พร้อมกับใจที่เต้น สายตาของคนมากมายก็หลุบลงหลบไป
น้อยนักถึงจะมีคนกล้าสบตากับลู่อวิ๋นฉีโดยไม่หลบสายตา
ประการที่หนึ่งฐานะของเขาทำให้คนหวาดกลัว ประการที่สองคือท่าทางของเขา
เขา พูดจริงๆ แล้วไม่น่าเกลียด แต่ไม่รู้ว่าเพราะหน้าตาไร้ความรู้สึกหรือดวงตาที่เย็นชามาตั้งแต่เกิด ทำให้คนมองอย่างไรก็รู้สึกว่าไม่สบาย
ดังนั้นหลังมองเห็นลู่อวิ๋นฉีมาถึง สายตาของบรรดาชาวบ้านก็ลุกลี้ลุกลนหลบไป
คุณหนูจวินไม่ได้หลบ ความรู้สึกของบรรดาชาวบ้านไม่ใช่ความรู้สึกขององค์หญิงจิ่วหลิง ไม่ว่าก่อนหน้าหรือหลังแต่งงาน
ก่อนหน้าลู่อวิ๋นฉีดุร้ายเพียงใดก็เป็นเพียงแค่ขุนนางคนหนึ่ง
ส่วนหลังแต่งงานเขาอยู่ต่อหน้านางยิ่งอ่อนโยนเป็นมิตร
คุณหนูจวินกำมือที่อยู่ด้านหน้าร่างแน่นอีกครั้ง
“ไม่พบหน้ากันนานจริงๆ! เจ้ายังไม่เปลี่ยนสักนิดเลยนะ ยังคงประหยัดคำดั่งทองเช่นนี้” เสียงของจูจั้นบนถนนใหญ่อันเงียบสงัดดังกังวาน “ทำไมเห็นคนแม้กระทั่งทักทายก็ไม่ทักแล้วเล่า?”
จูจั้นกับลู่อวิ๋นฉีสนิทกันหรือ?
คุณหนูจวินความสงสัยนี้แวบผ่านไป แต่ไหนแต่ไรไม่เคยได้ยินลู่อวิ๋นฉีพูดถึงมาก่อน
แล้วยังประหยัดคำดั่งทอง คำวิจารณ์นี้ทำให้คุณหนูจวินแปลกใจนัก
ที่แท้เขาก็เป็นคนประหยัดคำดั่งทองคนหนึ่งงั้นหรือ
ตอนอยู่กับตัวเองคำพูดไม่น้อยเลย
ตอนแรกแต่งงานกับตนเอง ลำบากเขาแล้วจริงๆ ยังต้องแสร้งทำขัดกับการกระทำนิสัยดั้งเดิม
ยืนอยู่ด้านหลังผู้คน มองผ่านช่องว่างระหว่างหมู่คนที่เคลื่อนไหวไปมา คุณหนูจวินมองลู่อวิ๋นฉี
ลู่อวิ๋นฉียังคงหน้าไร้อารมณ์ไม่มีทีท่าจะเอ่ยวาจา มองจูจั้นทีหนึ่งก็เพียงโคลงศีรษะไปมาเล็กน้อย
เขาโคลงศีรษะนิดหนึ่งบรรยากาศฉับพลันชะงักนิ่ง บรรดาองครักษ์เสื้อแพรยกดาบพุ่งเข้าใส่จูจั้นพร้อมเพรียง ในดวงตาของพวกเขามีเพียงจูจั้น ทหารที่ขวางอยู่ด้านหน้าตัวจูจั้นเหล่านั้นมองดั่งไม่เห็น
พวกเขาขอเพียงจับคนผู้นี้ได้ คนผู้อื่นในสายตาพวกเขาล้วนไม่ใช่คน ก็แค่ของชิ้นหนึ่ง ขวางทางอยู่ถีบล้มฟันล้มก็พอ
ใต้เท้าอู่ที่นำบรรดาทหารอยู่สีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ท่าทางตัดสินใจแน่วแน่อยู่บ้าง
ไม่คิดว่าสองฝ่ายเพิ่งพบหน้ากันสักประโยคยังไม่ทันเอ่ยก็จะสู้กันขึ้นมาแล้ว หัวหน้ากองพันลู่ทำสิ่งใดเด็ดขาดตามอำเภอใจจริงๆ บรรดาชาวบ้านฮือฮาทีหนึ่งหนีกระจัดกระจาย
คุณหนูจวินถูกฝูงชนพุ่งชนเอนซ้ายเอียงขวาถอยไปที่มุมกำแพง ยังคงมองด้านนั้น
ท่ามกลางความวุ่นวายพลันมีเสียงกีบเท้าดังขึ้นมา พร้อมกับเสียงตวาด
“หยุดมือ!”
คุณหนูจวินมองไป เห็นคนขี่ม้าขบวนหนึ่งมาอีก
“คนของกรมทหารม้าห้าเมืองก็มาแล้ว!”
“ครั้งนี้สู้กันยิ่งสนุกแล้ว”
“พวกเขาช่วยใคร?”
บรรดาชาวบ้านที่หลบอยู่มุมกำแพงถกกันเสียงเบา
แต่ที่ทำให้พวกเขาเสียดายก็คือ คนของกรมทหารม้าห้าเมืองไม่ได้มาช่วย แต่คุ้มครองขันทีชุดแดงอายุสี่สิบกว่าปีคนหนึ่งมา
“หยุดมือ หยุดมือ! นี่ทำอะไรกันเนี่ย!” เขาตะโกนเสียงแหลม สีหน้าทั้งโกรธทั้งหวาดกลัว
เสียงของเขายังไม่ทันจบลงก็มีคนร้องตะโกนขึ้นมาด้วย
“กงกง กงกง! ช่วยด้วย! ใต้เท้าลู่จะฆ่าข้าแล้ว!”
นอกจากจูจั้นยังเป็นใครได้
ตัวเขาก็วิ่งมาถึงตรงหน้าขันทีผู้นี้ จับแขนเสื้อของขันทีไว้
เหมือนกับเด็กน้อยที่หาเรื่องแล้วถูกไล่ตี
ภาพเช่นนี้ท่านขันทียังคงจำได้อยู่บ้าง หลายปีก่อนหน้านี้ก็เหมือนจะมีภาพเช่นนี้
เด็กน้อยกำลังโตคนหนึ่งล้มลุกคลุกคลานมากอดขาเขาไว้
“ช่วยด้วย กงกง ข้าจะถูกคนที่แสร้งเรียกตนเป็นองค์ชายคนนั้นตีตายแล้ว” เขาร้องเสียงสลด แทบจะทำคนตกใจยืนไม่อยู่
แต่คนที่ปากเขาว่าจะตีเขาตายกลับนอนอยู่บนดินกุมหน้าเลือดเต็มพื้น
ท่านขันทีคิดถึงเรื่องครั้งนั้นก็อดไม่ได้หนังหัวชาขึ้นมา ‘เฮ้อ ท่านบรรพบุรุษ! ทำไมอายุยี่สิบสองยังเหมือนกับอายุสิบสองอีกเล่า’
“ท่านชาย ท่านตอนนี้ไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว อย่าก่อเรื่องเช่นนี้” เขาถอนหายใจเอ่ยขึ้น
จูจั้นมองเขา ร้องเอ๋ขึ้นมา
“ตู้กงกง ท่านเองหรือ” เขาเอ่ยขึ้น สีหน้าดีใจทั้งยังซาบซึ้ง “เป็นท่านช่วยข้าอีกแล้ว”
ท่าทางเขายังอยากเข้ามากอดเขา ตู้กงกงอดไม่ได้ตัวสั่น
เขาเป็นขันที คนมากมายล้วนหลบหลีกเขาแทบไม่ทัน ต่อให้ประจบในใจก็ยังรังเกียจ ยิ่งไม่ยินดีสัมผัสบนร่างกายของพวกเขา
จูจั้นคนนี้กลับไม่สนใจสักนิด
ตู้กงกงในใจรู้สึกอบอุ่นอย่างไม่มีสาเหตุทั้งยังไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง ถอยหลังหลบพ้นจูจั้น สีหน้าอ่อนโยนขึ้นมา
“ท่านชายจู ท่านไม่ต้องก่อเรื่องแล้ว ใต้เท้าลู่ทำไมต้องจับท่าน ตัวท่านเองรู้อยู่แก่ใจ” เขาเอ่ย
“ข้ารู้สิ” จูจั้นว่า สีหน้าตั้งใจไม่มีล้อเล่นสักนิด “ดังนั้นข้าจะไปอธิบายกับฝ่าบาทขออภัยโทษ ท่านรีบพาข้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทที”
เขาว่ามองลู่อวิ๋นฉีด้านนั้นทีหนึ่ง
ลู่อวิ๋นฉียังคงสีหน้าไร้อารมณ์มองเขา
“ท่านดูสิ เขาน่ากลัวเพียงใด ข้าไม่อยากถูกเขาพาไปหรอก” จูจั้นเอ่ยขึ้น
ลู่อวิ๋นฉีน่ากลัวมาก
แต่เขาทำเจ้ากลัวได้รึ ในใจท่านขันทีถอนหายใจ ท่านแม้กระทั่งองค์ชายบอกจะต่อยยังต่อยมาแล้ว ต่อยเสร็จยังทำท่าบริสุทธ์ได้อีก ใครยังจะสู้ท่านได้
ท่านช่างมีบิดาดีคนหนึ่งจริงๆ นะ
“ใต้เท้าลู่” ท่านขันทีมองไปทางลู่อวิ๋นฉี ยกมือคำนับ “ฝ่าบาทมีรับสั่ง เรียกท่านชายจูเข้าวัง”
ลู่อวิ๋นฉียื่นมือออกมา
ท่านขันทีรับรู้ทันทีหยิบหนังสือรับสั่งออกมา องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งก้าวเข้ามาข้างหน้าอ่านตรวจอย่างละเอียด หันกายไปพยักหน้ากับลู่อวิ๋นฉี
ลู่อวิ๋นฉีโบกมือ บรรดาองครักษ์เสื้อแพรเก็บดาบเข้าฝักพรึบพรับพร้อมเพรียง หลีกทางออก
“ท่านชาย เชิญ” ท่านขันทีเอ่ยขึ้น
จูจั้นรับคำ
“ตู้กงกง เชิญ” เขาเอ่ยขึ้นอย่างมีสัมมาคารวะ ไหนเลยยังเผยท่าทางอันธพาลอย่างเมื่อครู่สักนิดอีก
สองคนเดินมุ่งหน้าไปยังวังหลวงท่ามกลางวงล้อมของกรมทหารม้าห้าเมือง
“ตู้กงกง พวกเราไม่พบหน้ากันหลายปีแล้ว ท่านไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด มีกำลังวังชาเสียยิ่งกว่าเจ็ดแปดปีก่อน”
“ตู้กงกง ป้ายห้อยเอวนี่ของท่าน เลื่อนมาถึงขั้นนี้แล้วหรือ ร้ายกาจเหลือเกินจริงๆ”
“ตู้กงกง ท่านชอบดื่มชาอะไร? ท่านดูสิข้ามารีบร้อน อะไรก็ไม่ได้พกมา…”
เสียงพร่ำพูดตั้งแต่พวกเขายกเท้าก้าวเดินไม่เคยหยุดลง ท่านขันทีโดนพูดใส่จนอดยิ้มไม่ได้ รีบตีหน้าขรึมอีกครั้ง
“ท่านชาย กฎระเบียบยามออกมาปฏิบัติงานของพวกเรา พูดคุยไม่ได้นะ” เขาว่า
จูจั้นทำสีหน้าสำนึกผิด ประสานมือให้เขา สีหน้าจริงจัง น่าเอ็นดูสักคำก็ไม่พูดอีก
น่าเอ็นดู
แสร้งน่าเอ็นดูเสียมากกว่า
ตู้กงกงในใจย่อมไม่กล้ามองเขาเป็นคนน่าเอ็นดูเข้าจริงๆ พ่อเจ้าประคุณไม่แน่ว่าที่ไหนสักที่วางกับดักเจ้าอยู่
มองพวกเขาจากไปไกลบนถนนใหญ่ ใต้เท้าอู่ก็โบกมือ
“ไปไป ไปเฝ้าประตูเมือง” เขาเอ่ยขึ้น เหมือนกับไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น มองก็ไม่มองเหล่าองครักษ์เสื้อแพรด้านนั้น พวกทหารก็วิ่งเร็วรี่ไปแล้ว
บนถนนใหญ่เหลือเพียงพวกลู่อวิ๋นฉี ชาวบ้านที่สลายตัวไปล้วนลอบมองอย่างระมัดระวังจากรอบด้าน
องครักษ์เสื้อแพรต้องการจับคน แรกเริ่มถูกทหารกลุ่มหนึ่งขัดขวาง ต่อมาคนที่ถูกจับก็ร้องว่าต้องการเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ฮ่องเต้ก็ส่งคนมารับเขาจริงๆ
นานปีขนาดนี้ ยังเพิ่งเคยเห็นพวกองครักษ์เสื้อแพรเหล่านี้เสียหน้าเป็นครั้งแรก
สายตาของบรรดาชาวบ้านประหลาดใจทั้งยังแฝงความตื่นเต้นอยู่บ้าง
“ใต้เท้า จะให้จบเช่นนี้หรือขอรับ?” หัวหน้ากองร้อยเจียงเอ่ยขึ้นเสียงเบา
ลู่อวิ๋นฉีมองเขาทีหนึ่ง
“ธุระของพวกเราทำเสร็จแล้ว” เขาว่า “แน่นอนย่อมจบแล้ว”
ธุระของพวกเขาทำเสร็จแล้ว?
จูจั้นยังจับไม่ได้ หากไปถึงหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ ขุนนางที่จะพูดให้ย่อมมีโขยงใหญ่ ถ้าอย่างนั้นพวกเขาองครักษ์เสื้อแพรอยากสอบสวนจูจั้นก็ยิ่งยากแล้ว
หัวหน้ากองร้อยเจียงขมวดคิ้ว
ลู่อวิ๋นฉีขึ้นม้าหัน หัวม้าไปแล้ว
“ฝ่าบาทให้พวกเราคุมจูจั้นเข้าเมืองหลวง จูจั้นตอนนี้ไม่ใช่กลับมาแล้วหรือ” เขาว่า
แบบนี้ก็ได้หรือ
หัวหน้ากองร้อยเจียงรีบขึ้นม้าตาม ลู่อวิ๋นฉีมองเขาทีหนึ่ง
“พวกเราฟังคำฝ่าบาท” เขาว่า
คำพูดของเขาน้อยนัก ยังดีลูกน้องล้วนคุ้นเคยเสียแล้ว
พวกเราฟังคำฝ่าบาท
ฝ่าบาทให้ทำสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้น ให้ทำก็ทำ ให้หยุดก็หยุด
ส่วนความคิดของผู้อื่น ผายลมก็ไม่ใช่
หัวหน้ากองร้อยเจียงยิ้มขานรับ ส่งสัญญาณให้ผู้คนขึ้นม้า
“กลับกรมสืบสวนฝ่ายเหนือ” เขาเอ่ย
มองเหล่าองครักษ์เสื้อแพรเหล่านี้จากไปบนถนนใหญ่ บรรดาชาวบ้านล้วนเดินออกมาจากที่ซ่อนตัว ถกเถียงชี้นิ้ว ฉับพลันขบวนด้านหน้าก็หยุดลง ลู่อวิ๋นฉีที่อยู่ตรงกลางหันหน้ากลับมา
ฝุงชนวุ่นวายราวกับพริบตาถูกแช่แข็ง เงียบกริบ
สายตาของลู่อวิ๋นฉีกวาดผ่านชาวบ้านรอบด้านข้างหลังร่าง ชายหญิงผู้เฒ่าเด็กน้อยยากจนร่ำรวย บ้างตระหนกลนลานบ้างหลบบ้างประจบบ้างสีหน้าไร้อารมณ์
“ใต้เท้าทำไมหรือขอรับ?” หัวหน้ากองร้อยเจียงเอ่ยถาม มองไปข้างหลังทีหนึ่งบ้าง “มีสิ่งใดไม่ถูกต้องหรือขอรับ?”
ลู่อวิ๋นฉีไม่ได้เอ่ยวาจา
ใต้เท้าเดิมทีก็ไม่ชอบพูดอยู่แล้ว หัวหน้ากองร้อยเจียงไม่ถามต่อ
แต่ลู่อวิ๋นฉีกลับเอ่ยปาก
“ข้ารู้สึก…” เขาพลันเอ่ยขึ้น
อยู่ดีๆ เขาก็รู้สึกว่ามีคนมองเขาอยู่
……………………………………….