บทที่ 291 ไฟ (7)

“นี่มันไฟอะไร…” ราชาแหล่งปฐพีข่าเฟยทำท่างุนงง

เขาเป็นบุรุษวัยกลางคนที่สงบเยือกเย็น เปลือยท่อนบน มีกล้ามเนื้อกำยำ ตรงทรวงอกมีรอยกรีดเฉียงลงด้านล่างสายหนึ่ง โดยลากจากคอไปถึงส่วนท้อง

ตอนนี้เขากำลังมองไฟที่กำลังลุกไหม้อยู่รอบๆ อย่างตกใจ

เปลวไฟสีม่วงนี้ถึงกับทำให้เขาปวดแสบปวดร้อน นี่น่าเหลือเชื่อจริงๆ! ในฐานะราชามารระดับสูงที่ปกครองทางเข้าหุบเหวมาร เขามีผิวกายที่แข็งแกร่งใกล้เคียงกับระดับจ้าวแห่งมาร ต่อให้เปลวไฟทั่วไปบรรลุถึงขั้นละลายหิน ก็ไม่มีผลกับเขา ทว่าเปลวไฟตรงหน้านี้…

“ช่างน่าตกใจจริงๆ…” ข่าเฟยจำตอนที่ตัวเองอยู่ในเผ่ามารอัคคีได้ ตอนนั้นเขายังเป็นหนึ่งในจ้าวแห่งมารในเผ่ามารอัคคี และได้บัญชามารอัคคีเข้าร่วมศึกบุกโจมตีโลกมนุษย์ น่าเสียดาย…ภายหลังเขาติดกับพวกมนุษย์จนถูกผนึกในที่นี่มาหลายปี

จ้าวแห่งมารในเผ่ามารเป็นแค่ตำแหน่งผู้นำไม่ใช่ระดับสูงสุด แต่ว่าตัวตนที่เหนือกว่าระดับราชามารที่แข็งแกร่งถึงขีดสุดส่วนหนึ่งต่อให้อยู่ตัวคนเดียว ก็ถูกเรียกว่าจ้าวแห่งมารได้ เนื่องจากแข็งแกร่งเกินไป

“น่าเสียดาย ไฟแค่นี้ต้านข้าไม่ได้หรอก” ข่าเฟยกล่าวอย่างสงบ ปล่อยให้ไฟแผ่ลามไปบนตัว

ยิ่งเป็นไฟที่แข็งแกร่งเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้ใบหน้าของเขาสงบเท่านั้น

ลู่เซิ่งเห็นดังนั้นก็เลิกดูถูก ครั้งนี้มารโบราณที่อยู่ตรงหน้าให้ความรู้สึกอันตรายกว่าเสือดาวอสรพิษเมื่อก่อนหน้านี้มาก

‘แต่แบบนี้ก็ดี หลังฆ่ามัน ก็จะมีแก่นมารที่เอาไว้ใช้ยกระดับวิถีแปดมารสูงสุดในระดับต่อไปได้มากพอ’

ลู่เซิ่งซึ่งกำลังเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดมหึมาที่โบกหนวดไปมานับไม่ถ้วน ดวงตาพลันเรืองแสงสีม่วงเข้มขึ้นในความมืดมิด

ซู่…เพียงแค่ชั่วขณะสั้นๆ ขนาดร่างกายของลู่เซิ่งขยายด้วยความเร็วสูง กลับไปเป็นร่างยักษ์ขนาดสิบกว่าหมี่ ดาบที่รวมตัวกันจากปราณมารสีดำอมม่วงเล่มหนึ่งค่อยๆ ปรากฏในมือเขา

“มาเลย ให้ข้าเห็นความมั่นใจที่เจ้าปรากฏตัวต่อหน้าข้าหน่อย”

เขาถือดาบพลางย่างเท้าเข้าหาข่าเฟยอย่างเชื่องช้า

ข่าเฟยหยีตาพลางชูหนวดหลายร้อยเส้นขึ้นรอบๆ ตัว

“ข้าแตกต่างจากพวกโง่เง่าเหล่านั้น” หนวดจำนวนมากค่อยๆ ขดงอ หดตัว และบีบอัด

“อย่างนั้นหรือ”

ลู่เซิ่งส่งเสียงตวาด ฝีเท้าวูบไหว ก่อนปรากฏตัวขึ้นด้านหน้าข่าเฟย แล้วฟันดาบลงไป

ควับ!

เงาดาบฟันปะทะกับหนวดจำนวนมากที่พุ่งเข้ามาอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น

ตูม!

ของเหลวเหนียวหนืดสีเทาบนหนวดระเบิดออก ลู่เซิ่งพลิกมือสร้างไข่มุกอาวรณ์แปดเศียรเม็ดหนึ่ง แล้วยัดใส่ไประหว่างหนวดมากมายนั้น

ทันใดนั้นเกิดเสียงดังสนั่นกลางอากาศ ลูกไฟขนาดยักษ์สีดำอมม่วงกลุ่มหนึ่งระเบิดขึ้นด้วยความเร็วสูง ลู่เซิ่งถือดาบพุ่งออกมาจากในเปลวเพลิง ร่างกายขนาดมหึมาสูงสิบกว่าหมี่ชนใส่ไหล่ซ้ายของข่าเฟย

เปรี้ยง!

สัตว์ยักษ์ขนาดมโหฬารสองตัวปะทะกันซึ่งหน้า ข่าเฟยหลบไม่พ้น จึงถูกชนล้มหงายหลังลง แต่ว่าหนวดที่ยังเหลืออยู่รอบๆ ปรากฏฟันแหลมสีขาวเหมือนกับเลื่อยนับไม่ถ้วนตรงส่วนปลาย ขย้ำใส่แขนขาของลู่เซิ่งอย่างดุดัน

“หยางโชติช่วง คร่าวิญญาณ” ลู่เซิ่งที่อยู่กลางอากาศยังไม่ทันหล่นลงพื้นพลันสาดประกายดาบออกไป ดาบสีดำวาดเป็นเส้นสีดำคดเคี้ยว แล้วฟันไปที่หนวดที่กำลังโจมตีมาทั้งหมดได้พอดี

พายุพัดโหมอยู่ชั่วขณะ จนเกิดลมแหลมดังเสียดหู หลังจากดาบนี้ฟันหนวดไปเป็นจำนวนมาก ก็ปักเข้าไปในผนังด้านข้าง

“ฆ่า!” ลู่เซิ่งถอนดาบออกมาพร้อมกับกระทืบเท้า รอยแตกขยายออกเหมือนใยแมงมุม เขาทะยานขึ้นสูงและลอยเข้าหาข่าเฟยอีกครั้ง

พละกำลังกับการระเบิดพลังของเขาในตอนนี้ ไปถึงขั้นที่แข็งแกร่งจนน่าเหลือเชื่อแล้ว แค่ฟันดาบออกไปโดยอาศัยเพียงพละกำลัง ก็เกิดคลื่นกระแทกอากาศผืนใหญ่ หากคนธรรมดาเข้าใกล้นิดเดียวก็อาจถูกฉีกร่างได้

“อัสนีมืดมิด!” ข่าเฟยใบหน้าเคร่งขรึม ถอยหลังอย่างรวดเร็ว แม้ว่าลู่เซิ่งจะสูงแค่ทรวงอกของเขา แต่ว่าการระเบิดความเร็วเมื่อครู่นี้ทำให้เขาแตกตื่น

ตูม

เกิดเสียงดังกึกก้อง คลื่นบิดเบี้ยวขมุกขมัวกลุ่มหนึ่งระเบิดออกมาด้านหน้าลู่เซิ่งแล้วปกคลุมเขาไว้ ทำให้เขาเสียสมดุลหลังออกดาบไป

ดาบของลู่เซิ่งเฉออกไปฟันใส่ผนังหินที่อยู่ไกลๆ แทน

ผนังหินแตกร้าวเป็นรอยแตกสีดำสนิทที่ไม่รู้ว่าลึกถึงเพียงไหน

ขณะเดียวกันหนวดหลายเส้นที่ลอบโจมตีก็ถูกฟันขาด เกิดคลื่นบิดเบี้ยวขมุกขมัวสายหนึ่งระเบิดใกล้ๆ เขา

ลู่เซิ่งรีบยกดาบขึ้นกันไว้ด้านหน้า กลับนึกไม่ถึงว่าจะเกิดการระเบิดจากด้านข้าง

“คร่าวิญญาณ!” ดาบเจ็ดอาทิตย์มารสวรรค์ถูกฟันออกอีกครั้ง ในฐานะกระบวนท่าแรก ถึงแม้จะเทียบกับอานุภาพเทพที่แข็งแกร่งกว่าและเป็นท่าต่อไปไม่ได้ แต่ก็ยกระดับพลังระเบิดและความเร็วหลายเท่าตัว

คมดาบสีดำแทบจะปรากฏแสงกะพริบสีแดงกับเงาที่หลงเหลืออยู่ ขณะฟันใส่คลื่นบิดเบี้ยวที่อัสนีมืดมิดปล่อยออกมา

ตูม!

ประกายดาบสีดำระเบิดแตกออก อัสนีมืดมิดสลายตัว

“ตรามาร!” ร่างท่อนบนของข่าเฟยโผล่ขึ้นด้านหลังลู่เซิ่งอย่างฉับพลัน มือยักษ์คว้าใส่หลังเขาอย่างเงียบกริบ

“อานุภาพเทพ!” ลู่เซิ่งไม่หันหลัง ปีกสองข้างด้านหลังเปลี่ยนรูปร่างด้วยความเร็วสูง กลายเป็นแขนขนาดมหึมาหยาบใหญ่สองข้าง แก่นมารพรั่งพรูออกจากแขนก่อนจะผนึกรวมเป็นดาบสองเล่มเข้าปะทะกับมือยักษ์

ตูม!!

ดาบสีดำฟันใส่ฝ่ามือยักษ์

เปลวไฟสีดำอมม่วงลุกโหมบนดาบ แล้วแผ่ลามจากดาบออกไปอย่างบ้าคลั่งเหมือนสิ่งมีชีวิต แต่ก็ถูกพลังไร้รูปร่างสายหนึ่งป้องกันเอาไว้

เลือดเนื้อสีดำสนิทก้อนหนึ่งงอกขึ้นกลางหน้าผากข่าเฟย เลือดเนื้อก้อนนั้นงอกขึ้นมาเหมือนตราประทับตราหนึ่ง โดยนูนขึ้นอย่างพิสดารเหมือนกับตราเผาไฟนูน

ขณะเดียวกันเลือดเนื้อตรงฝ่ามือของเขาก็ขยับและเปลี่ยนรูปร่าง มีตราเผาไฟนูนที่เหมือนกับตรงกลางหน้าผากโผล่ขึ้นกลางฝ่ามือ

ดาบฟันใส่ตราเผาไฟนูนทันที หรือควรบอกว่า ตราเผาไฟนูนงอกขึ้นมาตรงจุดที่ดาบสีดำฟันใส่อย่างแม่นยำ

ตูม!!

คลื่นกระแทกระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงระหว่างคนทั้งสอง คลื่นไร้รูปร่างหลายกลุ่มกระจายออกมาระหว่างลู่เซิ่งกับข่าเฟย

ลู่เซิ่งหมุนตัวไป ดาบสีดำในมือสลายตัว แขนทั้งสี่ข้างบิดหมุนพร้อมกันแล้วฟันใส่ข่าเฟยจากทั่วทุกทิศทาง

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอคู่ต่อสู้ที่มีพละกำลังและการระเบิดพลังเทียบเท่ากับเขา

อีกฝ่ายเรียกตัวเองว่าราชาปีศาจข่าเฟย ราชาแหล่งปฐพี ลู่เซิ่งไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นระดับอะไรในเผ่าปีศาจ แต่ไม่ว่าจะมีสถานะเป็นอะไร มารโบราณตนนี้ก็ควรค่าให้เขาลงมืออย่างสุดกำลัง

แม้อีกฝ่ายจะเสียเปรียบด้านความเร็ว ทว่าก็ได้เปรียบตรงที่มีร่างกายขนาดมหึมา จึงยึดครองชัยภูมิในพื้นที่คับแคบแบบนี้ได้อย่างง่ายดาย

เทียบกันแล้ว ข่าเฟยมีร่างกายใหญ่โตกว่า ลู่เซิ่งมีปฏิกิริยาและความเร็วสูงกว่า

สิ่งมีชีวิตขนาดมโหฬารหนึ่งเล็กหนึ่งใหญ่ เข่นฆ่ากันในถ้ำอย่างบ้าคลั่ง

แขนสี่ข้างของลู่เซิ่งฟันเส้นสายดาบสีดำออกมาจากทั่วทุกมุมอย่างต่อเนื่อง ใช้คร่าวิญญาณซึ่งเพิ่มการระเบิดความเร็วเป็นหลักและอานุภาพเทพที่เพิ่มพลังการทำลายล้างเป็นหลักสลับกัน แต่ก็เพียงสูสีกับตรามารของข่าเฟยเท่านั้น

ตรามารดูเหมือนจะงอกขึ้นบนร่างข่าเฟยได้ทุกส่วน แถมยังเร็วถึงขีดสุดและแข็งแกร่งจนน่าตกตะลึง ต่อให้เป็นดาบมารที่เกิดจากการผนึกรวมแก่นมารของลู่เซิ่งก็ไม่อาจฟันทำลายได้

ตอนแรกความเร็วและปฏิกิริยาของข่าเฟยตามลู่เซิ่งไม่ทัน แต่ว่าตรามารปรากฏในร่างเขาด้วยความเร็วสูง ป้องกันการโจมตีทั้งหมดของลู่เซิ่งได้โดยสมบูรณ์

การบดขยี้ด้วยพละกำลังอันน่ากลัวที่ลู่เซิ่งภาคภูมิใจในอดีต กลายเป็นของธรรมดาต่อหน้าข่าเฟย ไม่อาจสร้างความได้เปรียบ

กลับเป็นพละกำลังอันน่ากลัวของข่าเฟยที่ทำให้ลู่เซิ่งป้องกันไม่ได้อยู่หลายครั้ง

ทั้งสองต่อสู้กันในถ้ำอย่างดุเดือด หนวดที่มีตรามารงอกขึ้นมาของข่าเฟยแข็งแกร่งไม่อาจทำลายได้ ทั้งยังกระหน่ำฟาดใส่ลู่เซิ่งจากทุกทิศทุกทางเหมือนกับแส้

รอบๆ ตัวลู่เซิ่งแทบถูกเส้นสายสีดำที่ดาบดำฟันออกมาห่อหุ้มไว้ รอยดาบจากคมดาบนับไม่ถ้วนขยายไปรอบๆ อย่างบ้าคลั่ง คอยป้องกันหนวดจำนวนมากที่จู่โจมเข้ามา

สถานการณ์เริ่มชะงักงัน

……

ผิวดิน สำนักมารกำเนิด

ราชาเมฆดำก้าวไปด้านหน้า สิ่งก่อสร้างของสำนักมารกำเนิดที่อยู่รอบๆ สองฟากข้างพังทลายลงอย่างไร้สุ้มเสียง

ร่างกายสูงสิบกว่าหมี่ของเขาย่ำเท้าไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้า ทุกๆ ก้าวล้วนก่อให้เกิดหลุมขนาดใหญ่ยักษ์บนพื้น

ซู่…!

ไอน้ำสีฟ้าจำนวนมากระเหยขึ้นจากใต้เท้าของเขา ไอน้ำกลายเป็นเมฆหมอกปกคลุมรอบๆ ไม่นานเขาก็ใกล้จะไปถึงใจกลางสำนักมารกำเนิดแล้ว

มองแต่ไกลเห็นเสาศิลาลงอักขระที่ถล่มบนลานกว้างและศิษย์สำนักมารกำเนิดจำนวนไม่น้อยที่ยืนกระจัดกระจายกันอยู่รอบๆ

ซั่งหยางจิ่วหลี่อยู่ในนี้เช่นกัน นางมองยักษ์สีฟ้าอยู่ไกลๆ อย่างตะลึงงัน ไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร แต่ระฆังเตือนภัยที่ดังขึ้นในใจ เตือนสตินางอย่างรุนแรงว่า สัตว์ประหลาดตนนี้จะต้องเป็นตัวตนอันน่ากลัวที่นางสู้ไม่ได้อย่างแน่นอน

“ใต้เท้าจิ่วหลี่!”

คนของตระกูลซั่งหยางรวมตัวกันด้านข้างนาง

“นี่น่าจะเป็นราชามารยุคโบราณ…จากบันทึกในอดีต สำนักมารกำเนิดเป็นสถานที่ที่ใช้ผนึกจ้าวแห่งมาร บางที…บางทีจ้าวแห่งมารที่ถูกผนึกจะปรากฏตัวในโลกมนุษย์อีกครั้ง…” คนในตระกูลที่อายุค่อนข้างมากคนหนึ่งกล่าวด้วยสีหน้าซีดขาว

“ตอนนี้จะสู้หรือจะหนี ใต้เท้าโปรดตัดสินใจโดยเร็วเถอะ!” ชายชราอีกคนรีบกล่าว

“ข้า…” ซั่งหยางจิ่วหลี่กัดริมฝีปาก สู้หรือ เผชิญหน้ากับอานุภาพและร่างกายระดับนั้น ถ้าไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย มีแต่ระดับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไปเท่านั้นที่จะสู้ได้

นางไม่สามารถตัดสินใจได้ในสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าสำนักมารกำเนิดมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่สู้ได้หรือไม่

ตอนนี้พวกเหอเซียงจื่อเดินออกมามองยักษ์สีฟ้าแต่ไกล

ตัวตนขนาดใหญ่ยักษ์ที่สูงถึงสิบกว่าหมี่นั้น กำลังทำลายสิ่งก่อสร้างและสิ่งมีชีวิตที่อยู่ใกล้ๆ ทั้งหมดพลางหัวเราะร่า ศิษย์สำนักมารกำเนิดส่วนหนึ่งที่ยังพักผ่อนในห้องหลบหนีออกมาไม่ทัน ถูกไอหมอกสีฟ้าปกคลุมในพริบตา จากนั้นก็ไม่มีสุ้มเสียงใดอีก

เหอเซียงจื่อมองยักษ์ที่อยู่ไกลออกไปอย่างแทบสิ้นหวัง นางเคยอ่านคัมภีร์ลับสุดยอดส่วนหนึ่งที่อาจารย์มอบให้ จึงรู้ว่าในผนึกมีราชามารแห่งเผ่ามาร

คาดไม่ถึงว่าตราผนึกพังตอนไหนไม่พัง ดันมาพังตอนนี้ ตอนที่สำนักและตระกูลขุนนางทั้งหมดตกอยู่ในวิกฤติเป็นตายพอดี

บนโลกนี้ไม่มีทางมีเรื่องบังเอิญแบบนี้เด็ดขาด

“พวกเรา…ถอย!” เหอเซียงจื่อออกคำสั่งอย่างยากลำบาก

พริบตาที่กล่าวคำว่าถอย นางก็สัมผัสถึงภาระที่ตนแบกรับอยู่ได้อย่างแทบจะชัดเจน

นางเกือบหายใจไม่ออก

ในเวลานี้เจ้าสำนักไม่อยู่ ผู้นำไม่อยู่ นางเป็นแค่ศิษย์พี่ใหญ่เพียงในนาม พลังถึงขั้นสู้คนโดดเด่นส่วนหนึ่งในหมู่ลูกศิษย์ไม่ได้ด้วยซ้ำ เป็นแค่ศิษย์พี่ใหญ่ที่ได้รับความเคารพจากทุกคนเพราะทำหน้าที่ถ่ายทอดวิชาเท่านั้น แต่นางกลับต้องแบกรับหน้าที่ที่หนักอึ้งแบบนี้

ทุกคนอาศัยจังหวะที่ยักษ์สีฟ้ากำลังทำลายสิ่งก่อสร้างอย่างบ้าคลั่ง รีบเก็บข้าวของ แล้วข้ามสะพานแขวน โดยมุ่งหน้าไปยังเส้นทางลับที่เชื่อมไปยังโลกภายนอกอีกเส้นหนึ่ง

ทว่าเพิ่งไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ ทุกคนก็ถูกไอหมอกสีฟ้ากดดันกลับมา

พวกซั่งหยางจิ่วหลี่ค่อยพบว่ามีไอหมอกสีฟ้าเข้มข้นชนิดหนึ่งแผ่กระจายไปทั่ว ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบ แทบปกคลุมสำนักมารกำเนิดไว้ภายใน แม้แต่ทางลับสายรองที่ลับตาคนที่สุดก็ยังถูกผนึกเอาไว้

“หมอกอรุณพลัดพราก…นี่คือหมอกอรุณพลัดพราก! มี…มีเยอะขนาดนี้เชียวหรือ!?” ในที่สุดซั่งหยางจิ่วหลี่ก็จดจำได้ว่าไอหมอกสีฟ้าเหล่านี้คือสิ่งใด

“บัดซบ!” ใบหน้าของนางเขียวคล้ำ นึกไม่ถึงว่าจะหนีเสือปะจระเข้

“ใต้เท้าจิ่วหลี่…ทำไมพวกเราต้องกลัวไอหมอกขนาดนี้ด้วย ฝ่าไปตรงๆ เลยไม่ได้หรือ…” หัวกะทิของตระกูลซั่งหยางคนหนึ่งกล่าวอย่างไม่เข้าใจ

……………………………………….