บทที่ 303: สัญชาตญาณ
“!”
ชั่วขณะหนึ่งจิตใจของโรเอลว่างเปล่า
เขาพูดคำเหล่านั้นถูกกล่าวออกมา ด้วยความตั้งใจที่จะระงับความโกรธของลิเลียน แต่ผลที่ได้กลับกลายเป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายไปมาก
จูบของลิเลียนนั้นงุ่มง่ามและสั่นเครือ บ่งบอกถึงความไม่มีประสบการณ์ของเธอ การกระทำนี้ชัดเจนโดยสัญชาตญาณ ทว่าในขณะที่ริมฝีปากของพวกเขาสัมผัสกัน ความรู้สึกลึกลับก็เริ่มไหลผ่านร่างของโรเอล
มันคือความรู้สึกหลงใหลลึก ๆ อยากใกล้ชิดกับผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้ามากขึ้น แต่โรเอลไม่ใช่คนเดียวที่ได้รับผลกระทบจากแรงกระตุ้นนี้ เพราะทางลิเลียนเองก็เคลื่อนไหวด้วยความตั้งใจเดียวกัน
การจูบดำเนินไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่ความมีเหตุผลจะพุ่งกลับขึ้นมา ทำให้โรเอลรู้สึกตัวได้อีกครั้ง เขารีบคว้าไหล่ของลิเลียน แล้วผลักเธอออกไป
“ฟู ฟู รุ่นพี่ ! ตั้งสติก่อน !”
“โรเอล โรเอล…”
“ใจเย็น ๆ ก่อนรุ่นพี่ พวกเรายังอยู่ในรถม้าอยู่นะ !”
“!”
คำเตือนของโรเอลนำสติสัมปชัญญะกลับมาสู่ดวงตาสีอเมทิสต์ของลิเลียนอย่างช้า ๆ ทว่าเธอยังคงจมอยู่กับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่แก้มของเธอจะเริ่มเรืองแสงสีแดงสด
“ม..ไม่ ไม่ใช่นะ… ฉ…ฉัน…”
“ผมเข้าใจรุ่นพี่ ใจเย็น ๆ ก่อน !”
โรเอลดึงลิเลียนเข้ามากอดพร้อมลูบหลังให้เธอสงบลง สัมผัสอันอบอุ่นของเขาช่วยให้ลิเลียนสงบสติอารมณ์ได้อีกครั้ง ในพื้นที่แคบ ๆ นี้ ทั้งสองคนยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิมอยู่ครู่หนึ่ง ค่อย ๆ สงบลมหายใจที่พลุ่งพล่านของพวกเขาให้กลับสู่สภาวะปกติ
“รุ่นพี่ รู้สึกดีขึ้นแล้วรึยังครับ ?”
“อืม… ฉันขอโทษด้วย สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ฉันรู้สึกอึดอัดมากเหลือเกิน…”
“อย่ากังวลไปเลยครับ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราเจออะไรแบบนี้”
โรเอลปลอบเธออย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่าโรเอลไม่ใช่คนเลวทรามที่จะแสร้งทำเป็นไร้เดียงสา หลังจากได้รับจูบจากลิเลียน แม้ว่าการจูบของลิเลียนจะยังอ่อนประสบการณ์ ชวนให้นึกถึงการจิกของลูกเจี๊ยบตัวน้อยก็ตาม
เดี๋ยวก่อนนะ นี่หมายความว่ามันเป็นจูบแรกของเธอรึเปล่า…
“รุ่นพี่เคยจูบใครมาก่อนรึเปล่าครับ ?”
“…”
บางทีอาจเป็นเพราะอิทธิพลจากอดีตชาติของเขา โรเอลจึงอดไม่ได้ที่จะคิดว่าการจูบครั้งแรกของหญิงสาวนั้นเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง ทำให้เขาต้องถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกไป
ร่างกายของลิเลียนแข็งทื่อเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น เธอเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหัวอย่างเชื่องช้า
ว่าแล้วเชียว
“มันทำให้เธอรู้สึกไม่ดีงั้นเหรอ ? … เธอเกลียดมันรึเปล่า ?”
“ไม่ครับ แน่นอนว่าไม่ !”
โรเอลปฏิเสธอย่างหนักแน่น
จริง ๆ เด็กหนุ่มก็ยังไม่เข้าใจว่าเขาควรจะรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ มันรู้สึกเหมือนกับว่า… ไม่ใช่เรื่องจริง และเขาก็รู้สึกเช่นนั้นมาก่อนหน้านี้แล้ว นับตั้งแต่ที่ได้รู้ว่าลิเลียนเป็นญาติทางพลังสายเลือด ซึ่งความรู้สึกนั้นก็รุนแรงขึ้นไปอีกหลังจากการจูบ
มันอาจจะเป็นเพียงแค่การจิกกัดเล็กน้อย แต่มันก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสนิทสนมอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนสำหรับคนที่มีนิสัยเย็นชาอย่างลิเลียน ขุนนางที่อยากจะเป็นคู่ครองของเธอทั้งหมดในจักรวรรดิออสทีนจะต้องอิจฉาแน่ถ้าพวกเขารู้เรื่องนี้
“ผมเคยได้ยินมาว่า ญาติทางสายเลือดจะรู้สึกถึงความสนิทสนมระหว่างกัน แต่กรณีของเราดูเหมือนว่ามันจะไปไกลกว่านั้นมาก”
“อืม… เป็นไปได้ว่าความรุนแรงของความสนิทสนมแตกต่างกันไปตามพลังทางสายเลือด”
ลิเลียนตั้งทฤษฎีขณะที่เธอนึกถึงความปรารถนาที่เกือบจะบ้าคลั่งในใจ
โรเอลเองก็พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน
โอกาสที่จะมีผู้ปลุกพลังทางสายเลือดของตระกูลแอสคาร์ด สองคนในยุคเดียวกันนั้นน้อยเสียมากจนทำให้พวกเรารู้สึกผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง… ถึงมันจะดูมากเกินไปหน่อยก็ตามที
โรเอลถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
ถึงเขาจะไม่เรียกมันว่าคำสาป แต่มันก็เป็นเรื่องที่น่าหนักใจมากจริง ๆ ที่พลังทางสายเลือดของพวกเขากำลังเขียนทับความคิดเชิงตรรกะ และควบคุมแรงกระตุ้นของพวกเขา ราวกับว่าพวกเขากำลังเผชิญกับชะตากรรมที่ไม่สามารถต่อต้านได้
หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อทั้งสองคนสงบลงจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ได้ โรเอลก็นึกถึงข้อมูลสำคัญชิ้นหนึ่งที่เขาได้รับ
“รุ่นพี่เคยได้ยินเรื่องของ ‘ราชาจอมเวทย์’ พริสเลย์ แม็กเวล มาก่อนไหมครับ ?”
“ราชาจอมเวทย์ ? ไม่ ฉันไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเขามาก่อนเลยนะ เขามาจากยุคไหนล่ะ ?”
“… เขาอยู่ในยุคนี้ครับ”
สีหน้าของโรเอลเคร่งขรึมขึ้นไปอีก เมื่อได้ยินคำตอบของลิเลียน
เขาเริ่มแบ่งปันข่าวกรองที่ตนรวบรวมมาได้จากภาคีแห่งนักบุญกับเธอ ทำให้ใบหน้าของอีกฝ่ายมืดหม่นลงไปเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้รู้ว่าพริสเลย์ เป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 1
ทั้งสองคนเงียบไปพร้อม ๆ กัน
“เราต้องหลีกเลี่ยงเขาไม่ว่าจะกรณีใดก็ตาม”
ลิเลียนกล่าวหลังจากครุ่นคิดถึงบางอย่าง
โรเอล พยักหน้าเห็นด้วยกับคำตัดสินของเธอ
ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 1 เป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกสำหรับมนุษยชาติ ซึ่งพวกเขาไม่มีโอกาสที่จะชนะตัวตนระดับนั้นได้เลย
“มีโอกาสที่พริสเลย์จะเป็นผู้บงการเบื้องหลังภารดรภาพแห่งการกอบกู้ ผมไม่คิดว่าซาร์โทนี่มีพลังหรืออิทธิพลมากพอที่จะก่อการจลาจลครั้งใหญ่แบบนี้ด้วยตัวเองได้”
“ฉันเองก็คิดว่าอย่างนั้น ปัญหาคือเป้าหมายของเขาคืออะไร ? เขาใช้การจลาจลเป็นเหตุผลในการหลบหนีจากแนวหน้างั้นเหรอ ? ไม่ นั่นไม่ถูกต้อง เขาน่าจะใช้เวลาไม่นานในการระงับการจลาจลครั้งนี้ ดังนั้นไม่มีทางที่เขาจะยืดเยื้อมันได้นานแน่”
ลิเลียนพึมพำ
พวกเขาทั้งสองยังไม่สามารถหาข้อสรุปสำหรับเรื่องนี้ได้ บรรยากาศระหว่างพวกเขาเคร่งขรึมมาคุขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนที่ลิเลียนจะโอบกอดโรเอลเบา ๆ มองเข้าไปในดวงตาของเขาและปลอบโยน
“ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 1 อาจจะทรงพลังมากก็จริง แต่มันก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าเขาจะกลับมาเร็ว ๆ นี้ นอกจากนี้เรายังมีพันธมิตรจากสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำให้ถอยกลับไปหาอยู่ด้วยไม่ใช่เหรอ ?”
“ใช่แล้ว รุ่นพี่พูดถูก”
โรเอลตอบพร้อมพยักหน้า
อย่างไรก็ตาม ความสงสัยใหม่ก็ผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็วในจิตใจของเขา
“รุ่นพี่ นี่เป็นครั้งแรกที่คุณได้ยินเกี่ยวกับสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำจริง ๆ งั้นเหรอ ? จากที่ผมได้รู้มา องค์กรนี้เคยเป็นผู้พิทักษ์ของจักรวรรดิออสทีนโบราณมาก่อนนะครับ”
“ใช่ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินเกี่ยวกับพวกเขา ทางเราไม่มีบันทึกเกี่ยวกับพวกเขาเลยที่จักรวรรดิออสทีน เป็นไปได้ว่าอาจมีใครบางคนเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับบันทึกและลบล้างรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำไป”
ลิเลียนตอบพร้อมกับขมวดคิ้ว
เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำฟังดูไม่น่าเชื่อเท่าไหร่สำหรับเธอ แต่ในฐานะที่เป็นเครือญาติสายเลือดของเธอ โรเอลไม่มีทางและไม่สามารถโกหกเธอได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็หมายความว่ามีความลับอันลึกซึ้งซ่อนอยู่รอบ ๆ ตระกูลแอคเคอร์มันน์ที่เธอยังไม่เคยได้รู้มาก่อน
เธอจะต้องจำเรื่องนี้เอาไว้ให้ขึ้นใจ แต่ยังไม่ได้สำคัญมากเท่าไหร่ในตอนนี้
“มุ่งความสนใจของเราไปที่เรื่องในปัจจุบันกันก่อนเถอะ”
ลิเลียนมองโรเอลอย่างลึกซึ้งด้วยดวงตาสีอเมทิสต์ ขณะพูดคำที่ชวนให้นึกถึงคำสาบาน
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พี่สาวจะปกป้องเธอเอง”
…
ในห้องที่มีแสงสลัว แอนโตนิโอมอบอำพันให้แก่บุคคลที่ยืนอยู่ข้างหน้าเขาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“ท่านแอสตริด สิ่งนี้ถูกส่งมาให้เราโดยกองทหารที่บาดเจ็บของเรา พวกเขาบอกว่าได้รับมันมาจากทูตศักดิ์สิทธิ์ของภาคีแห่งนักบุญ ดูเหมือนว่าจะเป็นวัตถุที่สร้างขึ้นจากพลังเวทย์และยางไม้ แม้ว่าจะไม่ใช่อุปกรณ์เวทย์ก็ตาม เกี่ยวกับเรื่องนี้…”
เสียงของเขาดังก้องกังวานในห้องโถงที่ถูกปิดมิดชิด
มีสาวงามผมดำคนหนึ่งลอยอยู่ตรงหน้า เมื่อเธอได้ยินสิ่งอันคุ้นเคยและคำอธิบาย เธอก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ มองดูสิ่งของที่อยู่ในมือของแอนโตนิโอ จากนั้นรูม่านตาสีรุ้งของเธอก็กระเพื่อมด้วยความตกตะลึง
“นี่มัน !”
แอสตริดอุทานออกมาด้วยเสียงที่ดัง
เธอรีบลงไปหาแอนโตนิโอเพื่อมองดูอำพันในมือของเขา
“… ทูตศักดิ์สิทธิ์คนนั้นเป็นตัวปลอม เขาเป็นหนึ่งในพวกเรา”
“ตัวปลอม ?”
แอนโตนิโอถามด้วยความประหลาดใจ
แอสตริดพยักหน้าตอบขณะสัมผัสจี้อำพันสีเหลืองอันอบอุ่น
“นี่เป็นหนึ่งในเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำที่ใช้ในสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า คล้ายกับกางเขนย้อนแสงของเจ้า แต่มันถูกสร้างขึ้นโดย ‘พงศาวดาร’ หนึ่งในสมาชิกที่เก่าแก่ที่สุดของสมัชชา มันเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่ไม่ได้ใช้งานมานานหลายศตวรรษเพื่อปกป้องตัวตนของเขา”
“ศตวรรษ ? หมายความว่า…”
…
“ใช่ เมื่อหลายศตวรรษก่อนสมัชชาอยู่ในสภาพที่เฟื่องฟูที่สุด บุคคลที่ครอบครองสิ่งนี้ไม่มีทางเป็นคนทรยศได้ เพราะ พงศาวดารไม่มีทางมอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้ให้ใครกับง่าย ๆ”
แอสตริดยกอำพันอันดามันไทน์ขึ้นไปบนเพดานสีรุ้งแล้วค่อย ๆ เติมพลังเวทย์ของเธอลงไป ในไม่ช้าอักษรอันคลุมเครือก็ถูกฉายลงบนพื้นเบื้องล่าง
“ท่านแอสตริด นี่มัน ?”
“มันเป็นภาษาของเทรนท์ ถึงแม้ว่าข้าจะอ่านมันไม่ออก แต่ข้าคิดว่ามันน่าจะเป็นชื่อของผู้สวมจี้ อำพันอดามันไทน์มีหลายชั้น และชั้นสูงสุดก็คือชั้นที่มีชื่อผู้สวมใส่สลักเอาไว้ มันบ่งบอกว่าบุคคลนั้นได้รับความไว้วางใจจากพงศาวดารอย่างสมบูรณ์”
แอสตริดตอบ
ขณะที่พูดเธอก็หวนนึกถึงการปะทุของพลังเวทย์อันคุ้นเคยที่รู้สึกได้ก่อนหน้านี้ ทันใดนั้นชิ้นส่วนปริศนาก็ปะติดปะต่อรวมกันในหัวของเธอ แต่แทนที่จะรู้สึกโล่งใจ หญิงสาวกลับขมวดคิ้วไม่พอใจแทน
“เขาเป็นทายาทของตระกูลแอสคาร์ด”
“แอสคาร์ด ? หมายความว่าเขาเป็นของคุณ…”
“ใช่ เขาน่าจะมาที่นี่เพื่อใช้ประโยชน์จากความโกลาหลนี้ เขามาเพื่อขโมย ‘ไข่’ ที่คุ้มกันโดยภาคีแห่งนักบุญ เขาต้องเสียสติไปแล้วแน่ ๆ!”
แอสตริดอุทานอย่างกังวล
ไข่ของหกภัยพิบัติมีความสำคัญมากก็จริง แต่สำหรับเธอไม่มีอะไรที่สำคัญมากไปกว่าความปลอดภัยของลูกหลานตระกูลแอสคาร์ด นอกจากนี้ตามสิ่งที่เธอรู้สึกได้ ในเลนสเตอร์มีพวกเขาอยู่ถึงสองคนด้วยกัน
เธอมองไปที่ชายผมสีส้มตรงหน้าและออกคำสั่งอย่างเฉียบขาด
“แอนโตนิโอ เราต้องเปลี่ยนลำดับความสำคัญของเรา ไม่ว่ายังไงก็ตาม เจ้าต้องพาพวกเขามาที่นี่ให้ได้โดยเร็วที่สุด !”