“ถ้าผมได้ยินว่าตระกูลเฉวียนพูดถึงหลินเฉี่ยนอีก คุณจะไม่ได้กลับที่ปักกิ่งอีกต่อไป”
หลังจากพูดจบ หลี่จิ่นก็ไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อแม้แต่วินาทีเดียวพร้อมหันไปถามหลินเฉี่ยน “คุณมีอะไรจะพูดไหม”
หลินเฉี่ยนมองคุณนายเฉวียนก่อนส่ายหน้า “ไม่ค่ะ”
“งั้นก็ไปกันเถอะครับ” สิ้นเสียง หลี่จิ่นก็ลุกขึ้นและส่งมือให้หลินเฉี่ยน
เธออึ้งไปเล็กน้อยหากแต่ก็จับมือเขากลับทันที
ในจังหวะที่ทั้งสองหันหลังเดินจากไป คุณนายเฉวียนไม่อาจสะกดกลั้นอารมณ์โกรธของตัวเองไว้ได้อีกต่อไป พร้อมกล่าวขึ้นเสียงใส่หลี่จิ่น “ฉันคิดว่าคุณควรตัดสินใจที่จะคบหากับหลินเฉี่ยนซะใหม่นะคะ ถึงยังไงคนที่อ่อยได้แม้กระทั่งพี่ชายของตัวเองก็คงไม่ดูดีนักหรอกนะคะ”
“แต่เท่าที่ผมทราบมา ลูกชายคุณเป็นฝ่ายตามตื๊อหลินเฉี่ยนไม่เลิกเองนะครับ” หลี่จิ่นตอบเสียงเรียบก่อนจะโอบแขนรอบเอวหลินเฉี่ยนและพาเธอออกไปจากบ้าน
คุณนายเฉวียนกรุ่นโกรธจนหอบโยนไปทั้งตัว หากแต่เธอไม่อาจทำอะไรได้ ใครบอกให้หลี่จิ่นเป็นถึงนายพลกันล่ะ
จริงอยู่ที่ตระกูลเฉวียนร่ำรวย แต่พวกเขาไม่ได้กล้าหาญพอที่จะลองดีกับคนที่มีอำนาจ เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาจะไม่อยากมีหน้าอยู่ในปักกิ่งอย่างที่หลี่จิ่นลั่นปากไว้
แต่ทว่าเธอจะยอมให้หลินเฉี่ยนมีที่พึ่งที่ยากจะต้านทานไปได้อย่างไร
…
วิธีที่หลี่จิ่นใช้อาจจะดูเหมือนสิ่งที่ผู้ชายอวดเก่งทำกันบ่อยๆ ซึ่งหญิงสาวหลายคนชื่นชอบและหลินเฉี่ยนก็เช่นกัน
หลินเฉี่ยนยังคงพิงตัวกับหลี่จิ่นด้วยท่าทีหลงใหล และอีกฝ่ายก็ไม่ได้เอามือออกจากเอวของเธอ ในตอนนี้เองที่รถของเฉวียนจื่อเยี่ยขับเข้ามาในบ้านและจอดตรงหน้าพวกเขา ทันทีที่เห็นทั้งสอง เขาชะงักไปเล็กน้อย แต่สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนเป็นผิดหวังทันที
“เธอตัดสินใจจะออกจากตระกูลเฉวียนแล้วเหรอ”
“ใช่” หลินเฉี่ยนพยักหน้า “ฉันทนโดนพวกเขาเหยียดหยามมานานมากพอแล้ว”
“เธอคิดว่าฉันก็ดูถูกเธอเหมือนกันเหรอ”
หลินเฉี่ยนไม่ตอบคำถามของเขา แต่กลับเป็นหลี่จิ่นที่ทำหน้าที่แทน
“ถึงคุณไม่ได้ดูถูกเฉี่ยนเฉี่ยน แต่ตลอดหลายปีมานี้คุณก็ปกป้องอะไรเธอไม่ได้เลย”
พูดจบหลี่จิ่นก็พาเฉี่ยนเฉี่ยนเดินหนีไป ทันทีที่ก้าวขึ้นมาในรถหลี่จิ่น พวกเขาถือได้ว่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตระกูลเฉวียนอีกต่อไป
“ขอบคุณนะคะ” หลินเฉี่ยนเอ่ย
“ผมมีบางอย่างที่ต้องทำ เดี๋ยวผมจะไปส่งคุณที่บ้านก่อน ผมไม่ได้ผิดคำพูดที่บอกไว้ว่าสองชั่วโมงนะครับ” ท่าทีของหลี่จิ่นเย็นชา เขาไม่เสียเวลาพูดจาหวานหูทั้งยังทำแบบนั้นไม่เป็น
หลินเฉี่ยนพยักหน้ารับ ตั้งแต่ที่เธอก้าวเข้าไปในบ้านตระกูลเฉวียนจนเดินออกมา ความรู้สึกหลากหลายซับซ้อนได้ถาโถมเข้ามาในใจเธอ
ในเวลานี้ สิ่งที่เธอต้องการที่สุดคือการสงบใจตัวเองลง
“อีกสามวันผมจะกลับเข้าไปประจำการในค่ายนะ”
“ฉันจะติดต่อคุณได้ยังไงคะ” หลินเฉี่ยนถาม
“ไม่จำเป็นหรอกครับ ผมทำหน้าที่เสร็จแล้ว เดี๋ยวผมจะกลับไปหาเอง” ว่าแล้วหลี่จิ่นก็ส่งหลินเฉี่ยนลงที่บ้านก่อนขับรถออกไปจนลับตาอย่างรวดเร็ว
ลึกๆ แล้ว หลินเฉี่ยนอยากจะเอ่ยเตือนเขาให้ดูแลแผลของตัวเองที่ถูกยิงก่อนหน้านี้
เธอไม่อาจอธิบายได้ว่าทำไมทันทีที่หลี่จิ่นจากไป ความอุ่นใจที่ได้สัมผัสถึงได้จางหายไปเสียหมด
หรือเป็นเพราะว่าเขาเป็นนายทหาร เธอจึงเชื่อใจและมีเขาเป็นที่พึ่งโดยไม่รู้ตัว
พวกเขาเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน หากมันเป็นจริงดังนั้น หลี่จิ่นก็น่ากลัวเกินไปแล้ว
…
ภายในบ้านตระกูลเฉวียน
ทันทีที่เฉวียนจื่อเยี่ยกลับมาถึงบ้าน คุณนายเฉวียนก็ปรี่เข้ามาหาเขาทันที “หลินเฉี่ยนไปเกี่ยวข้องกับคนที่เส้นใหญ่ขนาดนั้นตอนไหนกัน ลูกไม่รู้เรื่องนี้เลยเหรอ”
“มันเป็นเรื่องของเธอครับ” เฉวียนจื่อเยี่ยตอบพลางเดินตรงไปที่ห้องนอนของตัวเอง
“นายพลคนนั้นข่มขู่แม่นะ! เขาบอกว่าถ้าแม่พูดถึงหลินเฉี่ยนอีก แม่จะไม่ได้กลับมาที่ปักกิ่งอีกต่อไป”
ในที่สุดเขาก็รู้ตัวว่าตลอดหลายปีมานี้ ที่เขาไม่อาจปกป้องหลินเฉี่ยนได้เพราะตัวเองเขาไม่เคยเผชิญหน้ากับสถานการณ์ด้วยมุมมองเช่นนี้
หากแต่หลี่จิ่นทำได้
“เยี่ยมไปเลยครับ!”
สิ้นคำ เฉวียนจื่อเยี่ยก็เดินเข้าห้องตัวเองก่อนปิดประตู ในที่สุดทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบงัน เป็นเวลาเดียวกับที่ชื่อของหลินเฉี่ยนได้เลือนหายไปจากโลกของเขาเช่นกัน
…
หลังจากกลับมาถึงบ้าน หลินเฉี่ยนก็บอกซิงหลานเรื่องที่หลี่จิ่นช่วยเธอแก้ปัญหาเรื่องเงินสามสิบล้าน อีกฝ่ายถึงกับอึ้งไปอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง คนที่หลินเฉี่ยนพูดถึงคือลูกพี่ลูกน้องผู้สันโดษของเธอจริงๆ หรือ
“เขาก็ไม่ได้แย่นี่คะ แถมยังมีความสามารถตั้งหลายอย่าง ทำไมลุงของฉันถึงกังวลว่าเขาจะหาภรรยาไม่ได้นักล่ะ”
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะคะ” หลินเฉี่ยนยักไหล่ “แต่เรื่องที่เขาช่วยเหลือฉันทุกอย่าง รวมทั้งเงินสามล้านนั้นด้วย ฉันไม่มั่นใจว่าควรจะตอบแทนเขายังไงเลยค่ะ”
“คุณก็ตอบแทนเข้าด้วยตัวของคุณไงคะ” ซิงหลานหัวเราะ “ถึงยังไงก็อย่าลืมว่าวันนี้ซย่าหันโม่จะกลับมานะคะ และพี่หนิงบอกให้คุณไปรับเธอที่สนามบินด้วยค่ะ”
“พระเจ้าช่วย ฉันเกือบลืมไปเลย” หลินเฉี่ยนลุกขึ้นทันที ก่อนคว้าของจำเป็นและพรวดพราดออกไปจากห้องพัก
…
ด้วยการประชาสัมพันธ์จากไห่รุ่ย ผู้รอดชีพได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นภาพยนตร์ที่น่าจับตามองมากที่สุด
ทว่าโม่ถิงไม่หยุดเพียงเท่านั้น เมื่อพิจารณาแล้วว่ายังคงมีเวลาเหลือกว่าจะถึงวันออกฉาย เขาตัดสินใจช่วยซิงหลานขึ้นอีกนิด เขาหาคนมาแต่งเพลงเนื้อหากินใจและให้เธอร้อง เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ชื่อว่าผู้รอดชีพ
หลังจากรู้ข่าวนี้ ซิงหลานถึงกับดีใจจนสติแตกด้วยความตื่นเต้น
ถึงอย่างไรการมีชื่อของเธอปรากฏในภาพยนตร์เรื่องเดียวกับถังหนิงก็เป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจอย่างแท้จริง
หลังจากได้ฟังตัวอย่างเพลงของตัวเอง ซิงหลานรีบไปที่ห้องอัดเสียงทันที
ด้วยเธอไม่อาจช่วยในเรื่องอื่นๆ ได้ การถ่ายทอดเพลงนี้ออกมาให้ดีที่สุดจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะแสดงความขอบคุณกับถังหนิง
ในครั้งนี้ไม่มีคนมาคอยหักคะแนนเธอ ไม่มีคู่แข่ง และไม่มีใครมาขัดขวางการเข้าฉายของภาพยนตร์ ความจริงแล้ว แฟนๆ ไม่ได้ต่อว่าหรือมีข้อกังขาแต่อย่างใด ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น หากแต่ถังหนิงกลับไม่ได้ปรากฏตัวแม้แต่น้อย
ผู้กำกับทุ่มเทอย่างหนักในการประชาสัมพันธ์ ผู้รอดชีพ และแฟนๆ ต่างให้ความสนใจอย่างใกล้ชิด ในขณะที่ถังหนิงใช้เวลานี้ในการจัดการกับปัญหาเรื่องเทคนิคพิเศษร่วมกับทีมงานของตัวเอง
สองวันก่อนเข้าฉาย ผู้กำกับติดต่อถังหนิงผ่านโม่ถิง “ผมรู้ว่าวงการนี้ทำให้คุณต้องเจ็บปวดมามาก และผู้คนก็พากันเข้าใจคุณผิด แต่เพื่อหนังเรื่องสุดท้ายของคุณ กรุณาเข้าร่วมงานรอบปฐมทัศน์ในฐานะนักแสดงได้ไหมครับ
“แสดงให้ทุกคนรู้ว่าเห็นถึงการเป็นนักแสดงหญิงยอดเยี่ยม และมาร่วมยินดีกับความพ่ายแพ้ของคนที่เคยดูถูกคุณเอาไว้”
ถังหนิงไม่ได้พูดอะไรออกไปแม้แต่คำเดียว
“อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธผมเลยครับ ผมจะเว้นที่ไว้ให้คุณและเฝ้ารอที่จะเห็นคุณที่นั่นนะครับ”
ถังหนิงยังคงนิ่งเงียบและไม่ได้ตอบตกลงแต่อย่างใด
เธอไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่จำเป็นนัก
เธอไม่ได้ยังอยู่ในวงการภาพยนตร์อยู่หรือ
บางสิ่งเคยมีความหมายกับเธอมาก ทว่าในตอนนี้เธอต้องการใช้เวลากับการศึกษาเทคนิคพิเศษมากกว่า ด้วยวิธีนั้น หลังจากผู้รอดชีพเข้าฉาย ผู้คนจะมีภาพยนตร์ที่น่าตื่นตาตื่นใจมากกว่านี้ให้ได้เฝ้ารอกัน ภาพยนตร์ที่ชื่อว่า ดินแดนชำระบาป