ตอนที่ 120 หนอนบ่อนไส้

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

“อาจารย์ซ่างกวนซวี่เรื่องที่เจ้าพานักเรียนออกไปหาประสบการณ์นอกโรงเรียน นอกจากคนในโรงเรียนแล้วก็ไม่มีผู้ใดทราบอีก และหากว่าอารามพาคนมาเฝ้ารอหรือดักซุ่มอยู่ด้านนอกเป็นเวลานานหลายวัน พวกเราหรือพวกเจ้าก็ควรจะรู้ตัวกันตั้งนานแล้ว ดังนั้นเรื่องนี้มีทางเดียวที่เป็นไปได้คือคนจากอารามรู้ว่าเจ้าจะพานักเรียนออกไป และพวกนั้นก็รู้แม้แต่วันและเวลาที่พวกเจ้าจะออกนอกโรงเรียนด้วย ถึงได้พาคนออกมาดักล้อมเช่นนั้น ไม่แน่ว่าพวกมันอาจจะรู้สถานที่ที่เจ้าจะไปเลยด้วยซ้ำ”

มู่อวิ๋นตั้งข้อสงสัย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขาต้องให้ความสำคัญ เพราะหากว่าข้อสันนิษฐานนี้เป็นเรื่องจริง นั่นแสดงว่ามีหนอนบ่อนไส้ในโรงเรียนราชสำนัก ซึ่งหนอนตัวนี้หากไม่ใช่คนในที่มีความแค้นกับฉินอวี้โม่ก็จะต้องเป็นสายลับที่อารามส่งเข้ามา

“ท่านอธิการหมายความว่าในโรงเรียนของเรามีไส้ศึกอย่างนั้นรึ ?”

ซ่างกวนซวี่ตอบสนองและเอ่ยปาก

ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ มองหน้ากัน พวกเขารู้สึกว่าข้อสังเกตของมู่อวิ๋นดูสมเหตุสมผลและมีความเป็นไปได้สูงมาก

“แต่ถึงอย่างไรก็ยังไม่มีหลักฐานชี้ชัด ข้าเองก็ไม่อาจตัดสินว่าเป็นดังนั้นจริงหรือไม่ นี่เป็นเพียงสิ่งที่ข้าคิดเท่านั้น”

มู่อวิ๋นพยักหน้า ก่อนจะส่ายศีรษะ เรื่องนี้เขายังไม่มั่นใจเต็มสิบส่วน ทว่าก็คิดว่ามีความเป็นไปได้กว่าแปดส่วนเลยทีเดียว หากไม่ใช่เพราะมีคนในโรงเรียนเปิดเผยข้อมูลให้ศัตรูล่วงรู้ก็ไม่น่าจะมีความเป็นไปได้อื่นอีกแล้ว

“เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นจีหย่ง ?”

เยว่ชิงเฉิงสันนิษฐาน จีหย่งมีเรื่องบาดหมางกับฉินอวี้โม่ ที่สำคัญในตอนที่เขาต่อสู้กับคนจากอารามอยู่ในป่าก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ใช้ฝีมือที่แท้จริง เรื่องนี้ทำให้นางเกิดความสงสัยในตัวบุรุษแซ่จีผู้นี้ขึ้น

“มีความเป็นไปได้ แต่ก็ยังไม่แน่ชัด”

ฉินอวี้โม่พยักหน้า นางเองก็รู้สึกว่าจีหย่งมีความเป็นไปได้มากที่สุดที่จะให้ความร่วมมือกับอารามเพื่อทำร้ายนาง แต่นางก็ยังไม่อยากปักใจเชื่อหรือกล่าวโทษสุ่มสี่สุ่มห้า

“เรื่องนี้เราจะต้องสืบสวนกันต่อไป ตอนนี้ยังไร้หลักฐาน ที่สำคัญโรงเรียนของเราก็ไม่ได้มีกฎห้ามไม่ให้คนจากอารามหรือขุมกำลังอื่นใดเข้ามาศึกษา ดังนั้นต่อให้จีหย่งเป็นคนของอารามจริง เราก็ทำอะไรเขาไม่ได้”

มู่อวิ๋นกล่าว นี่ถือเป็นช่องโหว่ในกฎของโรงเรียนและเป็นสิ่งที่ศัตรูอาจจะใช้ให้เป็นประโยชน์ได้

“ดังนั้นแล้วในเวลานี้ข้าขอให้พวกเจ้านิ่งเฉยไว้ก่อน อย่าด่วนตัดสินใจเอาผิดผู้ใด ให้ค่อย ๆ ช่วยกันสอดส่องจะเป็นประโยชน์มากกว่า”

“ขอรับ/เจ้าค่ะ ท่านอธิการ”

นักเรียนในห้องรับคำโดยพร้อมเพรียง

“ส่วนเรื่องของทางอาราม ทุกคนก็ไม่ต้องกังวล แม้ว่าโรงเรียนราชสำนักของเราจะดำรงตนอยู่ในความสงบและรังเกียจศึกสงคราม แต่ถ้าหากอารามต้องการเปิดศึกกับเราจริง ๆ พวกเราก็ไม่เคยเกรงกลัว และเมื่อถึงเวลานั้นอารามก็จะได้รู้เองว่าสถาบันผลิตบัณฑิตอันทรงคุณค่าแห่งนี้มีดีอย่างไร อันที่จริงข้าก็อยากจะเห็นอยู่เหมือนกันว่าขุมกำลังมากอำนาจนั่นจะเก่งกาจสักแค่ไหน”

มู่อวิ๋นกล่าวอย่างสบาย ๆ แต่ภายในน้ำเสียงกลับดูคล้ายมีความคาดหวังอยู่ลึก ๆ แท้จริงแล้วเขาเองก็อยากจะเห็นและรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของอารามด้วยตัวเอง หากอารามตั้งใจจะต่อกรกับโรงเรียนราชสำนักจริง ผู้เป็นอธิการแห่งโรงเรียนราชสำนักอย่างเขาก็ยินดีรับศึก

“ยิ่งกว่านั้นอารามและวิหารแห่งความมืดเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันเสมอมา แม้ว่าอารามอาจจะอยากเปิดศึกใหญ่แต่ก็คงจะทำได้ไม่ง่ายนัก เพราะพวกนั้นยังต้องคอยระวังวิหารแห่งความมืดในอีกด้านหนึ่งด้วย ดังนั้นพวกเราไม่ต้องกังวลมาก แค่ตั้งใจฝึกฝนตามปกติก็พอ”

มู่อวิ๋นกล่าวเสริม เขามั่นใจว่าในอนาคตอันใกล้นี้คงจะยังไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ของฝ่ายตรงข้าม

“ขอรับ/เจ้าค่ะ ท่านอธิการ”

ทุกคนในห้องพยักหน้ารับ

หลังจากการหารืออันแสนเคร่งเครียดจบลง นักเรียนรุ่นเยาว์ทั้งหลายก็เดินทางกลับไปยังหอพักเพื่อพักผ่อน เรื่องในวันนี้และสิ่งที่ได้รู้มานับว่าค่อนข้างหนักหนา เวลานี้ทั้งร่างกายและจิตใจของพวกเขากำลังอ่อนล้ามากทีเดียว

อีกด้านหนึ่ง กลุ่มบุรุษชุดดำจากอารามก็กลับไปถึงขุมกำลังของตนแล้วเช่นกัน

“ท่านผู้อาวุโสใหญ่ ภารกิจของเราล้มเหลว !”

ผู้เป็นหัวหน้าของกลุ่มรายงานผลลัพธ์ เขาถอดหน้ากากที่สวมใส่อยู่ออก ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากนั้นแท้จริงแล้วคือใบหน้าเรียบเนียนของชายหนุ่มรุ่นเยาว์ผู้หนึ่ง

“เกิดอะไรขึ้นกับแขนเจ้า ?!”

ผู้อาวุโสใหญ่แห่งอารามร้องถามเสียงสูง เมื่อเห็นว่าบุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาตรงหน้าสูญเสียแขนไปข้างหนึ่ง คิ้วเรียวของนางก็ขมวดเป็นปมแน่น

“มันถูกฉินอวี้โม่ตัดไปขอรับ !”

เมื่อได้ยินคำถามที่ชวนให้เจ็บปวดใจนั้น สีหน้าของบุรุษหล่อเหลาก็เปลี่ยนไป แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังในตัวสตรีผู้มีนามว่าฉินอวี้โม่

“ฉินอวี้โม่เป็นคนตัด นั่นแสดงว่านางแข็งแกร่งจนแม้แต่เจ้าก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางอย่างนั้นรึ ?”

สตรีผู้อาวุโสตกตะลึงไม่น้อย เรื่องนี้น่าประหลาดใจอย่างยิ่ง

ในคราแรกที่ทราบข่าวว่าผู้อาวุโสสองลิ่วรุ่ยถูกฉินอวี้โม่สังหารไป นางเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อ อย่างไรก็ตามคนของอารามที่หนีกลับมาได้ยืนยันว่าเห็นสตรีรุ่นเยาว์ผู้นั้นสังหารลิ่วรุ่ยกับตา

หากจะกล่าวอย่างสัตย์จริงเรื่องของลิ่วรุ่ยยังไม่น่าตกตะลึงเท่าตอนนี้ บุรุษเฒ่าผู้นั้นเป็นเพียงยอดฝีมือมายาบรรพชนหกดารา แต่เพราะอยู่ในอารามมานานมากเขาจึงมีอาวุโสสูง มีเส้นสายเครือข่ายที่ดี และมีอำนาจมากพอตัวจึงส่งผลให้เขาได้รับตำแหน่งเป็นถึงผู้อาวุโสสองที่คนในขุมกำลังต่างเคารพนับถือ

ทว่าบุรุษหนุ่มที่เพิ่งไปทำภารกิจกลับมาผู้นี้นับเป็นผู้มีพรสวรรค์สูงส่งอย่างยากจะหาคนเท่าเทียม อีกทั้งยังเป็นถึงยอดฝีมือมายาบรรพชนเก้าดารา แต่กลับยังพลาดท่าเสียทีให้ฉินอวี้โม่ได้ …สตรีตระกูลฉินผู้นั้นน่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้ว !

“ท่านผู้อาวุโสใหญ่ ฉินอวี้โม่เป็นเพียงจอมยุทธ์มายาบรรพชนหนึ่งดาราแต่ทักษะวิชายุทธ์ของนางกลับน่าหวั่นเกรงมาก นางมีวิชาที่สนับสนุนให้เคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วจนยากจะมองได้ทันและมันก็แปลกประหลาดน่าตกใจ แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นคือนภายุทธ์ของนาง มันทรงพลานุภาพมากเสียจนข้าเองก็ยังไม่อาจต้าน ในตอนที่กำลังจะถูกเพลิงนั่นกลืนกิน ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายมรณะที่คุกคามถึงชีวิต ข้าเกรงว่าหากฉินอวี้โม่พัฒนาไปมากกว่านี้ นางจะต้องกลายเป็นขวากหนามที่สำคัญของอารามเราแน่ !”

บุรุษผู้นั้นกล่าว เมื่อนึกถึงฉินอวี้โม่แววตาของเขาก็ไม่อาจจะปิดบังความเคียดแค้นได้เลย อย่างไรก็ตามเมื่อหวนนึกถึงเปลวเพลิงที่สตรีผู้นั้นใช้เขาก็รู้สึกขนหัวลุก เพลิงนั้นน่ากลัวเกินบรรยาย ตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับมัน เขารู้สึกถึงความน่าเกรงขามและแรงกดดันอันหนักหน่วงที่ไม่อาจต้านทานได้เลย

“เช่นนั้น เราก็คงจะยอมให้นางเติบโตไปมากกว่านี้ไม่ได้”

ผู้อาวุโสใหญ่แห่งอารามกล่าววาจาด้วยน้ำเสียงอันเย็นเยียบพลางส่งโอสถเม็ดหนึ่งให้บุรุษหนุ่มตรงหน้า

“ไม่ต้องห่วง อารามของเราคือขุมกำลังที่ลึกลับที่สุดในแผ่นดิน แค่แขนเพียงข้างเดียวของเจ้า เราสามารถทำให้มันงอกออกมาใหม่ได้อย่างสบาย”

บุรุษหล่อเหลาพยักหน้าพลางยื่นมือไปรับโอสถมาอย่างไม่ลังเล

หลังจากกลืนโอสถเม็ดนั้นเข้าไป บุรุษผู้เสียแขนก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดมหาศาลบริเวณหัวไหล่ที่ไร้แขน ทว่าเพียงลมหายใจเดียวทั้งมือและแขนก็งอกออกมาจากไหล่ข้างนั้น ซึ่งมันก็ดูเหมือนเดิมอย่างไม่ผิดเพี้ยน

“ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสใหญ่”

บุรุษผู้นั้นโค้งคารวะแล้วกล่าวขอบคุณสตรีผู้มีอาวุโสสูงสุดแห่งอาราม

“ฮ่า ๆ ๆ ถ้าหากเจ้าทุ่มเททุกอย่างให้อาราม ในอนาคตข้ารับรองจะดูแลเจ้าอย่างดี !”

ผู้อาวุโสใหญ่หัวเราะเสียงแหลม มันเป็นเสียงหัวเราะที่ฟังดูชั่วร้ายเป็นอย่างยิ่ง หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่นางก็สาดสายตามองศิษย์ใต้บัญชาแล้วออกคำสั่ง

“ส่งคนไปบอกคนของเราที่อยู่ในโรงเรียนราชสำนักให้หาทางกำจัดฉินอวี้โม่ !”

กล่าวจบรอยยิ้มอำมหิตก็ปรากฏบนใบหน้างามล้ำ ‘ไม่ว่าผู้ใดที่กล้าหยามเกียรติของอาราม มันผู้นั้นก็ต้องถูกกำจัด !’

….

อีกด้านหนึ่ง ฉินอวี้โม่ที่ยังไม่รู้ตัวเลยว่าได้ถูกเบื้องบนของอารามหมายหัวว่าจะ ‘ต้องสังหารให้ได้’ กำลังพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับเหล่าสหายอยู่ภายในหอพัก

“อวี้โม่ ตอนนี้เจ้าอยู่ขอบเขตมายาบรรพชนแล้วสินะ”

เยว่ชิงเฉิงมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาอันซับซ้อน ใบหน้างามเดี๋ยวสดใสเดี๋ยวงอง้ำ

เมื่อครั้งที่นางได้พบสหายสาวผู้นี้ครั้งแรก ตอนนั้นระดับพลังของฉินอวี้โม่ยังไม่ได้น่ากลัวมากนัก ทว่าเพียงสองเดือนให้หลัง นางกลับก้าวหน้าอย่างรวดเร็วจนสามารถก้าวข้ามขอบเขตไปได้ ต้องบอกเลยว่าฉินอวี้โม่ไม่ต่างจากสัตว์ประหลาดโดยแท้ แม้จะรู้สึกชื่นชมและยินดีกับสหายสนิทผู้นี้อย่างมาก แต่เมื่อเห็นว่าตัวเองถูกทิ้งห่างไปเรื่อย ๆ คุณหนูตระกูลช่างหลอมผู้โผงผางก็รู้สึกหัวเสียขึ้นมา

“ใช่ ข้าเพิ่งจะก้าวข้ามได้ในหอคอยวิญญาณ หอคอยวิญญาณเป็นสถานที่ที่ดีมาก ถ้าเจ้ามีโอกาสเจ้าก็ควรจะลองเข้าไปดูบ้าง”

ฉินอวี้โม่พยักหน้าและกล่าวแนะนำสหาย

“เอาเถอะ อย่างไรตอนนี้พวกเราก็ได้วันหยุดมาสามวัน ไว้ข้าจะลองเข้าไปที่หอคอยวิญญาณนั่นดูก็แล้วกัน”

หลังจากฟังสิ่งที่ฉินอวี้โม่พูด คนอื่น ๆ ก็เริ่มอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับหอคอยวิญญาณขึ้นมาบ้าง เหล่าสาวน้อยสหายอวี้โม่ทั้งหลายจึงมุ่งหมายในใจว่าในช่วงวันหยุดสามวันที่ได้มา พวกนางจะไปที่หอคอยวิญญาณ

“ข้ามีหินมายาจะมอบให้พวกเจ้า มันเพียงพอจะทำให้พวกเจ้าอยู่ในหอคอยวิญญาณได้สามวัน ข้าเพิ่งจะทะลวงพลังสำเร็จคงไม่มีความจำเป็นต้องใช้มันสักระยะ อีกอย่างวันหยุดนี้ข้าก็ตั้งใจจะไปที่ชั้นเรียนช่างหลอม”

ฉินอวี้โม่ยิ้มพลางหยิบถุงใส่หินมายาออกมาแล้วยัดใส่ในมือเยว่ชิงเฉิง

เยว่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ ไม่ปฏิเสธ พวกนางรู้ว่าอย่างไรก็ปฏิเสธฉินอวี้โม่ไม่ได้ เป็นสหายร่วมเป็นร่วมตายกันมาจนถึงตอนนี้ทุกคนจึงรู้จักนิสัยของคุณหนูตระกูลฉินผู้นี้ดี

“หลังจากเหตุการณ์วันนั้น นักเรียนในชั้นเรียนเราก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากขึ้น ข้าว่าต่อไปนี้บรรยากาศของชั้นเรียนของเราคงจะดูดีขึ้นมาก”

เมื่อคิดถึงความสามัคคีในชั้นเรียนแล้ว ฉินอวี้โม่ก็อดจะกล่าวเรื่องนี้ออกมาพร้อมรอยยิ้มไม่ได้

“ใช่ ๆ ข้าไม่คิดเลยว่าอาจารย์ซ่างกวนจะเป็นอาจารย์ที่เก่งขนาดนี้ เขาใช้เวลาแค่ไม่กี่วัน พูดไม่กี่ประโยคก็ทำให้เรารวมกลุ่มเป็นพวกพ้องเดียวกันได้แล้ว ในอนาคตเราก็ไม่ต้องกลัวเรื่องความขัดแย้งภายในแล้ว”

เยว่ชิงเฉิงและสหายที่เหลือพยักหน้าตอบรับ บนใบหน้าของทุกคนประดับรอยยิ้มกว้าง การมีชั้นเรียนที่เต็มไปด้วยมิตรสหายที่ดีนั้นย่อมทำให้นักเรียนทั้งหมดมีความสุขได้อย่างแน่นอน ต่อไปนี้ชีวิตภายในโรงเรียนราชสำนักของทุกคนคงจะราบรื่นขึ้นเป็นแน่

เมื่อเช้าวันใหม่มาเยือน ทุกคนก็ทำตามแผนการที่คิดไว้ก่อนหน้า ต่างคนต่างแยกย้ายไปตามสถานที่ที่ตั้งใจเอาไว้แต่แรก

แน่นอนว่าข่าวคราวเรื่องตื่นเต้นนั้นกระจายไปเร็วยิ่งกว่าสายลมพัด เพราะเวลานี้เรื่องที่เกิดขึ้นกับชั้นเรียนอาจารย์ซ่างกวนซวี่ในป่าด้านทิศตะวันออกเป็นที่ทราบกันจนทั่วทั้งโรงเรียนราชสำนักแล้ว

และเพราะเรื่องราวดังกล่าวเป็นเรื่องใหญ่ที่กระทบถึงความมั่นคงของสถาบัน ดังนั้นจึงมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างอื้ออึงภายในโรงเรียน

“ข้าได้ยินมาว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะฉินอวี้โม่ไปสังหารผู้อาวุโสสองแห่งอารามในดินแดนต้องห้าม คนจากอารามถึงได้บุกมาเพื่อแก้แค้นนาง”

นักเรียนกลุ่มหนึ่งรวมกลุ่มกันสนทนาเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างออกรส

“ใช่ ข้าก็ได้ยินมาแบบนั้น ดูเหมือนว่ารุ่นน้องอวี้โม่จะมีเรื่องบาดหมางกับผู้อาวุโสสองแห่งอารามเป็นการส่วนตัว ผู้อาวุโสสองอะไรนั่นถึงกับปลอมตัวเข้ามาร่วมการทดสอบเข้าโรงเรียนเพื่อแก้แค้น ทว่ารุ่นน้องอวี้โม่ก็แข็งแกร่งจนเกินไป ไม่เพียงผู้อาวุโสที่ว่าจะทำอะไรนางไม่ได้ แต่ยังถูกนางสังหารด้วย รุ่นน้องผู้นี้น่ากลัวเกินไปแล้ว”

“ใช่ ใช่ ที่สำคัญคือฉินอวี้โม่ไม่เกรงกลัวอารามเลยแม้แต่น้อย เรื่องนี้แหละที่ข้ารู้สึกชื่นชมในตัวนาง”

ท่ามกลางเสียงวิจารณ์อันหนาหู มีนักเรียนส่วนหนึ่งที่รู้สึกชื่นชมในความเก่งกาจของคุณหนูสี่ตระกูลฉิน ในโลกมายาแห่งนี้คนส่วนมากจะเคารพและชื่นชมผู้ที่แข็งแกร่ง ฉินอวี้โม่มีคุณสมบัติที่เพียบพร้อมทั้งความกล้าหาญและความแข็งแกร่งยากจะหาผู้เท่าเทียม นั่นจึงทำให้ผู้คนมากมายเลื่อมใสในตัวสตรีผู้นี้

อย่างไรก็ตามก็ยังมีคนที่มองนางในแง่ร้ายอยู่บ้าง

“เหอะ หลังจากจบเรื่องนี้ สงครามระหว่างโรงเรียนราชสำนักกับอารามก็คงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว คนที่ชื่อฉินอวี้โม่นั่นเป็นคนชักศึกเข้าบ้านแท้ ๆ ไม่คิดเลยว่านางจะยังหน้าด้านอยู่ในโรงเรียนต่อ หากเป็นข้า ข้าจะไปที่อารามแล้วขอโทษเพื่อให้พวกเขาอภัยให้ เพราะถ้าทำเช่นนั้นทางอารามก็อาจจะไม่ทำสงครามกับโรงเรียนเราก็ได้ !”

คนผู้หนึ่งต่อว่าพฤติกรรมของฉินอวี้โม่ ในน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

“เจ้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันรึ ? ใครจะไปคิดล่ะว่าเป็นแค่นักเรียนใหม่เข้ามาในโรงเรียนไม่ทันไรก็สร้างเรื่องใหญ่โตซะแล้ว ครั้งนี้ถึงกับมีเรื่องบาดหมางกับขุมกำลังอำนาจล้นฟ้าอย่างอาราม ถ้าข้าเป็นนางข้าคงยอมออกจากโรงเรียนด้วยความสมัครใจ ถึงอยู่ต่อไปก็มีแต่จะทำให้คนอื่นเดือดร้อน !”

“โชคร้ายของพวกเราที่สตรีตระกูลฉินผู้นั้นใบหน้าหนา ยิ่งกว่านั้นข้าคิดว่าที่นางยังอยู่ที่โรงเรียนก็เพราะเกรงกลัวอิทธิพลของอาราม หากยังอยู่ที่นี่ก็จะมีอำนาจของโรงเรียนราชสำนักช่วยคุ้มกะลาหัว อีกอย่าง ถ้าเทียบกับอาราม สตรีอายุน้อยอย่างนั้นก็ไม่ได้มีระดับพลังสูงส่งอะไร ข้าเชื่อว่านางไม่มีทางกล้าออกไปหรอก”

ทว่าเมื่อได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์ต่อฉินอวี้โม่ในทางเสียหาย ก็มีคนอดไม่ได้ที่จะกล่าวโต้แย้งเช่นกัน

“พอแค่นั้นแหละ ! พวกเจ้าก็แค่ไม่ชอบฉินอวี้โม่เป็นการส่วนตัวเท่านั้น อย่างพวกเจ้าไม่คู่ควรเป็นคนถือรองเท้าให้นางด้วยซ้ำไป คนที่ใบหน้าหนามันคือพวกเก่งแต่ปากเอาแต่นินทาผู้อื่นลับหลังอย่างพวกเจ้าซะมากกว่า”

“ถูกต้อง ถ้าพวกเจ้าเก่งจริงก็ควรแสดงความสามารถออกมาด้วยการเผชิญหน้ากับศัตรูของโรงเรียน คนที่กล้าหยามโรงเรียนและรังแกนักเรียนในโรงเรียนพวกเราไม่ควรจะปล่อยเอาไว้  ถ้ารักโรงเรียนจริงก็อย่ามัวแต่พูดจาเหลวไหลทำตัวไร้สาระไปวัน ๆ เช่นนี้ เหอะ ! ข้าไม่คิดเลยว่าในโรงเรียนราชสำนักจะมีพวกหน้าไม่อายอย่างพวกเจ้าอยู่ด้วย น่าขายหน้าจริง ๆ”

“นี่เจ้ากำลังพูดอะไร ?!”

แน่นอนว่ากลุ่มนักเรียน ‘ผู้ไม่ชอบอวี้โม่’ ทั้งหลายย่อมไม่สามารถทนฟังวาจาต่อว่าของคนอีกฝ่ายได้ พวกเขาเตรียมตัวจะเปิดศึกทะเลาะวิวาทเพราะความไม่พอใจ

ภายในเวลาไม่นานนัก ศิษย์น้อยใหญ่ในโรงเรียนราชสำนักก็แบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือฝ่ายสนับสนุนฉินอวี้โม่ ส่วนอีกฝ่ายคือฝ่ายที่เกลียดฉินอวี้โม่ โดยฝ่ายที่เกลียดฉินอวี้โม่ส่วนหนึ่งก็เป็นพวกเพื่อนสนิทของจีหย่งและจีชางกับเหล่าผู้ได้รับผลประโยชน์จากพวกเขา อีกส่วนก็เป็นพวกที่อิจฉาในพรสวรรค์ของนาง และมีส่วนน้อยที่เป็นพวกคนหูเบากับกลุ่มคนเออออไปตามสหาย

ส่วนผู้ที่กลายเป็นประเด็นใหญ่ของโรงเรียนอย่างคุณหนูสี่แห่งตระกูลฉินกลับไม่รู้เรื่องราวดังกล่าวเลย ในตอนนี้นางกำลังศึกษาศาสตร์การหลอมอยู่ในชั้นเรียนช่างหลอมอย่างตั้งใจ