน

เมื่อหนานกงเย่อาบน้ำ ฉีเฟยอวิ๋นก็หันหน้าเข้าหากำแพง ฉีเฟยอวิ๋นไม่ใส่ใจอะไร เพราะอย่างไรเสียก็มองไม่เห็นอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบุรุษเพศที่ไม่มีอะไรให้มองเลย

ตอนที่หนานกงเย่อาบน้ำ ฉีเฟยอวิ๋นเหนื่อยล้าเต็มทน หลังจากที่หนานกงเย่อาบน้ำอาบท่าเสร็จแล้วสวมใส่เสื้อ เขาก็เห็นฉีเฟยอวิ๋นพลิกตัวหนึ่งครั้งด้วยอิริยาบถที่หลับสนิท

เมื่อขึ้นมาบนเตียง เดิมทีหนานกงเย่คิดจะอ่านตำราสักหน่อย ทว่ามีฉีเฟยอวิ๋นอยู่ข้างกาย จึงไม่อาจสงบจิตสงบใจอ่านตำราได้

งั้นก็ไม่อ่านแล้วกัน เขาวางตำราลง ก่อนจะนอนลงโดยไม่ถอดเสื้อ

ทว่าระหว่างพวกเขาเว้นระยะห่างไว้ช่วงหนึ่ง

หลังหนานกงเย่รู้สึกประหลาดใจก็หมดคำจะพูด สตรีผู้นี้รังเกียจเดียดฉันท์เขาจริงๆ หลบไกลขนาดนั้นทำไมกัน?

หนานกงเย่เขยิบกายเล็กน้อย จากนั้นก็ดึงผ้านวมมาห่ม ฉีเฟยอวิ๋นหลับสบายเหลือเกิน ทว่าแผ่นหลังของนางมีช่องว่าง นางรู้สึกหนาว เลยเขยิบเข้าใกล้ผ้านวม ตอนแรกก็แค่เขยิบเล็กน้อย ต่อมาก็มุดเข้าไปอยู่ใต้ผ้านวมกันเลยทีเดียว

รู้สึกอุ่นตรงไหน มือของนางก็เอื้อมไปตรงนั้น

ร่างกายหนานกงเย่ขดเกร็ง ใบหน้าแดงก่ำ สตรีผู้นี้จับที่ใดกัน?

เขาเอามือนางไปวางด้านข้าง ชั่วประเดี๋ยวเดียว ฉีเฟยอวิ๋นก็เข้าใกล้อีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ยิ่งเลยเถิดกันใหญ่ นางแนบติดตัวหนานกงเย่ราวกับเป็นปลาหมึกยักษ์ก็ไม่ปาน เขาเป็นคนรูปร่างสูงโปร่งอยู่แล้ว โดนกอดเช่นนี้ก็เหมือนท่อนไม้ตรงๆไม่กล้ากระดุกกระดิก

ใบหน้าเล็กของสตรีผู้นี้หอมละมุน ส่งกลิ่นมาโชยจมูกเขาไม่หยุด

หนานกงเย่ไม่ได้นอนตลอดทั้งคืน รุ่งเช้า ฉีเฟยอวิ๋นตื่นขึ้นมาเห็นตัวเองกอดหนานกงเย่ไว้ก็รู้สึกประหลาดใจเหลือหลาย หนานกงเย่นอนข้างกายนางด้วยอาภรณ์ที่ยุ่งเหยิง และนางก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขาเลย ไม่เพียงแต่อาภรณ์เปิดออก ทั้งยังเนื้อชิดเนื้อกับหนานกงเย่อีกด้วย ทั้งสองจึงมีสภาพย่ำแย่พอๆกัน

ฉีเฟยอวิ๋นมองจนปวดศีรษะ ใส่อาภรณ์ด้วยความเร่งรีบ จากนั้นก็วิ่งออกไป

หลังฉีเฟยอวิ๋นออกไป หนานกงเย่จึงค่อยๆลืมตาขึ้น ประตูที่ปิดสนิทไม่เห็นอะไรแล้ว

พอเลยอาหารเช้า ฉีเฟยอวิ๋นจึงจะปรากฏตัว

หนานกงเย่เห็นนางเดินเข้ามา จึงถามว่า “กินหรือยัง?”

ฉีเฟยอวิ๋นทำตัวไม่ถูก นางอยากหาที่กินอาหารเช้าสักหน่อย ทว่ากฎระเบียบของจวนเข้มงวดมาก แม้แต่ข้าวเช้ายังต้องทำตามขั้นตอน ตามกฎเกณฑ์ของจวนเลย

ฉีเฟยอวิ๋นอยากกินข้าวก็ต้องทานร่วมกับหนานกงเย่ ก่อนหน้านี้ ถึงนางจะบอกอาอวี่ว่าหิวเช่นไร อาอวี่ก็ไม่ให้นางกิน อย่างไรเสียนางก็เป็นถึงพระชายาอ๋อง ต้องรักษาศักดิ์ศรีเข้าไว้ นางจึงไม่ทานมื้อเช้าของวันนี้

ยามนี้หนานกงเย่ถามนาง ฉีเฟยอวิ๋นเบนสายตาไปยังนักคำนวณ พลางกล่าวกับหนานกงเย่อย่างหน้าไม่แดง หัวใจไม่เต้นระรัว “หม่อมฉันทานแล้วเพคะ”

 

 

**********************