ดวงพระเนตรของอัครมเหสีฉู่ทรงแดงขึ้นอย่างน่าประหลาดโดยหางพระเนตรซึมขึ้นด้วยน้ำตาอันร้อนแต่ก็ทรงแย้มพระสรวล “หากว่าเจ้าไม่รังเกียจก็ถือซะว่าข้าเป็นท่านแม่ของเจ้า เพียงแค่เจ้าเหนื่อยแล้วอ่อนหล้าแล้ว เจ้าสามารถมาที่ข้านี่ได้ตลอดเวลาเลย”

ร่างเยี่ยเฟิงนั้นตรงทื่อ

ราวกับว่ากลั้นน้ำตาอย่างสุดชีวิตเขาจึงสามารถกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้

“ขอบคุณฮูหยินที่รักใคร่ เพียงแต่ว่าเยี่ยเฟิงไร้วาสนาที่จะได้รับ”

เขาทั้งสกปรกและอัปมงคล ผู้ที่อยู่กับเขาไม่มีทางลงเอยด้วยดีได้

ด้วยคำพูดนี้ของนางเขานั้นมีความสุขและพอใจยิ่งนักแล้ว

เมื่อได้ยินเช่นนี้อัครมเหสีฉู่ก็ทรงรู้สึกว่างเปล่าในพระทัย ไม่รู้ว่าเนื่องด้วยเหตุใดพระนางทรงปวดใจต่อเยี่ยเฟิง แม้เพียงแค่เยี่ยเฟิงขมวดคิ้วก็สามารถทำให้พระนางเจ็บปวดพระทัยราวกับถูกเข็มทิ่มแทง

โดยเฉพาะท่าทางที่เขาพยายามจะอดกลั้นสุดชีวิต……

ความสงสัยได้บังเกิดขึ้นในพระทัยอีกครั้ง

อัครมเหสีฉู่ทรงถามอีกครั้งว่า “ปีนี้เจ้าอายุสิบเก้าปีจริงๆหรือ? เจ้าบอกว่าเจ้าป็นเด็กกำพร้าแล้วเป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้าจะจำผิด หรือว่ามีคนบอกเจ้าผิดพลาดไป?”

“ท่านยายของข้าไม่มีทางโกหกข้า”

“แล้วเจ้าเกิดในเดือนใด? เกิดในฤดูใบไม้ร่วงหรือเปล่า?”

“ไม่ใช่ ข้าเกิดในฤดูใบไม้ผลิ”

กู้ชูหน่วนสงสัยว่าพวกเขาเป็นแม่ลูกกัน เมื่อได้ยินประโยคนี้ก็อดไม่ได้ที่จะมั่นใจมากยิ่งขึ้น

ท่านยายเยี่ยเคยบอกว่าพวกเขาเก็บเยี่ยเฟิงได้ที่ใต้ต้นเยี่ยเฟิงในลานทาสซึ่งกำลังเป็นฤดูใบไม้ร่วง

ในเมื่อเป็นฤดูใบไม้ร่วงเหตุใดเยี่ยเฟิงถึงบอกว่าเขาเกิดในฤดูใบไม้ผลิ?

อัครมเหสีฉู่รู้สึกคล่องพระทัยราวกับว่าหากถามไม่ได้ผลลัพธ์พระองค์ทรงไม่ยอมแพ้ “เจ้าเกิดในฤดูใบไม้ผลิ เหตุใดถึงชื่อเยี่ยเฟิง?”

“ข้าชื่อเยี่ยเฟิง เฟิงที่หมายถึงสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิมิใช่ต้นเยี่ยเฟิง ฮูหยินรักษาตัวด้วย……”

เยี่ยเฟิงกลัวว่านางจะถามต่อไปอีกแล้วตนเองไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรจึงทำได้เพียงรีบเร่งจากไป

ในใจของเขามีคำพูดมากมายก่ายกองก็ทำได้เพียงแปรเปลี่ยนไปเป็นรักษาตัวด้วยเท่านั้นเอง

ชั่วขณะที่หันหลังกลับน้ำตาของเขาก็ไม่สามารถกลั้นไว้ได้อีกต่อไป ราวกับไข่มุกที่หลุดขาดร่วงลงมาทีละเม็ดๆ

เพียงแต่ว่าน่าเสียดายที่อัครมเหสีฉู่ทรงทอดพระเนตรไม่เห็น ทรงทอดพระเนตรเห็นเพียงแค่แผ่นหลังซูบบางเร่งรีบพุ่งจากไปเท่านั้น

“เยี่ยเฟิง……” อัครมเหสีฉู่ทรงไม่ได้สนพระทัยในภาพลักษณ์ไล่ตามไปอย่างรุนแรง ในพระโอษฐ์ก็ตะโกนเรียกชื่อเยี่ยเฟิงอย่างต่อเนื่อง เกรงว่าหากหันหลังกลับชั่วชีวิตนี้ก็จะไม่สามารถเห็นเยี่ยเฟิงอีกแล้ว

อาจเป็นเพราะวิ่งอย่างรีบร้อนเกินไปอัครมเหสีฉู่จึงได้ทรงล้มลงกับพื้น ฝ่าพระหัตถ์ถูไปกับพื้นและพระโลหิตก็ไหลออกมาไม่น้อย

เยี่ยเฟิงหยุดฝีเท้าลงชั่วขณะต้องการที่จะไปประคองนาง ทว่าไม่รู้ว่าคิดสิ่งใดออกเขาจึงยังคงเดินหน้าต่อไปโดยไม่กล้าแม้แต่จะหันหลังกลับ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงไปประคองพระองค์

ซิ่งเอ๋อร์และคนอื่นๆตกใจแย่รีบประคองอัครมเหสีฉู่ที่ได้ทรงล้มลง “ฮูหยิน ท่านเป็นเช่นไรบ้างล้มถูกตรงที่ใดหรือเปล่า?”

“เยี่ยเฟิงหล่ะ รีบประคองข้าขึ้น”

“ฮูหยิน คุณชายเยี่ยจากไปแล้ว เขาก้าวเดินไวนักพวกเราตามไม่ทันหรอก”

อัครมเหสีฉู่จับมือของกู้ชูหน่วนอย่างรีบร้อน”แม่นางน้อย เจ้าบอกข้าได้ไหมว่าเยี่ยเฟิงเป็นผู้ใดกันแน่? เขากำลังจะไปที่ใด?”

กู้ชูหน่วนนั้นต้องการเปิดโปงคำโกหกของเยี่ยเฟิง

แต่นางไม่กล้า

เยี่ยเฟิงเองยังไม่กล้ายอมรับ นางซึ่งเป็นคนนอกจะใช้สิทธิ์ใดตัดสินใจแทนเขา?

หากว่าวันนี้นางรู้ความจริงแล้วอ้าแขนรับเยี่ยเฟิง มิเป็นการยอมรับซึ่งกันและกันอย่างมีความสุขของแม่ลูกหรอกหรือ

แต่ว่าเป็นเยี่ยเฟิงที่ไม่ต้องการที่จะทำให้อัครมเหสีแห่งรัฐฉู่ลำบากและอับอายจนต้องฆ่าตัวตายกระมัง

“ข้ารู้จักกับเยี่ยเฟิงได้ไม่นานนัก เรื่องเกี่ยวกับเขาข้าก็ไม่ค่อยรู้มากนัก แต่ว่าฮูหยินวางใจข้าจะไม่ปล่อยให้เขาเกิดเรื่อง”

“เขาบอกว่าเขาจะกลับไปยังหมู่บ้านเสี่ยวเหอรอบหนึ่ง หมู่บ้านเสี่ยวเหออยู่ที่ใด? เขาจะตกอยู่ในอันตรายหรือไม่?”

“ไม่หรอก ข้าจะไปตามเขาไปในตอนนี้ เยี่ยเฟิงเป็นผู้ที่มีจิตใจดีแน่นอนว่าเขาไม่ต้องการเห็นฮูหยินวิตกกังวลต่อเขาฮูหยินสบายใจได้ ฝูกวงพวกเราไปกันเถอะ”

กู้ชูหน่วนกล่าวว่าไปก็ไปเลยโดยไม่กล่าวลาเลยสักคำ

เยี่ยจิ่งหานไม่เคยถูกดูแคลนเช่นนี้มาก่อน

หมายเหตุ

ต้นเยี่ยเฟิง หมายถึงต้นเมเปิ้ล