บทที่ 851 ทัศนคติที่ผิด

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

บทที่ 851 ทัศนคติที่ผิด Ink Stone_Fantasy

ในซอยทางเดินแคบๆ เส้นหนึ่ง ชายหนุ่มที่มีสีหน้าหวาดกลัวสุดขีดกำลังวิ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง

ด้านหลังเขา ซอมบี้หลายตัววิ่งไล่ตามมา ดวงตาสีแดงก่ำอันบ้าคลั่งจ้องเหยื่อตัวนี้เขม็ง พลางเปล่งเสียงไม่รู้ศัพท์ออกมาอย่างต่อเนื่อง

“ฉันไม่อยากตาย! ฉันยังไม่อยากตาย!”

ชายหนุ่มสวมชุดสกปรกไปทั้งตัว เส้นผมยุ่งเหยิงแนบติดใบหน้า สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและหวาดกลัว

เขาผลักรถไฟฟ้าที่ถูกจอดทิ้งไว้ที่นี่ให้ล้มลงขวางทางอย่างต่อเนื่อง แต่สำหรับซอมบี้ เรื่องแค่นี้ไม่ได้ทำให้พวกมันเคลื่อนไหวยากขึ้นแต่อย่างใด

แม้แต่กระเป๋าเปื้อนเลือดที่เขากำไว้แน่นก็ยังถูกเขาขว้างออกไปข้างหลัง ธัญพืชอัดแท่งห่อหนึ่งหล่นออกมาจากปากกระเป๋า แต่วินาทีถัดมามันกลับถูกซอมบี้ตัวหนึ่งเหยียบเละคาเท้า

“ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยฉันด้วย! ฉันไม่อยากถูกกิน ฉันไม่อยากตาย…”

ใบหน้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยคราบน้ำตา ในตอนนั้นเอง เขาพลันขาอ่อนล้มคะมำไปข้างหน้า กระแทกเข้ากับพื้นอย่างจัง

แต่เขากลับไม่มีเวลาเจ็บปวด ได้แต่ร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่ง พร้อมกับพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้น

“อ๊ากกก!”

แต่เขาเพิ่งจะยันตัวขึ้น สัมผัสเรี่ยวแรงมหาศาลกลุ่มหนึ่งก็แผ่มาจากส่วนข้อเท้า

ชายหนุ่มลั่นร้องเสียงหลง ใช้สองมือตะกุยพื้นอย่างไม่สนฟ้าสนดิน

สมองเขาขาวโพลน มีเพียงเสียงเดียวที่ดังก้องอยู่ในหัว “ไม่! ฉันไม่อยากตาย!”

แต่ในระหว่างนี้ เขากลับรู้สึกได้รางๆ ว่า มีมือหลายข้างสัมผัสโดนร่างกายเขาแล้ว…

“ฉันยังไม่อยากตายยย!”

สิ้นเสียงคำราม พลังจิตกลุ่มหนึ่งพลันทะลักออกมาจากสมองเขา

ซอมบี้สองสามตัวนั้นที่เพิ่งกระโจนคร่อมตัวชายหนุ่ม กลับสั่นสะท้านไปทั้งตัวและแน่นิ่ง สายตาของพวกมันแปรเปลี่ยนเป็นเลื่อนลอยทันใด…

“พลั่ก!”

เมื่อเสียงกระแทกดังติดๆ กันหลายครั้ง ชายหนุ่มก็ยังคงพยายามตะเกียกตะกายไม่หยุด ในขณะที่ข้างกายเขา กลับเต็มไปด้วยซอมบี้ที่กลายเป็นง่อยเหมือนผัก…

ม่านตาของชายหนุ่มขยายตัว ร่างกายสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ ปากยังคงพึมพำอย่างไร้สติ “ฉันไม่อยากตาย…ฉันทำแม้กระทั่งเรื่องแบบนั้นแล้ว ฉันยังไม่อยากตายจริงๆ…”

…………

“กรี๊ดด!! พี่ ช่วยฉันด้วย! พี่!”

ในช่องประตูที่เปิดแง้มไว้ มือข้างหนึ่งยื่นออกมาคว้าขอบประตูไว้แน่น

ด้านหลังประตูคือใบหน้าหวาดกลัวและซีดไปดวง เธอคือเด็กสาวอายุราว 15 – 16 ปี เธอร้องไห้เหมือนใจจะขาด พยายามแทรกตัวออกมาจากช่องประตูอย่างสุดชีวิต

ทว่าประตูบานนั้นกลับถูกชายหนุ่มผู้หนึ่งดึงไว้อย่างแรง เขาเบิกตากว้างมองช่องประตูเล็กๆ นั่น ร่างกายราวกับชาไปทุกส่วน

เขาไม่ได้กำลังมองเด็กสาวคนนั้น แต่กำลังมองเงาร่างที่อยู่ข้างหลังเด็กสาว

“กรี๊ดดด!”

เด็กสาวกรีดร้องเสียงแหลมอีกครั้ง แขนอีกข้างของเธอถูกกระชากหลุดอย่างแรง แต่เพราะแรงปรารถนาที่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ มือของเธอกลับยังคงจับประตูไว้ไม่ปล่อย

หยดเลือดที่สาดกระเซ็นทำให้ชายหนุ่มสั่นสะท้านไปทั้งตัว พอเห็นว่าเงาร่างนั้นกระโจนมาข้างหน้า เขาแทบจะดึงประตูปิดอย่างแรงทันทีโดยสัญชาตญาณ

เสียงลั่นร้องเพราะนิ้วมือถูกหนีบจนหักดังขึ้นทันที ขณะเดียวกัน อีกเสียงที่ดังขึ้นพร้อมกัน ยังมีเสียงร้องอย่างสิ้นหวังของเด็กสาวด้วย…

“ฉัน…ฉันก็แค่…ฉันไม่อยากตาย…”

ชายหนุ่มจ้องบานประตูด้วยสายตาเหม่อลอย เลือดสดๆ ไหลออกมาจากด้านล่างประตูเป็นสาย ในขณะที่เสียงร้องหลังบานประตูค่อยๆ เบาลงและหายไปในที่สุด

“ปัง!”

เมื่อเสียงกระแทกประตูดังโครมคราม ในที่สุดชายหนุ่มคนนี้ก็ยกมือขึ้นจับคอเสื้อตัวเองอย่างทนไม่ไหว แล้วร้องตะโกนออกมาอย่างสุดเสียง “อ๊ากกกก!”

………..

“ฉันก็แค่ไม่อยากตาย…ถ้าหากได้ความลับของหลิงม่อมาครอบครอง ฉันก็ไม่ต้องกลัวซอมบี้อีกต่อไป…แต่ทำไม ฉันถึงไม่ได้มันมา…เพราะอะไร…”

…………

ภายใต้การกลืนกินของหลิงม่อ สายตาของชายหนุ่มสะท้อนแววเหม่อลอย ร่างกายก็กระตุกสั่นอย่างต่อเนื่อง

การต่อต้านของเขาอ่อนแรงลงเรื่อยๆ กระทั่งเมื่อเทียบกับชายสวมแว่นยังอ่อนกว่าบางส่วน…

“มีจิตมุ่งมั่นที่อยากมีชีวิตอยู่ มีความหวาดกลัวอันลึกซึ้งต่อซอมบี้ เมื่อสองอารมณ์ความรู้สึกนี้มารวมกัน จึงได้ทำให้เขามีพลังจิตที่แข็งแกร่ง…แต่ก็เพราะเหตุผลนี้ สัญชาตญาณต่อต้านของเขาจึงได้อ่อนแอขนาดนี้…จิตใจไม่สงบเลยซักนิด”

หลิงม่อสูดลมหายใจลึก แล้วก้มหน้าพูดเสียงเบา “เพราะนายคิดผิดไงล่ะ ถึงนายจะได้ความลับนี้ไป พวกนายก็ใช้ไม่ได้อยู่ดี…ฉันไม่เหมือนกับนาย ฉันไม่ยอมแพ้ ถึงแม้เธอจะกลายเป็นซอมบี้ไปแล้ว ฉันก็ไม่เคยทิ้งเธอ…”

ชายหนุ่มสั่นสะท้านไปอีกครั้ง และการต่อต้านครั้งสุดท้ายก็มลายหายไปดั่งหมอกควัน

“แกไม่ยอมแพ้…”

…………

หลายวันต่อมา พวกหลิงม่อได้ไปจากบ้านหลังนี้

ก่อนจะไปจากที่นี่ หลิงม่อได้ทิ้งกระดาษไว้หนึ่งแผ่น โดยที่บนกระดาษทิ้งรอยเลือดของเขาไว้สองสามหยด

เหล่าเจิ้งเดินตามอยู่ข้างหลัง อดมองหลิงม่ออย่างสงสัยเป็นพักๆ ไม่ได้

ถึงแม้จะเป็นเวลาแค่ไม่กี่วัน แต่เขากลับรู้สึกได้รางๆ ว่าหลิงม่อมีอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนไป…

แต่เขากลับบอกไม่ถูก ว่าตรงไหนกันแน่ที่เปลี่ยนไป

ไม่ใช่แค่เขา แม้แต่หวังหลิ่นที่ไม่ใช่ผู้มีความสามารถพิเศษสายพลังจิต ก็ยังรู้สึกได้รางๆ เหมือนกัน

“หลิงม่อ…”

ขณะที่กลับมายังถนนใหญ่อีกครั้ง ในที่สุดเหล่าเจิ้งก็เปิดปากด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ “ต่อไป ฉันจะไม่ช่วยอีกแล้ว…”

“ถึงแม้ฉันจะกลับฟอลคอนที่ 2 ไปพร้อมนาย แต่เรื่องระหว่างพวกนายกับฐานทัพฟอลคอน ฉันเข้าไปมีส่วนร่วมอีกไม่ได้แล้ว” เหล่าเจิ้งพูดอย่างลำบากใจ “ฉันเป็นตัวแทนของค่ายกลาง…”

“อื่ม” หลิงม่อพยักหน้า แล้วพูดเสริมว่า “ถึงยังไงคนคนเดียวก็ไม่ทำให้สถานการณ์สงครามแย่ลงหรอกน่า”

สีหน้าลำบากใจของเหล่าเจิ้งถูกกระชากทิ้งทันที “ไม่ต้องพูดตรงขนาดนี้ก็ได้นะ! ถึงคนจะน้อยอีกแค่ไหน แต่ก็ยังเป็นตัวแทนของค่ายกลางอยู่ดีนะ! ความหมายของคำพูดนี้ นายเข้าใจหรือไม่เข้าใจกันแน่เนี่ย…”

หวังหลิ่นขยับหมวก แล้วพูดว่า “เอาเป็นว่า ไม่ว่ายังไงฉันขอมีส่วนร่วมด้วย”

“ฉันก็…” หลันหลันเพิ่งอ้าปาก แต่ก็อ้าปากค้างแล้วยักไหล่แทน “ช่างเถอะ ฉันสู้ไม่เก่งอยู่แล้ว”

หลิงม่อหัวเราะ “ความจริงมันมีทัศนคติหนึ่ง ที่ผิดมาโดยตลอด”

“หมายความว่าไง?” หวังหลิ่นถามอย่างสงสัย

เหล่าเจิ้งกลับชะงัก แล้วมองหลิงม่ออย่างสงสัยเช่นกัน

มีเพียงซย่าน่าที่บีบคางทำท่าครุ่นคิด แล้วจู่ๆ ก็เผยรอยยิ้มแปลกๆ ออกมา “อ๋อ ฉันเข้าใจแล้ว ทัศนคติที่ผิด หมายถึงคำว่า “ฟอลคอน” สินะ?”

“ฟอลคอน…ใช่แล้ว!” เหล่าเจิ้งเองก็ถึงบางอ้อด้วย “เพราะพวกเขาต้องการเล่นงานนายกับฐานทัพที่ 2 ดังนั้นพวกเราก็เลยคิดว่าฟอลคอนเป็นศัตรูโดยสัญชาตญาณ…แต่ความจริงแล้ว…”

“ความจริงแล้ว ศัตรูของเราเป็นแค่ส่วนหนึ่งในฟอลคอน ในกำมือพวกเขาอาจมีอำนาจสำคัญอยู่มากมาย แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่ได้เป็นตัวแทนของฟอลคอนทั้งหมด…” ซย่าน่าพูดต่อ “ดังนั้นพวกเขาจึงต้องใช้อุบายเล่ห์เหลี่ยม ใช้แผนการจับกุม แต่กลับไม่ใช่การเคลื่อนพลเต็มกำลัง…แม้แต่ทีมกำลังเสริม ก็ยังส่งมาได้แค่ครึ่งเดียว นอกจากนี้ ที่ฐานทัพที่ 2 ยังไม่เคยเปิดศึกกับพวกเขาจริงๆ ซักที ก็คงเป็นเพราะเหตุผลนี้เหมือนกัน”

“ดังนั้น ถึงแม้สถานการณ์ตอนนี้จะดูร้ายแรง แต่มันก็ไม่ได้แย่อย่างที่พวกเราคิด”

หลิงม่อสรุป

ข้อมูลเหล่านี้ เขาได้มาจากความทรงจำของชายสวมแว่นกับชายหนุ่ม

ทว่านอกจากข้อมูลเหล่านี้ ผลเก็บเกี่ยวที่เขาได้มา กลับเป็นวิธีการกระตุ้นความสามารถแฝง…

“น่าเสียดายที่วิธีที่พวกนั้นได้มาไม่ใช่วิธีการที่สมบูรณ์แบบ ฉบับสมบูรณ์ที่แท้จริง อยู่ในมือของผู้บัญชาการหวังอะไรนั่น…กระตุ้นความสามารถแฝง สำหรับผู้มีความสามารถพิเศษพวกนั้นถือเป็นวิธีอัพเกรดพลังอย่างหนึ่ง แต่สำหรับเรา มันกลับสามารถทำให้เราสามารถใช้ประโยชน์จากเชื้อไวรัสในร่างกายได้อย่างสูงสุด และวิธีนี้ ก็อาจใช้ได้ผลกับพวกเย่เลี่ยนด้วยเหมือนกัน…การกระตุ้นความสามารถแฝงที่ว่านี้ ความจริงก็คือการกระตุ้นเชื้อไวรัสในร่างกายผ่านวิธีการใดวิธีการหนึ่งนั่นเอง…”

หลิงม่อคิดในใจ “เขาอยากได้ความลับของฉัน ฉันก็อยากได้ความลับของเขาเหมือนกัน…”

“แล้วพี่คิดจะทำยังไงต่อล่ะ?” อยู่ๆ หวังหลิ่นก็ถามขึ้น “ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ใช่ตัวแทนฟอลคอนทุกคน แต่ก็ควบคุมทิศทางของฟอลคอนไว้มากกว่าครึ่งหรือเปล่า? ดังนั้นพวกเราก็กำลังเผชิญหน้ากับเหยี่ยวฟอลคอนยักษ์ครึ่งตัวเลยไม่ใช่หรอ?”

“แต่ยังไงก็เป็นแค่นกตัวหนึ่งนี่” อยู่ๆ หลี่ย่าหลินก็พูดแทรกขึ้น

พอเธอพูดอย่างนี้ ทุกคนต่างพากันอึ้ง

ทว่าไม่นาน ทุกคนต่างก็หัวเราะอย่างกลั้นไม่ไหว

“ถูกต้อง ถึงแม้พวกเราจะดูต่างกันมาก แต่ฉันกลับสามารถสู้สุดตัวได้ทุกครั้ง แต่เขาล่ะ?” หลิงม่อเองก็ยิ้มตามไปด้วย เขาหันหน้าไปมองทิศที่ตั้งของฟอลคอน พลางหยักยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา

ตอนนั้นเอง อยู่ๆ เสียงอ่อนๆ ของเย่เลี่ยนก็ดังขึ้น “พี่หลิง ดูเหมือน…พี่จะมองผิดทางแล้วนะ”

“อ่าา…”

ติ๊ดๆๆ ติ๊ดๆๆ…

ณ ฐานทัพที่ 2 ชายสวมชุดสูทคนหนึ่งพลันลุกขึ้นนั่งบนโซฟา แล้วล้วงเครื่องมือสื่อสารออกมาอย่างเกียจคร้าน

“ฮัลโหล…”

แต่เพิ่งจะอ้าปาก สีหน้าของชายคนนี้ก็เปลี่ยนแปลงไป

หนึ่งนาทีต่อมา เมื่อเขาวางสาย สีหน้าเขาก็กลายเป็นตึงเครียดทันที

“หลิงม่อ…”

—————————————————————————–