ตอนที่ 306 บทสรุปสุดท้าย

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

“แม่เจ้าเล่า?” ซั่งกวนเจวี๋ยคาดไม่ถึงว่าภรรยาที่ตัวเองเงยหน้าคอยอย่างคาดหวังจะไม่ได้มาถึง กลับเห็นใบหน้าที่ร้อนตัวแต่ทำเป็นเคร่งขรึมของซั่งกวนหมิง ทั้งซั่งกวนเจาที่เผยรอยยิ้มอยู่ในแววตา ส่วนมี่เอ๋อร์ไม่เห็นแม้แต่เงา

วันนี้เป็นวันที่แปดที่เขาอ้างเรื่องความตายเร้นกายออกมา ทั้งเป็นวันที่เขาและเยี่ยนมี่เอ๋อร์นัดหมายกัน พูดดีแล้วว่าวันนี้นางจะใช้เหตุผลเข้าวัดประจำตระกูลขึ้นเขามา เหตุใดจึงไม่เห็นเงาของภรรยาเลยเล่า?

“ท่านพ่อ ท่านแม่ นาง…” ซั่งกวนหมิงเห็นใบหน้าที่ผิดหวังของบิดา ฝืนกล่าวออกมาอย่างร้อนตัว จากนั้นก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร ส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปยังสองสามีภรรยาซั่งกวนฮ่าวที่ยังมีกำลังวังชาดีทันที แม้ว่าจะอายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว แต่การใช้ชีวิตที่เรือนพำนักอวี้ฉิงนั้นราบรื่นเป็นอย่างมาก เรื่องน่าหงุดหงิดใจย่อมมีน้อย ท่าทีของพวกเขาจึงนับว่าไม่เลว

“มี่เอ๋อร์ไม่มา ข้าไม่แปลกใจแม้แต่น้อย” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อถลึงตาใส่หลานที่ทนเห็นลูกชายมีท่าทีเคร่งขรึมเช่นนั้นไม่ได้ กล่าวอย่างเรียบเย็น “ไม่ใช่ว่าเจ้ารักโม่จิ้งผู้นั้นมากนักหรือ? ไฉนพอถึงยามเร้นกายจึงนึกถึงภรรยาที่ครองคู่กันในวันวาน อยากให้มี่เอ๋อร์มาอยู่ร่วมกับเจ้า? เปลี่ยนเป็นคนอื่นใครจะอยากมาเล่า?”

“ท่านย่า ท่านแม่อยากให้หลานบอกเรื่องหนึ่งกับท่าน!” ซั่งกวนหมิงมองใบหน้าที่เยือกเย็นของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ กระแอมไออกมาทีหนึ่ง “ท่านแม่กล่าวว่ามีเรื่องหนึ่งที่ปิดบังท่านและท่านปู่มาหลายปี เดิมทีคิดอยากจะสารภาพอย่างตรงไปตรงมากับท่านในวันนี้ แต่นางไม่อาจปลีกกายออกมาได้ ทำได้เพียงให้หลานมาพูดแทนนาง”

“มีเรื่องอันใดที่ทำให้มี่เอ๋อร์ปลีกตัวออกมาไม่ได้?” ซั่งกวนเจวี๋ยถามอย่างร้อนใจ หรือยังมีเรื่องอันใดเป็นอุปสรรคขัดขวางเขาและมี่เอ๋อร์อีก? ไม่น่าจะมีแล้วสิ!

“คือว่า…” ซั่งกวนหมิงยากที่จะเอ่ยปากอยู่บ้าง ลอบส่งสายตาให้ซั่งกวนเจาที่เผยสีหน้าเรียบนิ่ง แต่กลับเห็นได้ชัดว่าชมเรื่องสนุกอยู่โดยไม่มีใครสังเกตเห็น เหตุผลของเรื่องนี้อย่างไรให้เขาเป็นคนพูดจะดีกว่า

“ท่านพ่อ เป็นเช่นนี้!” ซั่งกวนเจาได้รับการบอกเป็นนัยจากพี่ชาย แม้จะไม่อยากพลาดโอกาสชมเรื่องสนุก แต่ก็กังวลว่าจะถูกคนคิดบัญชีย้อนหลัง กล่าวออกไปด้วยรอยยิ้มทันที “ท่านแม่ถูกพวกหลานๆ เหนี่ยวรั้งเอาไว้ พวกเขาแสดงจุดยืนของตัวเองอย่างหนักแน่น ยืนยันไม่ให้ท่านแม่ไปวัดประจำตระกูล จะให้ท่านแม่ใช้ชีวิตบั้นปลายในตระกูล เสวยสุขกับลูกหลาน ท่านแม่ไม่อยากทำให้พวกเขาเสียใจผิดหวัง จึงทำได้เพียงรั้งตัวอยู่”

“เป็นเช่นนี้หรือ หมิงเอ๋อร์?” ซั่งกวนเจวี๋ยไม่เชื่อคำพูดเติมแต่งของซั่งกวนเจาแม้แต่น้อย เขามองลูกชายคนโตที่เผยสีหน้าร้อนตัวอย่างเย็นเยียบ หวังจะสามารถได้ยินความจริงจากปากของเขา

แน่นอนว่าไม่ใช่เช่นนั้น! ซั่งกวนหมิงก็รู้ว่าซั่งกวนเจวี๋ยไม่อาจเชื่อคำพูดเช่นนี้ แต่เขาสามารถพูดความจริงได้ที่ไหน?

เรื่องจริงคือเยี่ยนมี่เอ๋อร์เตรียมสัมภาระทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ทั้งเตรียมจะออกเดินทางเช่นกัน แต่ลูกทั้งห้าคนของเขาคุกเข่าเรียงแถวขวางทางอยู่เบื้องหน้าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ลูกสาวทั้งสองดึงเสื้อของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไว้ ลูกชายทั้งสามถามคำถามหนึ่งกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ด้วยสีหน้าจริงจัง “ส่งพวกเราให้ท่านแม่ ท่านย่าก็สามารถวางใจได้แล้วหรือ?”

ฟางอวี๋ซวี่นั้นคลอดเก่งจริงๆ ในเวลาสามปีก็ตั้งท้องถึงสองครั้ง ให้กำเนิดเด็กคนแล้วคนเล่า ตัวนางเองก็รู้ว่าเป็นแม่ที่ดีไม่ได้ เยี่ยนมี่เอ๋อร์มือหนึ่งดูแลเรื่องในบ้าน อีกมือต้องเลี้ยงดูเด็กไปพลาง ถือโอกาสสอนงานในบ้านให้นางด้วย แต่หลายปีที่ผ่านมา คะแนนก็ยังไม่เป็นที่พอใจ เรื่องในบ้านก็ดูแลไม่ได้ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำได้เพียงทิ้งพ่อบ้านและแม่บ้านที่มีฝีมือและไหวพริบไว้ให้ไม่กี่คน คนพวกนั้นล้วนจงรักภักดี ขอเพียงแต่ฟางอวี๋ซวี่ดูแลตัวเองได้ ทั้งเป็นภรรยาที่ดีได้ ก็เพียงพอแล้ว ไม่มีเยี่ยนมี่เอ๋อร์นั่งรักษาการณ์ เรื่องในบ้านก็ยังคงเป็นไปตามระเบียบแบบแผน

แต่ปัญหาของปัญหาคือ ลูกชายคนโตของซั่งกวนหมิง ปีนี้เพิ่งอายุเก้าปี เขารู้ความจริงที่ท่านปู่เร้นกาย ทั้งรู้ว่าท่านย่าจะไปอยู่กับท่านปู่ แต่เด็กคนอื่นๆ นั้นไม่รู้ พวกเขาทราบเพียงว่าท่านปู่ไม่อาจกลับมาแล้ว และหากท่านย่าจากไป เดือนหนึ่งอาจจะไม่ได้พบหน้ากันเลยก็ได้ ผู้ที่รับช่วงต่อดูแลพวกเขาคือมารดา นี่ทำให้พวกเขารู้สึกดำมืดไปหมด…มารดาที่กระทั่งยามนี้แล้วยังมีนิสัยเป็นเด็กๆ จะสามารถดูแลพวกเขาได้หรือ? ดังนั้น พวกเขาจึงยืนหยัดไม่ให้ท่านย่าจากไป

เยี่ยนมี่เอ๋อร๋นั้นยังไม่วางใจให้ฟางอวี๋ซวี่เป็นผู้ดูแลเด็กจริงๆ ถูกพวกหลานๆ กล่าวเช่นนี้ จึงลังเลไป และเวลานี้ฟางอวี๋ซวี่ก็ปรากฏตัวขึ้น นางคุกเข่าลงเบื้องหน้าเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างรู้แล้วรู้รอด กล่าวว่า “ให้ลูกเป็นคนดูแลพวกเด็กๆ จนเติบใหญ่นั้น ลูกทำไม่ได้จริงๆ อย่างไรท่านแม่รั้งอยู่ก่อนเถิด!”

ชั่งน้ำหนักครุ่นคิดอยู่ค่อนวัน เยี่ยนมี่เอ๋อร์จึงทำได้เพียงรั้งตัวไว้…นางรู้ว่าซั่งกวนเจวี๋ยกำลังรอนางอยู่ แต่ซั่งกวนเจวี๋ยไม่มีที่ใดที่ทำให้นางเป็นกังวล ทว่าพวกเด็กๆ ตรงหน้ากลับไม่เหมือนกัน คนที่โตที่สุดอายุเพียงเก้าปี เล็กที่สุดอายุเพียงสี่ปี ล้วนมองนางอย่างคาดหวัง นางทำได้เพียงถอนหายใจ ให้คนเก็บข้าวเก็บของไว้ที่เดิม สั่งให้สองพี่น้องซั่งกวนหมิงที่หลบอยู่ด้านข้างขึ้นเขามารายงาน

ดังนั้นซั่งกวนหมิงที่คล้ายยกภูเขาออกจากอกจึงพาซั่งกวนเจาที่เตรียมดูละครน้ำดีอย่าง ‘พ่อลูกปะทะกัน’ ขึ้นเขามาพร้อมใบหน้าที่ร้อนตัว เพื่อบอกข่าวร้ายนี้แก่ซั่งกวนเจวี๋ย ซั่งกวนเจานั้นอยากเห็นว่าพี่ชายที่แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยถูกซั่งกวนเจวี๋ยจัดการจะถูกไล่ตีสักยกหรือไม่ ตั้งหน้าตั้งตาคอยให้เรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างยิ่ง!

“หรือว่าเจ้ายินดีจะให้พวกพ่อบ้านเป็นคนรายงานความจริงเรื่องนี้กับข้ามากกว่า?” ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าวเตือนอย่างเยือกเย็น แม้ว่าจะเป็นผู้นำตระกูลก็เป็นลูกชายของเขา เขาไม่เชื่อว่าเขาจะจัดการลูกชายตัวร้ายของตัวเองไม่ได้

“คือว่า…” ซั่งกวนหมิงกระแอมไอสองครั้ง “ที่จริงน้องชายก็พูดไม่ผิด เพียงแต่เขาลืมพูดสถานการณ์สำคัญในตอนนั้นเท่านั้น! พวกเด็กนั้นทนให้ท่านแม่จากมาไม่ได้เป็นเรื่องจริง พวกเขารู้จักใช้ประโยชน์กับความรู้สึกของท่านแม่เป็นอย่างมาก ถามท่านแม่ว่าวางใจมอบพวกเขาให้อวี๋ซวี่ดูแลใช่หรือไม่…ท่านพ่อ ท่านก็รู้ พวกเด็กๆ ล้วนอยู่ภายใต้การดูแลของท่านแม่จนเติบใหญ่ ไม่ได้สนิทสนมกับอวี๋ซวี่เท่าใด พวกเขาย่อมไม่อยากให้ท่านแม่จากไป…”

“ไม่สนิทสนม? ข้าว่าไม่ใช่เหตุผลนี้กระมัง!” ซั่งกวนเจวี๋ยปวดเศียรเวียนเกล้าพักใหญ่ เหตุใดก่อนที่เขาจะ ‘ตาย’ ไม่ได้คิดถึงจุดนี้มาก่อน? ฟางอวี๋ซวี่และพวกเด็กๆ สนิทสนมกันไม่น้อย แต่นางนอกจากพาเด็กๆ เล่นสนุก ก่อเรื่อง ทั้งสร้างความวุ่นวายจนทุกคนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกแล้ว ก็ไม่มีความเป็นแม่ หรือความเป็นผู้ใหญ่สักนิด ดูท่าพวกเด็กๆ จะกระจ่างใจดีเช่นกัน มารดาเช่นนี้พึ่งพาไม่ได้ ดังนั้นจึงเหนี่ยวรั้งมี่เอ๋อร์ไว้

“ท่านพ่อเข้าใจก็ดี!” ซั่งกวนหมิงหัวเราะเหอะๆ ออกมา เตรียมพร้อมที่จะเผ่นแน่บ เขาไม่อยากจะถูกบิดาไล่ทุบตี

“หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ข้าคงเป่าหูมี่เอ๋อร์ให้หาภรรยาที่เก่งกาจให้เจ้าอีกคนหรือไม่ก็รับอนุภรรยาที่หลักแหลมให้รู้แล้วรู้รอดไปแล้ว!” ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าวอย่างเสียใจที่สายเกินแก้ พวกเขามีเรื่องนั้นเรื่องนี้ไม่พอใจฟางอวี๋ซวี่มาโดยตลอด ล้วนคิดว่านางไม่อาจเป็นนายหญิงของตระกูลและมารดาที่เหมาะสมได้ แต่ก็รู้ว่า หากซั่งกวนหมิงรับอนุภรรยาเข้าตระกูลมาอีกคน สิบส่วนนางย่อมเป็นศพไม่เหลือแม้แต่กระดูก พวกเด็กๆ คงถูกทำร้ายอย่างไม่สมควรจะได้รับ ทั้งยังอาจทำให้พวกเขาเกิดความขัดแย้งกับซั่งกวนหมิง ดังนั้น ซั่งกวนหมิงไม่มีความคิดจะรับอนุ พวกเขาก็ปิดปากไม่พูดถึงเช่นกัน แต่ยามนี้ ซั่งกวนเจวี๋ยกลับคิดว่าภรรยาของตัวเองตามใจและปล่อยพวกเขาจนเกินไป หากรับอนุภรรยาเข้าตระกูลให้ซั่งกวนหมิงเร็วกว่านี้หน่อย นางรู้สึกถึงการคุกคาม ย่อมไม่อาจใช้ชีวิตผ่านไปวันๆ อย่างสบาย ภายใต้การคุ้มครองของซั่งกวนหมิงและพวกตัวเองอย่างน้อยที่สุดก็คงมีความสามารถพอจะเป็นมารดาที่ดีได้ ทั้งไม่อาจเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นในยามนี้

“มี่เอ๋อร์ไม่มาก็ไม่เป็นไร ข้าสามารถกลับไปเยี่ยมนางบ่อยๆ ได้!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อหัวเราะเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวด้วยใบหน้าเยือกเย็นทันที “แต่ว่าเจวี๋ยเอ๋อร์ ข้าขอเตือนเจ้า หากเจ้ากล้าพาโม่จิ้งผู้นั้นเข้ามาในเรือนพำนักอวี้ฉิงละก็…”

“ท่านย่าเกลียดโม่จิ้งขนาดนั้นเชียวหรือ?” ซั่งกวนหมิงไม่เข้าใจจริงๆ เดิมทีหญิงสาวก็ยากจะคาดเดา อวี๋ซวี่ ผู้หญิงหัวดื้อเช่นนั้น บางครั้งก็มีด้านที่ยากจะคาดเดาเช่นกัน

หวงฝู่เยวี่ยเอ้อถูกหลานชายถามก็ชะงักไป ตัวเองครุ่นคิดเล็กน้อย “ก็ไม่ได้เกลียดอะไรขนาดนั้น เพียงชินแล้วเท่านั้น! มี่เอ๋อร์ให้เจ้ามาบอกอะไร?”

ชิน? ซั่งกวนหมิงอยากจะเป็นลม เขาถอนหายใจ “ท่านแม่อยากสารภาพเรื่องหนึ่งกับท่านย่าและท่านปู่ นั่นก็คือโม่จิ้งเป็นอีกนามหนึ่งของนาง เรื่องโม่จิ้งและท่านพ่อนั้นล้วนเป็นท่านแม่ที่แต่งหน้าแล้วไปกับท่านพ่อ…”

“หา?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อประหลาดใจเป็นอย่างมาก แต่ก็เข้าใจได้ทันที นางหันไปหัวเราะใส่ซั่งกวนเจวี๋ยอย่างดีใจที่เห็นเขาเป็นทุกข์ “เช่นนั้นก็ดี ยามนี้เจ้าก็ทนใช้ชีวิตอยู่บนเขาไปคนเดียวเถิด! หลังจากมี่เอ๋อร์ดูแลพวกเด็กๆ จนเติบโต หาคู่ครองให้พวกเขาได้แล้ว ย่อมตามมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าที่นี่ ฮ่าๆ!”

ซั่งกวนฮ่าวรู้เรื่องนี้ตั้งนานแล้ว (หลังจากที่เขาเร้นกายอินหงหลันก็บอกเรื่องนี้กับเขา และความสับสนมากมายในใจเขาก็มีคำตอบเสียที) ทำเพียงเผยยิ้มออกมา ไม่เห็นใจซั่งกวนเจวี๋ยที่เผยใบหน้าหงุดหงิดแม้แต่น้อย

“ล้วนเป็นเจ้า ลูกไม่รักดี!” ซั่งกวนเจวี๋ยไม่ทำให้ซั่งกวนเจาผิดหวัง เริ่มไล่ทุบตีซั่งกวนหมิงทันที หากเขาหาภรรยาที่พึ่งพาได้จะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอย่างนั้นหรือ…

หลังจากนั้นหนึ่งเดือน ในที่สุดซั่งกวนเจวี๋ยก็ได้ต้อนรับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ทำข้อตกลงหลายอย่างกับพวกเด็กๆ นางรับปากพวกเด็กๆ ว่าจะพักในจวนสลับกับเรือนพำนักอวี้ฉิง สลับเดือนละหนึ่งครั้ง เช่นนี้จึงทำให้พวกเด็กๆ ยินยอม สามีภรรยาต่างสบสายตากัน ล้วนอดถอนหายใจยาวออกมาไม่ได้…การใช้ชีวิตเร้นกายเช่นนี้เดิมทีก็ไม่ใช่แบบที่พวกเขาวาดฝันไว้เสียหน่อย…

———————————–