บทที่ 9 คุณรู้จักผมหรือ

เทพสงครามพิทักษ์โลก

หยางเฟิงทำสีหน้าเบื่อหน่าย ทำไมตนเองพูดความจริง จึงไม่มีใครยินดีที่จะเชื่อตนเอง ?
ตอนนี้เอง มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามา
ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาหล่อเหลา
ผู้หญิงดูสง่างามอย่างยิ่ง
“หลันจื่อกับโจวห้าวกลับมาแล้ว”
หลันจื่อเป็นลูกสาวของหลันเฟิง เป็นพี่สาวของเย่เมิ่งเหยียน
โจวห้าวเป็นสามีของหลันจื่อเป็นคุณชายของตระกูลโจวแห่งตงไห่
ตระกูลโจวเหมือนกับตระกูลเย่ ต่างก็เป็นตระกูลอันดับรองของตงไห่ มีอิทธิพลยิ่งกว่าตระกูลหลัน !
คนของตระกูลหลันทั้งหมด ลุกยืนขึ้นในทันที แม้แต่หลันเจิ้นเอง ใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเทียบกับท่าทีเย็นชาที่มรต่อหยางเฟิงก่อนหน้านี้ แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
หลันเฟิงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มทันที : “ลูกสาว ลูกเขย รีบมานั่งเร็วเข้า”
ขณะที่พูด หลันเฟิงผายมือไปทางหยางเฟิงแล้วพูดว่า : “ฉันจะแนะนำให้พวกเธอรู้จัก หยางเฟิงคนนี้ก็คือลูกเขยของตระกูลเย่ผู้มีชื่อเสียง เมื่อครู่เขาพูดว่า เขาเป็นท่านแม่ทัพอะไรสักอย่าง แม้แต่ผู้บัญชาการของเขตรักษาการณ์ตงไห่พบหน้าเขา ยังต้องทำความเคารพ ลูกมีความรู้กว้างขวาง รู้ไหมว่าอะไรคือท่านแม่ทัพ?”
หลันจื่อหัวเราะออกมาทันที : “พ่อคะ พ่อกำลังพูดล้อเล่นอยู่หรือเปล่า ? ท่านผู้บัญชาการเป็นบุคคลสำคัญของต้าไห่เรา ส่วนท่านแม่ทัพอะไรนั่น หนูไม่เคยได้ยินด้วยซ้ำ”
“เย่เมิ่งเหยียน ชั่วดีเธอก็เป็นน้องสาวฉัน ทำไมผู้ชายที่เธอรอมาตลอดห้าปี ถึงกลายเป็นคนเสียสติไปได้ ?”
ตอนนี้เอง
เย่เมิ่งเหยียนมีสีหน้าอับอาย จนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี
ส่วนหยางเฟิงกลับมีสีหน้าไม่แยแส
ก็แค่พวกคางคกขึ้นวอ ที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ
โจวห้าวถือกล่องของขวัญที่วิจิตรงดงามมาหนึ่งกล่อง แล้วยื่นให้แก่หลันเจิ้น : “คุณปู่ ครั้งนี้ผมเตรียมของขวัญมาเล็กน้อย หวังว่าจะถูกใจคุณปู่นะครับ”
พูดจบ โจวห้าวก็เปิดกล่องออก ด้านในเป็นพระพุทธรูปทองคำหนึ่งองค์
“นี่มัน……”
เมื่อเห็นพระพุทธรูปทองคำ หลันเจิ้นก็ตาลุกวาวทันท
หลันจื่อที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พูดขึ้นด้วยความภูมิใจ : “คุณปู่คะ พระพุทธรูปทองคำองค์นี้ โจวห้าวยอมจ่ายเงินกว่าหนึ่งล้านหยวน เพื่อมอบให้คุณปู่เป็นพิเศษเลยนะคะ”
คนของตระกูลหลัน ต่างอุทานออกมาด้วยความตกตะลึงในทันที
หนึ่งล้านหยวน ร่ำรวยจริง ๆ
ใบหน้าของหลันเจิ้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มแล้วพูดว่า : “โจวห้าว นายช่างมีน้ำใจจริง ๆ”
โจวห้าวพูดด้วยรอยยิ้ม : “ขอแค่ถูกใจคุณปู่ก็พอครับ !”
หลันจื่อหันมองหยางเฟิงแล้วถามว่า : “นายเป็นถึงท่านแม่ทัพอะไรนั่น ไม่รู้ว่าเตรียมของขวัญอะไรมาให้คุณปู่กันแน่ ? ยังไม่รีบนำออกมาให้ทุกคนดูอีก”
หลันจื่อเดินเข้าไป แล้วเปิดกล่องของขวัญที่หยางเฟิงนำมา ด้านในมีพระโพธิสัตว์กวนอิมหยกหนึ่งองค์
“นี่ต้องเป็นของปลอมแน่นอน ขยะเช่นนี้ยังจะกล้านำมาให้คุณปู่อีก ?”
พูดจบ หลันจื่อก็โยนพระโพธิสัตว์กวนอิมหยกลงถังขยะ
เย่เมิ่งเหยียนเห็นดังนั้น ก็แสดงความโมโหทันที
ของที่ตนเองและหยางเฟิงเลือกสรรมาอย่างยากลำบาก กลับถูกหลันจื่อโยนลงถังขยะ
เธอเสียใจจนอยากจะร้องไห้ออกมา
ตอนนี้เองโจวห้าวหันมองหลันเจิ้นแล้วถามว่า : “คุณปู่รู้ไหมครับว่า วันนี้มีบุคคลสำคัญเดินทางมาที่ตงไห่ ?” เช้านี้สนามบินถูกปิด มีเครื่องบินรบคุ้มกันกว่าสิบลำ รวมถึงพลทหารภายใต้กฎอัยการศึกอีกสามพันนาย”
“อะไรนะ ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของโจวห้าว คนตระกูลหลันต่างรู้สึกตกใจ
หลันเจิ้นถามด้วยความอยากรู้ : “บุคคลสำคัญผู้นี้คือใคร ?”
โจวห้าวแสดงสีหน้าภาคภูมิใจ : “บุคคลสำคัญผู้นี้ คือเทพสงครามอันดับหนึ่งของต้าเซี่ยเรา ทีสมญานามว่าเทพมรณะ !”
ขณะที่พูด เขาหันมองทุกคนโดยรอบด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ
“พูดไปทุกคนคงไม่เชื่อ ผมเคยมีโอกาสพบกับบุคคลสำคัญผู้นี้หนึ่งครั้ง ซ้ำยังทิ้งช่องทางติดต่อเอาไว้ด้วย !”
“โจวห้าว นายนี่ยอดเยี่ยมจริง ๆ แม้แต่บุคคลสำคัญเช่นนี้ก็รู้จักด้วยหรือ ?”
“ลูกเขยของตระกูลหลันเราช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ ไม่เหมือนกับลูกเขยของตระกูลเย่ เป็นพวกสวะชัด ๆ !”
คนของตระกูลหลันต่างหันมองโจวห้าวด้วยความชื่นชม
เมื่อเห็นลูกเขยของคนอื่นดูกระฉับกระเฉงและมีชีวิตชีวา หลันซินและเย่ไห่ก็พลอยอิจฉาไปด้วย
หยางเฟิงอดไม่ได้ที่จะนึกขำอยู่ในใจ
ตนเองเคยพบกับคนไม่สำคัญอย่างโจวห้าวตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ?
ทำไมจำไม่ได้เลยสักนิด ?
ดูเหมือนว่าโจวห้าวผู้นี้คงจะแค่พูดโอ้อวด มิเช่นนั้นตนเองยืนอยู่ตรงนี้ ทำไมเขาถึงไม่รู้จัก ?
หยางเฟิงเอ่ยปากถาม : “จริงหรือ ? ในเมื่อคุณรู้จักบุคคลสำคัญคนนั้น ถ้าอย่างนั้นคุณรู้จักผมหรือเปล่า ?”
โจวห้าวหันมองหยางเฟิง แล้วพูดด้วยสายตาดูถูก : “นายก็เป็นแค่ลูกเขยกระจอก ๆ ฉันจะรู้จักนายได้อย่างไร ?”
หยางเฟิงหัวเราะร่า : “ในเมื่อคุณไม่รู้จักผม แล้วคุณจะรู้จักผู้ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร ?”
“นายพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร หรือจะบอกว่านายก็คือบุคคลสำคัญคนนั้น ?” โจวห้าวถามพลางขมวดคิ้ว
หยางเฟิงพยักหน้าแล้วพูดว่า : “ถูกต้อง ผมก็คือบุคคลสำคัญคนนั้น เป็นเทพสงครามอันดับหนึ่งของประเทศต้าเซี่ย !”
“ฮ่า ๆ ๆ !”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ทุกคนก็หัวเราะร่าออกมา
“เสียสติไปแล้วจริง ๆ !”
“เทพสงครามอันดับหนึ่งของประเทศต้าเซี่ยหรือ ? นายรู้ไหมว่าเทพสงครามอันดับหนึ่งของประเทศต้าเซี่ยคือใคร ? เขาคือผู้นำของดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือเชียวนะ ในมือมีทหารกล้านับล้านที่คอยป้องกันชายแดนอยู่ ถือเป็นเสาหลักของประเทศ ! จะเป็นไอ้สวะอย่างนายไปได้อย่างไร !”
“พี่สาวช่างน่าสงสารจริง ๆ ที่ต้องแต่งงานกับคนไม่ได้แจ็กรื่องเช่นนี้ !”
“เย่เมิ่งเหยียน ต่อไปเธออย่าพาเจ้าบ้านี่ออกมาข้างนอกอีกนะ น่าอับอายจริง ๆ !”
หลันเจิ้นหันมองหนังซินด้วยความรังเกียจ : “ฉัน หลันเจิ้น ไปก่อกรรมทำเข็ญอะไรไว้ ถึงได้มีลูกสาวเช่นนี้ได้ ? แต่งงานกับพวกสวะ แม้แต่ลูกเขยก็ยังเป็นพวกสติไม่ดีอีก ช่างทำให้ตระกูลหลันของเราต้องอับอายขายหน้าจริง ๆ”
หลันซินและเย่ไห่ก้มหน้าก้มตา ด้วยใบหน้าถอดสี
วันนี้เป็นวันที่ครอบครัวของพวกเขาอับอายมากที่สุด
เย่เมิ่งเหยียนที่นั่งอยู่ตรงมุมห้อง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการดูถูกเยาะเย้ยต่าง ๆ นานาจากคนตระกูลหลัน ก็นิ่งเงียบไม่พูดจา และไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้อีกต่อไป
เธอหันมองหยางเฟิง จู่ ๆ ก็รู้สึกผิดหวังในใจ
เดิมทีเย่เมิ่งเหยียนคิดว่า การกลับมาของหยางเฟิงในครั้งนี้ คงจะทำให้ตนเองมีความสุขได้
แค่คิดไม่ถึงเลยว่า หยางเฟิงกลับคุยโวโอ้อวดต่อหน้าทุกคนเช่นนี้
เหมือนกับตัวตลกไม่มีผิด ทำให้ตนเองต้องอับอายขายหน้าถึงที่สุด
โจวห้าวหันมองหยางเฟิงแล้วแสยะยิ้ม : “นายพูดว่านายคือบุคคลสำคัญไม่ใช่หรือ ? เจ็ดวันหลังจากนี้ คุณหม่าตงอภิมหาเศรษฐีตงไห่ จะจัดงานเลี้ยงต้อนรับท่านเทพมรณะโดยเฉพาะ ถ้าหากนายคือบุคคลสำคัญคนนั้นจริง ฉันหวังว่าถึงตอนนั้นจะเห็นนายนะ”