ตอนที่ 247 พูดเรื่องฐานะทางสังคมกับผมเหรอ

เขยที่โดนทิ้ง (แท้จริงแล้วเป็นประธานบริษัท!?)

ตอนที่ 247 พูดเรื่องฐานะทางสังคมกับผมเหรอ?
ตรวจ DNA!

สำหรับตระกูลใหญ่ๆ แล้วการตรวจ DNA เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ!

อย่างไรเสียทรัพย์สินจำนวนหลายแสนหลายล้านล้านไม่ใช่ของเล่นๆ จะให้ลูกของคนอื่นไม่ได้

ส่วนตระกูลเย่นั้นมีวิธีเลี้ยงดูลูกหลานของตัวเองในวิธีที่แตกต่างกันออกไป ถ้าหากว่าไม่ใช่สายเลือดของตระกูลเย่ก็จะไม่อาจได้รับอภิสิทธิ์เช่นนี้

เย่เฉินกล่าวเสียงเรียบๆ “ผมรู้แล้ว เรื่องตรวจ DNA เดี๋ยวผมจะหาเวลาจัดการ”

แล้วเย่เฉินก็กดวางสายไป

เขาไม่ได้ตั้งใจจะตรวจ DNA เลยในตอนนี้ อย่างไรเสียหวังเจียเหยาเพิ่งจะคลอดลูก และเด็กๆ เองก็เพิ่งจะลืมตาดูโลก

อีกทั้งตอนนี้คนตระกูลหลิ่วและหวังต่างก็คอยเฝ้าอยู่ เย่เฉินไม่สามารถเข้าใกล้ลูกตนเองได้เลย

เย่เฉินตั้งใจจะปล่อยให้หวังเจียเหยาพักผ่อนไปสักพัก แล้วเขาค่อยพูดเรื่องตรวจ DNA กับหญิงสาว

เย่เฉินเดินออกจากบันไดหนีไฟกลับไปที่ห้องพักฟื้นแล้วสะกิดหลังฉินหงเหยียน “พวกเรากลับกันเถอะ”

“ค่ะ”

แล้วทั้งสองก็ขับรถออกจากโรงพยาบาลไป

ฉินหงเหยียนพบว่าท่าทางของเย่เฉิน ไม่ได้มีความสุขเหมือนคนเพิ่งได้เป็นพ่อคนก็ถามขึ้นมาว่า

“เย่เฉินทำไมคุณถึงทำหน้าตึงล่ะ? ได้ลูกแฝดชายหญิงคุณไม่ดีใจเหรอคะ?”

เย่เฉินถึงได้ฝืนยิ้มออกมา “เปล่านี่ครับ ผมดีใจมากเลย”

ฉินหงเหยียนจะมองความคิดเขาไม่ออกได้ยังไงกัน?

ในรถไม่มีคนอื่น ฉินหงเหยียนจึงพูดตรงไปตรงมา “เอ่อ… เย่เฉิน คุณกังวลใช่ไหมคะว่า…เด็กๆ จะไม่ใช่ลูกของคุณ?”

หวังเจียเหยาไม่ใช่ผู้หญิงที่ดีนักหนา หล่อนนอกใจเขาอยู่บ่อยๆ แถมยังโกหกจนเป็นนิสัย คำพูดของหล่อนจึงไม่มีน้ำหนัก ไม่น่าเชื่อถือ

แต่เย่เฉินกลับหัวเราะ “เป็นไปได้ยังไงกัน! เด็กๆ ต้องเป็นลูกผมอยู่แล้ว ตอนนั้นที่เราอยากมีลูกกันเป็นช่วงที่เราเพิ่งกลับมาแต่งงานกันใหม่อีกรอบ! ตอนนั้นเราสองคนสวีทหวานแวว อีกทั้งตอนนั้นผมเพิ่งบอกหล่อนไปว่าผมเป็นใคร หล่อนเองก็รู้กฎของตระกูลผมว่าถ้ามีลูกจะต้องตรวจ DNA ด้วย ดังนั้นถึงตอนนั้นหล่อนจะทิ้งผม แล้วไปมีผู้ชายคนอื่นจริงๆ แต่หล่อนไม่น่าจะกล้าทำตัวเหลวไหลเพราะเห็นแก่ทรัพย์สมบัติของตระกูลเย่เรา”

เย่เฉินเข้าใจหวังเจียเหยา หล่อนเป็นผู้หญิงที่เห็นแก่เงินมากกว่าอะไรทั้งนั้น!

ตอนนั้นหวังเจียเหยานอกใจไปหาหลิ่วอวี่เจ๋อ นั่นเพราะตอนนั้นหล่อนท้องแล้ว ตั้งท้องลูกของเขาแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้คิดอะไรมากมาย

ถ้าหากว่าตอนที่หล่อนรู้จักหลิ่วอวี่เจ๋อยังไม่ได้ตั้งท้องลูกของเย่เฉิน ไม่แน่ว่าอาจจะไม่กล้ามีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับหลิ่วอวี่เจ๋อก็ได้

ฉินหงเหยียนฟังการวิเคาระห์พวกนี้ของเย่เฉินแล้ว ทันใดนั้นเองก็รู้สึกว่าเย่เฉินน่าสงสารอย่างมาก

ในฐานะที่เขาเป็นผู้ชายคนหนึ่งลูกของตนเองคลอดออกมาแล้ว เขายังต้องอาศัยการวิเคราะห์แยกแยะต่างๆ กว่าจะสรุปได้ว่าเด็กเป็นลูกของตนเอง คิดแล้วมันยอกแสลงใจ

ฉินหงเหยียนกุมมือเย่เฉินพลางกล่าว “ที่รักคะ ถ้าตอนฉันลอดลูกจะต้องไม่ทำให้คุณมีเรื่องต้องเป็นกังวลมากขนาดนี้ ขอแค่เป็นลูกที่ฉันคลอดเชื่อฉันเถอะนะคะว่าจะต้องเป็นลูกของคุณแน่นอน ไม่มีข้อเป็นไปได้อื่นอีก”

มือข้างหนึ่งของเย่เฉินกำพวงมาลัย แล้วอีกข้างก็จับมือของฉินหงเหยียน

สุดท้ายแล้วก็ยังเป็นฉินหงเหยียนที่ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจและปลอดภัย!

ส่วนสิ่งที่หวังเจียเหยาให้เขานั้นมีแต่ความเสียใจ การทรยศหักหลัง ความสงสัยคลางแคลงใจและเจ็บปวด!

……

แล้วเวลาก็ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์

เย่เฉินรู้สึกว่าหวังเจียเหยาคลอดลูกแล้วพักผ่อนเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว คิดว่าได้เวลาไปโรงพยาบาลแล้ว เพื่อคุยกับหญิงสาวเรื่องแซ่ของลูกและเรื่องตรวจ DNA ด้วย

ดังนั้นเย่เฉินจึงออกไปซื้อผลไม้และของบำรุงให้อีกฝ่ายตั้งแต่เช้าตรู่ แล้วไปโรงพยาบาล

จนไปถึงห้องพักฟื้น VIP เย่เฉินถึงได้พบว่าด้านนอกห้องพักผู้ป่วยว่ามีบอดี้การ์ดสองคน

“นายมาทำไม?”

หนึ่งในบอดี้การ์ดถามเย่เฉิน

เย่เฉินมองประเมินทั้งสองคน คิดไม่ถึงว่าตระกูลหลิ่วจะจ้างบอดี้การ์ดมาด้วย ดูไปแล้วพวกเขาให้ความสำคัญกับหวังเจียเหยาและลูกฝาแฝดของพวกเขาสองคนไม่น้อย

เสียดายว่าเด็กๆ ไม่ได้มีสายเลือดตระกูลหลิ่วของพวกคุณแม้แต่นิดเดียว!

เย่เฉินเองก็ต้องขอบคุณพวกเขา ที่ดูแลปกป้องทายาทตระกูลเย่ของพวกเขาดีขนาดนี้

เย่เฉินกล่าวว่า “ผมมาเยี่ยมหวังเจียเหยากับลูก”

บอดี้การ์ดคนนั้นถามต่อ “แจ้งชื่อกับที่ทำงานมา พวกเราจะเข้าไปแจ้งก่อน นายถึงจะเข้าไปได้”

ดูไปแล้วคนทั่วๆ ไป น่าจะเข้าเยี่ยมหวังเจียเหยาไม่ได้

มันก็ถูกอยู่ เพราะตระกูลหลิ่วมีอิทธิพลมากมายในเทียนไห่ คนที่อยากจะตีสนิท ประจบประแจงพวกเขาย่อมต้องมีมากอยู่แล้ว

พวกนักธุรกิจเหล่านั้นล่วงรู้มาว่าตระกูลหลิ่วมีฝาแฝดชายหญิง ย่อมต้องอยากมาเยี่ยมที่โรงพยาบาลเพื่อประจบคนพวกนี้

ถ้าเป็นแบบนี้ก็จะเท่ากับว่าเป็นการรบกวนการพักผ่อนของหวังเจียเหยาและเด็กๆ ตระกูลหลิ่วจะต้องมารับของขวัญอย่างไร้เหตุผลต่อไปหากไม่ช่วยเหลือพวกเขาก็คงจะไม่ดีนัก

ดังนั้นบอดี้การ์ดสองคนนี้ถึงได้ถามชื่อเสียงเรียงนามและบริษัทของเขา

เย่เฉินเองก็พอเข้าใจได้ เขาจึงให้ความร่วมมืออย่างว่าง่าย “เย่เฉิน ผู้จัดการแผนกอบรมบุคลากรบริษัทไป๋ลี่”

ใครจะรู้ หลังจากที่เย่เฉินตอบคำถามอีกฝ่ายแล้ว บอดี้การ์ดที่เฝ้าประตูทั้งสองคนก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน

หนึ่งในบอดี้การ์ดกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฮ่าๆ แค่ผู้จัดการแผนกอบรมตัวเล็กๆ แค่นั้นเองถึงกับวิ่งโร่มาส่งของขวัญ? คิดจะประจบประแจงชุนเฟิงเราเหรอ? ไปเรียกคุณฉินประธานบริษัทของพวกนายมานู่น!”

ส่วนบอดี้การ์ดอีกคนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “บริษัทห่วยๆ อย่างไป๋ลี่ทำให้บริษัทเราขาดทุนไปตั้งหลายหมื่นล้าน ผู้จัดการตัวเล็กๆ อย่างแกรีบไสหัวไปเลย เห็นแล้วเหม็นขี้หน้า!”

โครม!

บอดี้การ์ดกล่าวต่อ เขาเตะตะกร้าผลไม้ในมือเย่เฉิน “ซื้อแค่พวกผลไม้เน่าๆ พวกนี้มายังมีหน้าจะขอเข้าเยี่ยมอีกเหรอ? ซื้อเก็บไว้กินเองเถอะไป!”

หลังจากที่บอดี้การ์ดเตะตะกร้าก็ส่งผลให้ผลไม้ในตะกร้านั้นกระจัดกระจายทันที

เย่เฉินหัวเสียทันที!

“เก็บให้ผมเดี๋ยวนี้” เย่เฉินกล่าวกับบอดี้การ์ดที่เตะตะกร้าผลไม้ของตัวเองด้วยน้ำเสียงเย็นชา

แต่ชายผู้นั้นกลับไม่มีท่าทีสะทกสะท้าน “ชิ แกขู่ใคร ประธานบริษัทตั้งหลายคนยังโดนฉันปฏิเสธใส่เลย แกคิดว่า….”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีท่าทีจะก้มตัวลงไปเก็บผลไม้ที่ตกบนพื้น เย่เฉินก็คว้าแขนเขาแล้วออกแรงบีบ

“โอ้ย เจ็บๆ!” บอดี้การ์ดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

ส่วนอีกคนที่เหลือเห็นเย่เฉินลงไม้ลงมือก็รีบเตือน “ไอ้เด็กบ้า แกเบื่อชีวิตแล้วล่ะสิ!”

ทันใดนั้นเองเพียงแค่เขาคิดจะลงมือช่วยเหลือเพื่อนตนเอง ก็โดนเย่เฉินใช้มืออีกข้างกำเป็นหมัดแล้วประเคนใส่หน้าเขา

เย่เฉินเองใช้มือขวาฟาดใส่หน้าบอดี้การ์ด ตัวเขากระแทกใส่กำแพงแล้วล้มลงไปกองกับพื้น

ส่วนบอดี้การ์ดที่โดนเย่เฉินหักข้อมือนั้น ตกใจจนตัวสั่นเทิ้ม

เย่เฉินถามอีกฝ่ายอีกครั้ง “จะเก็บไหม?”

“ไอ่พวกคนชอบดูถูกคนอื่นเอ้ย!”

มีคำโบราณเคยพูดเอาไว้ว่าอย่าเล่นกับหมาเดี๋ยวหมาจะเลียหน้า ทำตัวสุภาพกับพวกเขาก่อน พวกเขาถึงไม่เกรงใจ พวกลูกหมาเฝ้าประตูของหลายๆ สถานที่มักจะวางก้าม ทำตัวหยิ่งยโส แต่มีอำนาจเพียงเล็กน้อยในมือก็เริ่มหาเรื่องคุณเข้าแล้ว

เย่เฉินรังเกียจคนชั้นต่ำแบบนี้เป็นที่สุด!

บอดี้การ์ดคนนั้นก้มลงเก็บแอปเปิ้ลอย่างว่าง่าย ทันใดนั้นเองก็เห็นคนผู้หนึ่งเข้า ใบหน้าก็ผุดยิ้มอย่างดีอกดีใจ “คุณหลิ่ว มาแล้วเหรอครับ!”

บังเอิญพอดิบพอดีที่หลิ่วอวี่เจ๋อเองก็เพิ่งจะออกจากบ้านมาเยี่ยมหวังเจียเหยาเช่นกัน

บอดี้การ์ดรีบเดินไปหาหลิ่วอวี่เจ๋อทันทีแล้วกล่าว “คุณหลิ่วครับ หมอนี่คือผู้จัดการแผนกอบรมบุคลากรบริษัทไป๋ลี่ แถมยังเขา

หลิ่วอวี่เจ๋อเห็นเย่เฉินก็กล่าวกับบอดี้การ์ดคนดังกล่าวว่า “ไม่ต้อง ฉันรู้จักเขา”

หลิ่วอวี่เจ๋อเดินไปหาเย่เฉินแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เย่เฉิน นายจะมาเยี่ยมหวังเจียเหยาก็ไม่มีปัญหาหรอกนะ แต่พอมาก็ลงไม้ลงมือทำร้ายคนอื่นนี่มันหมายความว่าอะไร?”

เย่เฉินกล่าวว่า “คุณควรจะกำกับดูแลลูกน้องตัวเองให้ดีๆ อย่าให้มันดูถูกคนอื่นมากนักสิ!”

หลิ่วอวี่เจ๋อแค่นเสียง “นายก็น่าจะดูตัวเองก่อน ถ้าหากวันนี้นายเป็นรองประธานบริษัทไป๋ลี่ ฉันว่าพวกเขาอาจะไม่ห้ามนายก็ได้ โลกเรามันก็เป็นแบบนี้ ไม่ว่าจะที่ไหนก็สนใจฐานะทางสังคมจะตายไป”

เย่เฉินหัวเราะเสียงเย็น “ฮึ ฐานะทางสังคม? พ่อของเด็กๆ ไม่พอหรือไง!”