บทที่ 249 เข้าสู่ภาวะความเป็นความตาย

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

“ไป๋เริ่น! กลับ!” ซ่งชูอีเดินโซซัดโซเซไปที่ไป๋เริ่น ล้มลงบนตัวของมัน ยื่นมือตบๆ หัว มือที่เปื้อนเลือดทำให้หัวของไป๋เริ่นแดงไปทั้งแถบ

ไป๋เริ่นได้กลิ่นเลือด อีกทั้งได้รับคำสั่งของซ่งชูอีให้จากไปก็รู้ว่าสถานการณ์ผิดปกติ จึงรีบลุกขึ้นยืน หันหน้าแยกเขี้ยวขู่ซือหม่าหวยอี้ จากนั้นก็ปล่อยให้นางขี่หลังแล้ววิ่งออกไป

ไป๋เริ่นเดินไปในตรอกที่ไร้ผู้คน ร่างของมันทะลุผ่านไปราวกับสายฟ้าบนพื้นหิมะ ลมหนาวที่ขมขื่นกับความรู้สึกที่แผดเผาในร่างกายทำให้ซ่งชูอีเจ็บไปทั่วตัว

ครั้นกลับมาถึงจวน หน้าอกของซ่งชูอีก็ชุ่มไปด้วยเลือดกำเดาแล้ว

ไป๋เริ่นพาซ่งชูอีตรงไปยังหนิงยาตามรอยกลิ่น

“ท่าน!” หนิงยาสะดุ้งโหยง ทิ้งงานในมือลงทันที แล้วพาซ่งชูอีเข้าไปในห้องนอน จากนั้นก็ให้เจียนไปตามหมอมา

การเดือดดาลจนเลือดกำเดาไหลเป็นอาการที่พบบ่อย มีวิธีแก้มากมายในหมู่ราษฎร ตอนที่หนิงยาเป็นเด็กก็เคยเลือดกำเดาไหล มารดาให้นางเงยหน้าแล้วใช้น้ำแข็งประคบบริเวณหน้าผาก ไม่ช้าเลือดก็หยุดไหลแล้ว บัดนี้นางเห็นว่าใบหน้าของซ่งชูอียิ่งซีดขาวลงเรื่อยๆ รอหมอไม่ไหวจึงเรียกให้สาวใช้นำน้ำสะอาดเข้ามาถังหนึ่ง พยายามห้ามเลือดด้วยวิธีนั้นก่อน

ซ่งชูอีเงยหน้า เลือดกำเดาไหลเป็นทาง หลังจากที่หนิงยาจัดการอยู่สักพักหนึ่ง เลือดจึงหยุดไหล

จากนั้นท่านหมอก็เข้ามา แล้วจ่ายยาให้ซ่งชูอี

“แม่นาง ใครเป็นผู้ดูแลจวนแห่งนี้?” ท่านหมอเห็นว่าซ่งชูอีหลับไปแล้ว จึงได้แต่ถามหนิงยา

“คือว่า…” แม้ว่าหนิงยาจะใช้สกุลของซ่งชูอีแล้ว ทว่าสุดท้ายก็ยังคงเป็นสาวใช้คนหนึ่ง เรื่องใหญ่เช่นนี้ ต่อให้กล้าหาญอีกสิบเท่านางก็มิกล้ารับผิดชอบสุ่มสี่สุ่มห้า “ข้าจะไปเรียกเจียวเจียวมา!”

นอกเหนือจากซ่งชูอีแล้ว บัดนี้ก็มีเพียงเจ้านายอย่างเจินอวี๋เท่านั้น

ไม่ช้า เจินอวี๋ก็เดินตามหนิงยามาจากลานหลังบ้านด้วยความร้อนรน

ครั้นท่านหมอเห็นว่าผู้ดูแลจวนมาแล้ว ก็งดเว้นคำทักทายและกล่าวว่า “ธาตุไฟของซ่งจื่อเจริญมากเกินไป เกรงว่าเป็นเพราะกินของแสลง ร่างกายที่บกพร่องของเขาถูกจู่โจมอย่างรุนแรงเช่นนี้ อาการแย่ลงเล็กน้อย วิชาการแพทย์ของข้ามีจำกัด และสามารถทำได้เพียงจ่ายยาเพื่อทุเลาธาตุไฟลงก่อน สำหรับการบำรุงนั้น หากสามารถเชิญเปี่ยนเชวี่ยหรือหมอหลวงมาวินิจฉัยจะเป็นการดีที่สุด”

หลังจากได้ยินข่าวนี้อย่างฉับพลันแล้ว ใบหน้างดงามของเจินอวี๋สูญเสียสีสันทันใด ตะลึงงันไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยคำขอบคุณ สั่งให้คนใช้ของตนนำค่ารักษาให้ท่านหมอ จากนั้นก็สั่งให้เขาส่งเขาออกไปจากจวน

เจินอวี๋นึกถึงชูหลี่จี๋ทันที ไม่สนใจความอับอายในการแต่งงานไม่สำเร็จในครั้งนั้น เอ่ยว่า “ข้าจะไปหาพี่ใหญ่อิ๋ง!”

“เจียวเจียว องค์ชายดีกับท่านหวยจินของพวกเรามากที่สุด คงไม่ใส่ใจเรื่องมารยาทดอกเจ้าค่ะ ถ้าอย่างไรให้เจียนไปดีกว่า จะได้เร็วขึ้น!” หนิงยาเป็นห่วงซ่งชูอีที่สุด ทว่าเพื่อซ่งชูอีแล้ว นางก็ไม่กลัวที่พูดตรงๆ และทำให้ผู้อื่นไม่พอใจ

เจินอวี๋เหลือบมองนางทว่าก็มิได้ใส่ใจ ยังคงสั่งให้เตรียมรถ นางรู้สึกว่าหนิงยาเป็นเพียงสาวใช้เท่านั้น จะไปเข้าใจเรื่องมารยาทในสังคมได้อย่างไร? อย่างไรก็ดีนางไม่มีนิสัยโต้เถียง จึงไม่เต็มใจที่เจ้ากี้เจ้าการกับสาวใช้ปากมากคนหนึ่ง

หนิงยาเห็นว่านางจากไปโดยไม่พูดจา กระทืบเท้าด้วยความกระวนกระวาย กัดฟันและตัดสินใจที่จะไม่สนใจวิธีการของเจินอวี๋! จากนั้นก็คุยหารือกับเจียน ขอให้เขาไปที่จวนของชูหลี่จี๋เพื่อขอความช่วยเหลือก่อน

เจินอวี๋ยังคงรอคนในจวนเตรียมรถม้า เจียนจูงม้าออกจากเพิงม้าและบึ่งตรงไปหาชูหลี่จี๋ก่อนแล้ว

ซ่งชูอีเกิดเรื่อง จิตใจของเจินอวี๋ก็ร้อนรนเป็นอย่างยิ่ง ไม่สนใจแม้แต่จะตรวจสอบว่าเสื้อผ้าและการแต่งหน้าของตัวเองเหมาะสมหรือไม่ ทันทีที่รถม้ามาก็รีบขึ้นรถแล้วให้คนขับรถม้ารีบไปที่จวนของชูหลี่จี๋ทันที

หิมะหนักโปรยปราย น้ำแข็งและหิมะที่ทับถมบนถนนลื่นมาก รถม้าลื่นไถลไม่หยุด เจินอวี๋ที่นั่งอยู่ในรถทั้งตกใจทั้งหวาดกลัว

มาถึงจวนของชูหลี่จี๋ได้อย่างยากลำบาก เจินอวี๋จัดรูปลักษณ์ให้เรียบร้อย จากนั้นก็ลงจากรถไปเคาะประตู

ประตูด้านข้างเปิดออกเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งโผล่ศีรษะออกมา ถามว่า “เจียวเจียวมาหาผู้ใด?”

เจินอวี๋กล่าวด้วยความร้อนรน “องค์ชายอยู่จวนหรือไม่? ข้าเป็นน้องสาวของซ่งหวยจิน มีเรื่องด่วนต้องการพบ”

ผู้ดูแลจวนนึกสงสัยในใจ ผู้คนที่มาแวะคารวะในอดีตล้วนเป็นเด็กหนุ่มหรือไม่ก็ชายวัยฉกรรจ์ วันนี้ประหลาดแท้ที่มีเด็กคนหนึ่งแวะมา อีกทั้งยังเป็นเด็กผู้หญิงด้วย “องค์ชายไปประชุมราชสำนักตั้งแต่เช้ายังไม่กลับมา เกรงว่าคงมีเรื่องทางการเมืองที่ต้องตัดสินใจ”

“จะกลับมาเมื่อใด?” เจินอวี๋เอ่ยถาม ครั้นถามแล้วจึงระลึกขึ้นมาได้ ผู้ดูแลจวนคนหนึ่งจะไปรู้ได้อย่างไรว่าประชุมทางการเมืองจะสิ้นสุดลงเมื่อใด สีหน้าแดงก่ำ

ผู้ดูแลจวนพบเจอผู้คนมากมาย ครั้นเห็นเจินอวี๋หน้าแดงก็รู้ว่าในใจของนางกำลังคิดอะไร จึงยิ้มแล้วเอ่ยเตือนด้วยความหวังดีว่า “หากแม่นางมีเรื่องด่วนจริงๆ ก็ไปรอที่ประตูพระราชวัง ทว่าในอดีตการประชุมราชทางการเมืองสามวันสามคืนก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว วันนี้อากาศหนาว เกรงว่าเจียวเจียวจะทนไม่ไหว อย่างไรเสียก็ส่งบ่าวไพร่ที่ร่างกายแข็งแรงไปรอเถิด”

เจินอวี๋มิใช่คนที่มีชีวิตชีวา ดังนั้นเมื่อเทียบกับสาวชาวฉินทั่วไปแล้ว ร่างกายจึงดูบอบบางอย่างเห็นได้ชัด

“ขอบคุณ” เจินอวี๋กล่าว

ผู้ดูแลจวนประสานมือเอ่ย “เจียวเจียวเกรงใจแล้ว”

ลมหนาวพัดซู่ ผู้ดูแลจวนมองดูเจินอวี๋หมุนตัวจากไป จากนั้นก็ปิดประตูลงทันที

ครั้นลงบันไดมา เจินอวี๋ยืนครุ่นคิดอยู่หน้ารถม้าครู่หนึ่ง ตัดสินใจที่จะไปรอที่หน้าประตูพระราชวังด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการเสียมารยาทหรือไม่ก็ยังต้องตอบแทนซ่งชูอี นางไม่ควรกลัวความหนาวเย็น

เจินอวี๋กำลังจะก้าวเท้าขึ้นรถม้า ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเลือนราง ดังนั้นจึงหันไปมองตามที่มาของเสียง พบว่ามีผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งวิ่งออกมาจากประตูใหญ่ด้านข้างด้วยความเร่งรีบ

ผู้ชายคนนั้นก็เห็นว่ามีคนอยู่ข้างๆ เมื่อหันมอง ทั้งสองคนก็สบสายตากัน

เจินอวี๋ไม่รู้จักบุคคลนี้และไม่แม้แต่สนใจด้วยซ้ำ นางละสายตากลับมา ขึ้นรถรบเร้าให้คนขับรถรีบไปที่ประตูพระราชวัง

ขณะที่รถม้ากำลังจะเลี้ยวเปลี่ยนทิศ กลับได้ยินเสียงบุคคลนั้นกล่าวขึ้น “เจียวเจียวคือน้องสาวของซ่งจื่อกระมัง?”

“เอ๋?” เจินอวี๋สั่งให้คนขับรถหยุดครู่หนึ่ง เอ่ยด้วยความสงสัย “ท่านมีชื่อแซ่ว่ากระไร? เหตุใดจึงรู้จักข้า?”

นางแทบไม่ออกจากบ้านเลย แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีเพื่อนมากมาย ทว่าล้วนเป็นหญิงสาวสูงศักดิ์ ดังนั้นนางจึงมั่นใจว่าตนไม่เคยเจอบุคคลผู้นี้มาก่อน

บุคคลนั้นนิ่งไปครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “ข้าน้อยแวะมาคารวะองค์ชายจี๋ คิดไม่ถึงว่าจะไม่เจอใครจึงมานั่งเล่นในบ้านของพี่หลี่ว์ ข้าน้อยถือวิสาสะเรียกเจียวเจียว เพราะเห็นว่าตอนที่เจียวเจียวเข้ามาราวกับมีแววของเลือด ต้องการเตือนให้เจียวเจียวระวังตัว”

“ท่านเป็นยอดฝีมือด้านคุณไสยจริงๆ เสียมารยาทแล้ว!” เจินอวี๋กล่าว

นางไม่มีกะใจจะคุยเล่น ขณะที่ต้องการจะกล่าวคำลา คนนั้นกลับยิ้มเอ่ย “ข้าไม่คู่ควรกับคำว่ายอดฝีมือนี้ ข้ามาจากสำนักแพทย์ รู้เรื่องคุณไสยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”

“ท่านเป็นศิษย์สำนักแพทย์รึ!” เจินอวี๋ดีใจยิ่ง

สำนักแพทย์ก็เป็นหนึ่งในหลายสำนัก มีทฤษฎีวิชาการอยู่ในสายของตัวเองและส่วนใหญ่ก็เป็นนักวิชาการซึ่งต่างจากหมอทั่วไป ไม่เพียงเท่านี้ ทักษะทางการแพทย์ส่วนใหญ่ของพวกเขาล้วนยอดเยี่ยม

เจินอวี๋รีบลงมาจากรถ ค้อมตัวเอ่ย “ไม่ขอปิดบังท่าน พี่ชายของข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่างกายอ่อนแอมาโดยตลอด ไม่รู้ว่าวันนี้ไปกินอาหารผิดสำแดงที่ไหนเข้า ชีวิตตกอยู่ในอันตราย ท่านสามารถช่วยพี่ชายของข้าได้หรือไม่?”

“ซ่งจื่อประสบความลำบาก ไฉนเลยข้าน้อยจะปฏิเสธ!” คนนั้นกล่าว

เจิวอวี๋รู้สึกโชคดียิ่ง เชิญเข้าขึ้นรถม้า

รถที่นางนั่งเป็นรถม้าคันเล็ก ภายในรถสามารถรองรับผู้หญิงได้ไม่เกินสองคน บัดนี้มีผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่นั่งมาด้วย ค่อนข้างแออัด แต่ตอนนี้นางไม่สนใจอะไรมากขนาดนั้นแล้ว

“ข้ายังไม่ทราบชื่อของท่านเลย” นั่งใกล้กันเพียงนี้ เจินอวี๋ก็ไม่สะดวกที่จะมองสำรวจเขาอย่างละเอียด ได้แต่หลุบตาถาม

ไม่ทันรอคำตอบจากอีกฝ่าย ทันใดนั้นเจินอวี๋ก็พบว่าบนเสื้อคลุมของเขาเปื้อนคราบเลือด ใบหน้าถอดสีทันใด นึกถึงเมื่อครู่ที่เขาวิ่งออกมาจากจวนด้วยความลุกลี้ลุกลน ทว่าตอนนี้กลับใจเย็นเหลือเกิน ในใจของนางอดที่จะตื่นตระหนกมิได้