ตอนที่ 206 ดื้อรั้น
ท่าทีเช่นนี้ของมู่จวินฮานมิต่างจากคนมิเอาถ่าน ทำให้พระพักตร์ของฮ่องเต้บึ้งตึง ดวงเนตรคมกริบแล้วตำหนิด้วยสุรเสียงทุ้มต่ำ “ข้าส่งเจ้าไปเป็นรองแม่ทัพที่ม่อเป่ยก็คือการมอบแผ่นดินต้าโจวให้เจ้าปกป้อง เจ้าช่างดีนัก ตลอดทางส่งจดหมายเร่งด่วนให้ข้าตั้ง 3 ฉบับ ทุกฉบับล้วนบ่นถึงการเดินทางที่ยากลำบาก ! ”
ฮ่องเต้สะบัดแขนเสื้ออย่างโมโห โกรธที่อีกฝ่ายมิได้ดั่งใจ “ตอนนั้นเจ้าสัญญากับข้าไว้เยี่ยงไร ? ”
“ต้าโจวมีฝ่าบาทผู้ปรีชาสามารถ มีแม่ทัพที่มีชื่อเสียงเยี่ยงแม่ทัพใหญ่ลู่เทียนหยา ถึงอย่างไรบ้านเมืองก็ต้องสงบสุขอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” มู่จวินฮานเอ่ยประจบด้วยรอยยิ้ม ท่าทางราวกับขุนนางที่ดื้อรั้นผู้หนึ่ง
ฮ่องเต้ราวกับโดนเขาทำให้โกรธจนถึงขีดสุด มุมปากกระตุกแล้วกระตุกอีก ระหว่างคิ้วยังแฝงไปด้วยความโกรธ “หากมิใช่เพราะกลัวเจ้าตายแล้วไทเฮาจักเสียพระทัย ข้ามิให้เจ้ากลับมาอย่างแน่นอน ! ”
“กระหม่อมรู้ว่าในพระทัยของเสด็จย่าเป็นห่วงกระหม่อมที่สุด” มู่จวินฮานพยักหน้าอย่างเชื่อฟังแล้วเอ่ยอย่างแต่เอาใจ “กระหม่อมออกจากเมืองจิงนานถึงเพียงนี้ เสด็จย่าต้องเป็นห่วงมากแน่ กระหม่อมจักรีบเตรียมตัวไปเยี่ยมพระองค์ตอนนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
มู่จวินฮานเปลี่ยนเรื่อง มิได้เอ่ยถึงการสู้รบที่ม่อเป่ยจึงทำให้ฮ่องเต้อยากหัวเราะออกมา “ข้าจักดูว่าเจ้าทูลรายงานต่อไทเฮาเยี่ยงไร ! ”
ตอนที่มู่จวินฮานจักไปม่อเป่ย องค์ไทเฮาพยายามรั้งเขาไว้จนกระทั่งยอมหลั่งน้ำตา นางคิดว่าฮ่องเต้จงใจสร้างความลำบากให้มู่จวินฮาน ถึงขั้นเมินเฉยใส่ฮ่องเต้เพราะเรื่องนี้เลยทีเดียว
นี่เพิ่งผ่านไปมิกี่เดือนเท่านั้น มู่จวินฮานเพิ่งถึงม่อเป่ยก็ร้องขอกลับมาแล้ว แม้ว่าไทเฮาเอ็นดูเขามากเพียงใด แต่ก็มิยอมให้เขาทำตัวเช่นนี้หรอก
“เอาล่ะ ในเมื่อเจ้ากลับมาแล้วก็ไปดูอ๋องมู่ก่อน ข้ายังมีธุระต้องจัดการ รอให้เจ้าพบไทเฮาแล้วค่อยดูอีกทีว่าจักลงโทษเจ้าเยี่ยงไร”
ฮ่องเต้ไพล่พระหัตถ์ไว้ด้านหลังแล้วเดินไปทางพระราชวัง พอถึงหัวมุมถนนก็มีรถม้าคันหนึ่งโผล่ออกมารับฮ่องเต้แล้ววิ่งจากไป
มู่จวินฮานเห็นฮ่องเต้ไปไกลแล้วจึงเก็บรอยยิ้มบนหน้าคืนมา
เขามิได้กลับจวนอ๋องมู่ในทันที แต่หาร้านสุราที่มิสะดุดตาร้านหนึ่งนั่งอยู่ที่นั่น ป้ายหน้าร้านมิเก่ามิใหม่ถูกลมพัดไปมาทำให้ใบหน้าของเขาโดนบังไว้ครึ่งหนึ่ง
เจ้าของร้านที่เติมสุราให้เขามีท่าทีคุ้นเคย สุราใสตกกระทบจอกสุราเกิดเสียงเสนาะหู
“ข้าได้ยินว่าฮูหยินหมิงจูตามหาบุตรีที่หายไปเจอแล้วหรือ ? ” มู่จวินฮานยกจอกสุราขึ้นแล้วเอ่ยถามอย่างมิใส่ใจ
ใบหน้าเจ้าของร้านมีรอยยิ้มเป็นกันเอง แต่กดเสียงให้ต่ำลง “ใช่ขอรับ ได้ยินว่าพบเมื่อครึ่งเดือนก่อน วันนี้ได้เชิญคนไปร่วมงานฉลองเพื่อประกาศเรื่องนี้ขอรับ”
มู่จวินฮานตอบรับ อืม เบาๆ ดวงตามองไปยังถนนนอกร้านอันคึกคัก ตาสีดำสนิทคู่นั้นแฝงประกายเฉียบคม
เดิมทีเขาคิดว่าฮ่องเต้เพียงอยากยึดกำลังทหารในมือจวนอ๋องมู่เท่านั้น ดังนั้นจึงตั้งใจทำตามพระประสงค์โดยสร้างกองกำลังลับของตนเอาไว้ที่ม่อเป่ย แต่คนของเขาพบว่าฮ่องเต้สั่งให้คนอื่น ๆ ไปแฝงอยู่ในกองทหารเพื่อยั่วยุทหารในม่อเป่ยราวกับจงใจให้เกิดสงคราม
หากองครักษ์เงามิระมัดระวังก็คงมิสืบพบเล่ห์กลที่คนผู้นั้นวางไว้ได้
ชายผู้นั้นได้รับคำสั่งของฮ่องเต้ให้ก่อสงคราม สิ่งที่ฮ่องเต้ต้องการก็มิมีอันใดนอกไปจากอยากให้เขาตายในสนามรบเพื่อจบชีวิตผู้สืบทอดของตระกูลมู่
ดูเหมือนการที่เขาขอร้องนำกำลังทหารไปม่อเป่ยทำให้ฮ่องเต้หวาดระแวง พระองค์กลัวว่าจวนอ๋องมู่จักเกิดวีรบุรุษในสนามรบขึ้นมาอีกคน ดังนั้นจึงมีการถ่ายทอดคำสั่งให้เหล่าสายลับเยี่ยงนี้
บังเอิญที่เขาได้รับจดหมายจากอันหลิงเกอจึงรู้ว่าเมืองจิงกำลังจักเกิดโรคระบาด เขาจึงคิดวิธีนี้ออกมาคือแกล้งว่าทนรับความยากลำบากที่ม่อเป่ยมิไหว แล้วสั่งคนส่งรายงานด่วนเพื่อขอร้องฮ่องเต้อนุญาตให้เขากลับเมืองจิง
เขาจงใจแสดงความดื้อรั้นออกไป นิสัยทนความยากลำบากมิได้จักสร้างผลงานใหญ่อันใดสำเร็จ เช่นนี้แล้วฮ่องเต้คงวางพระทัยได้แล้วกระมัง ?
มู่จวินฮานดื่มสุราในจอกอีกหนึ่งอึกแล้วกำชับเจ้าของร้านอีกมิกี่ประโยคจึงลุกขึ้นแล้วเดินกลับจวนอ๋องมู่
……
…..
ณ จวนโหว อันอิงเฉิงจ้องอันหลิงเกอไว้ด้วยแววตาซับซ้อนราวกับอยากกล่าวอันใดบางอย่าง
“ท่านพ่อมีอันใดก็กล่าวมาเถิดเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอสังเกตเห็นลักษณะท่าทางของเขา มุมปากจึงแต้มยิ้มด้วยความเห็นใจ
ท่าทางสง่างามและเคารพตนเช่นนี้ช่างเหมือนฮูหยินใหญ่อันเหลือเกิน เพียงแต่ฮูหยินใหญ่อันยังฉลาดมิเท่านาง
อันอิงเฉิงแอบถอนหายใจ “เกอเอ๋อ เจ้าว่าโรคระบาดนั้น เป็นไปได้หรือไม่ที่เราเข้าใจผิด ? ”
ตั้งแต่เข้าเฝ้าฮ่องเต้ก็ผ่านไปได้สามวันแล้ว ทว่าเมืองจิงยังคงสงบสุขราวกับมิมีวี่แววจักเกิดโรคระบาด
หากมิใช่เขาได้ส่งหมอประจำจวนไปยืนยันในวันนั้นก็คงคิดว่าเป็นเรื่องตลกที่อันหลิงเกอสร้างขึ้นมา
แม้ในใจเขาเชื่ออันหลิงเกอ แต่ฮ่องเต้ย่อมมิเชื่อ
ยิ่งเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ สายพระเนตรที่ฮ่องเต้มองเขาก็ยิ่งเย็นชา
หากเรื่องโรคระบาดมิเป็นจริง ชีวิตเขาต้องเจอกับหายนะอย่างแน่นอน
ท่าทางขมวดคิ้วของอันอิงเฉิงตกอยู่ในสายตาอันหลิงเกอตลอดเวลา ใบหน้านางจริงจังแล้วกล่าวว่า “ตามหลักแล้วโรคระบาดแพร่ได้เร็วมาก สถานการณ์ตอนนี้ลูกก็คิดว่าแปลกเจ้าค่ะ”
เสียงของนางดังกังวานทั้งยังแฝงความแน่วแน่เอาไว้ “การระบาดของโรคในมิช้าจักเกิดขึ้นแน่นอน ท่านพ่อมิต้องกังวลเจ้าค่ะ พวกเราแค่เตรียมตัวให้ดีแล้ว ราษฎรในเมืองจิงย่อมมิเสียชีวิตเป็นจำนวนมากเจ้าค่ะ”
เขาเป็นห่วงราษฎรในเมืองจิงตูที่ไหน กำลังเป็นห่วงชีวิตตนเองเสียมากกว่า !
อันอิงเฉิงมิได้เอ่ยคำนี้ออกมา เพียงแต่พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
เขาเพิ่งรู้สึกวางใจได้เล็กน้อย ฮ่องเต้ก็ส่งขันทีมาถึงจวนโหว บนใบหน้าของขันทียังเรียบเฉย ทำให้อันอิงเฉิงตื่นตระหนกจนต้องรีบเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว
“กงกงเชิญเข้ามาก่อน มิทราบว่าฝ่าบาททรงมีคำสั่งอันใดใช่หรือไม่ ? ”
ขันทีตอบ อืม คำเดียว ท่าทีดูวางอำนาจ เขาปรายตามองอันอิงเฉิงแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงเรียกท่านโหวเข้าวัง ท่านจักไปกับข้าตอนนี้เลยหรือไม่ ? ”
แม้อันอิงเฉิงเป็นท่านโหวทว่ามิมีอำนาจอันใด กระนั้นด้วยยศของเขายังคงสูงส่ง แน่นอนว่ายังมิเคยมีขันทีคนไหนกล้าดูถูกเขามาก่อน
เพราะเช่นนี้เขาจึงเข้าใจท่าทีของฮ่องเต้
ที่น่ากังวลก็คือโรคระบาดมิได้เกิดขึ้นเสียที ฮ่องเต้คงรู้สึกว่าเขาโป้ปด ดังนั้นจึงเกิดความกริ้วขึ้นมา
มิเช่นนั้นขันทีก็คงมิกล้าแสดงกิริยาเช่นนี้ออกมา
อันหลิงเกอยืนอยู่ด้านข้างพลางสังเกตใบหน้าที่ย่ำแย่ของอันอิงเฉิง ในใจเริ่มคาดเดาอันใดบางอย่างได้
“ท่านพ่อเจ้าคะ ฮ่องเต้เรียกตัวท่านตอนนี้คงเกี่ยวข้องกับเรื่องโรคระบาด” ดวงตาของนางเป็นประกาย ลักษณะท่าทางอ่อนโยนแต่มุ่งมั่น “เรื่องนี้เดิมทีก็เริ่มจากลูก มิสู้ท่านพาลูกเข้าวังด้วย แล้วลูกจักอธิบายให้ฝ่าบาทเข้าพระทัยเองเจ้าค่ะ”
แบบนั้นจักดีที่สุด เพราะเรื่องโรคระบาดถูกพบโดยอันหลิงเกอ มีแต่นางที่สามารถกล่าวให้เข้าใจได้
ทว่าฮ่องเต้จักฟังคำกล่าวของนางหรือ ?
ใบหน้าอันอิงเฉิงเป็นทุกข์ เขาฝืนยิ้มอย่างยากลำบาก “มิจำเป็น พ่อรู้ว่าเจ้าต้องการกล่าวสิ่งใด”
หลังจากนั้นเขาก็จัดชุดให้เรียบร้อยแล้วหันไปมองขันที “ข้าเตรียมตัวเสร็จแล้ว กงกงเชิญ”